บทที่ 80 ฮรูฮิราล(3)
“ขอบคุณที่ตอบรับคำขอของผม”
การเรียนรู้การเสียชีวิตของเพื่อนๆของเขาเปรียบเสมือนการเปิดบาดแผลที่เฟรย์พยายามอย่างหนักเพื่อปกปิดความเศร้า
อย่างไรก็ตามมันเป็นสิ่งที่เขาต้องยืนยัน
ขณะที่เฟรย์โค้งคำนับด้วยความขอบคุณฮรูฮิราลจับมือของเธออีกครั้ง
“ฉันยินดีที่จะช่วยคุณลูคัส ไม่สิตอนนี้ควรจะเรียกคุณว่าเฟรย์”
“เรียกผมว่าอะไรก็ได้…ฮรูฮิราลแต่คืนนี้ป่าอาจจะมีเสียงดังสักหน่อย”
เฟรย์แจ้งกับเธออย่างตรงไปตรงมา
ทันทีที่เขาสังเกตเห็น ความเศร้าโศกก็เต็มไปในดวงตาของฮรูฮิราล แต่เขาไม่มีความตั้งใจที่จะเปลี่ยนแผนของเขา
เขาทำใจไว้แล้ว
ฮรูฮิราลถอนหายใจ
ในคืนนี่จะมีผู้เสียชีวิตจำนวนมากและจะทิ้งรอยแผลเป็นไว้ในป่าซึ่งต้องใช้เวลานานในการรักษา
สำหรับเธอมันไม่ต่างจากการเฝ้าดูลูกๆของเธอกำลังได้รับบาดเจ็บ แต่ไม่มีอะไรที่เธอจะพูดออกมาได้
เพราะเธอเข้าใจชะตากรรมของชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอ
“ขออวยพรให้เส้นทางข้างหน้าของเจ้า…”
และยิ่งไปกว่านั้นเธอหวังว่าความสุขความความสงบและความโชคดีจะเกิดขึ้นกับเฟรย์
ก่อนที่จิตใจของเฟรย์จะพังพินาศอย่างสิ้นเชิง
"ขอบคุณ"
เมื่อคำพูดของเฟรย์ออกจากริมฝีปากของเขาสภาพแวดล้อมของเขาก็เริ่มพร่ามัว
มันเป็นสัญญาณว่าเขากำลังออกจากโลกแห่งวิญญาณ ใบหน้าของฮรูฮิราลถูกปกคลุมไปด้วยแสงสว่างก่อนที่ร่างของเธอจะหายไปอย่างสมบูรณ์
“…”
หลังกลับคืนร่างเฟรย์ก็ค่อยๆลืมตาขึ้น ร่างกายของเขาเย็นและแข็งราวกับว่าเขานอนข้างนอกในตอนกลางคืน
เฟรย์ลุกขึ้นจากที่นั่งและมองไปที่ท้องฟ้า
พระอาทิตย์เพิ่งตกดิน
‘น่าจะประมาณครึ่งวันแล้วนะ’
มันไม่ได้นานขนาดนั้นแต่ก็น่าจะประมาณนั้น
เขายังคงรู้สึกได้ถึงการมีคนคอยดูอยู่รอบๆตัวเขา เฟรย์ยืดตัวก่อนจะมุ่งหน้ากลับไปที่บ้านของไซแอ็กซ์
เสียงดังเอี๊ยด
เมื่อเขาเปิดประตูเขาพบว่าอีวานกำลังวิดพื้นด้วยมือข้างเดียว เขางอแขนและยืดตัวในจังหวะที่มั่นคง
เมื่อเขาเข้าไปดูใกล้ๆเฟรย์ก็รู้ว่าจริงๆแล้วเขาใช้นิ้วเดียวแทนมือทั้งมือ
ร่างกายของเขาถูกพยุงด้วยนิ้วชี้เพียงข้างเดียว
“สองพันแปดร้อยสิบเจ็ด สองพันแปดร้อยสิบแปด…”
“…”
ชั่ววินาทีที่เขาสงสัยว่าเขาได้ยินผิดหรือไม่เพราะตัวเลขที่เขาเพิ่งได้ยินนั้นเหนือกว่าจินตนาการที่บ้าคลั่งที่สุดของเขา
เมื่อเห็นว่าร่างกายของอีวานมีเหงื่อไหลท่วมร่าง ดูเหมือนว่าเวลาผ่านไปสักพักหนึ่งแล้วตั้งแต่เขาเริ่มฝึก
[ฉันเจอผู้หญิงคนนั้นที่ชื่อคามิลล์ เธอบอกว่าเธอจะมาเมื่อพระอาทิตย์ตกดิน]
อีวานส่งข้อความไปหาเฟรย์โดยไม่เงยหน้าขึ้นมองหรือหยุดวิดพื้น สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าการกระทำดังกล่าวนั่นเป็นเรื่องธรรมชาติสำหรับเขาไปแล้ว
เฟรย์ยังตอบกลับทางกระแสจิตในขณะที่แสร้งทำเป็นไม่สนใจ
[ทำได้ดีมาก แต่มันจะดีกว่านี่ถ้านายหยุดออกกำลังกาย]
[ทำไมละ? ตอนนี้ฉันพึ่งเริ่มรู้สึกมีไฟเลยนะ]
[เพราะเราจะจัดการกับโอดินในคืนนี้ นายจะต้องอยู่ในสภาพที่ดีที่สุด]
“…”
การเคลื่อนไหวตามจังหวะของอีวานสะดุดชั่วขณะ
เฟรย์รู้สึกได้ทันทีถึงความต้องการในการต่อสู้ที่หลั่งไหลออกมาจากร่างกายของเขา
ตึง
อีวานใช้กำลังจากนิ้วของเขาและดีดขึ้นจากพื้นก่อนที่จะพลิกหนึ่งครั้งและลงจอดบนเท้าของเขา
“งั้นฉันขอพักผ่อนสักหน่อย มีแม่น้ำอยู่ใกล้ๆฉันจะไปล้างตัวที่นั่น”
จากนั้นอีวานก็ออกไปข้างนอก
เฟรย์เฝ้าดูเขาจากไปก่อนจะเดินลึกเข้าไปในบ้าน
ไซแอ็กซ์นั่งอยู่ที่โต๊ะสมุนไพรหลังจากเหลือบมองอย่างรวดเร็วเขาก็เห็นว่าเธอกำลังผสมสมุนไพรและยาพิษต่างๆ
“คุณหายไปนานเลยนะ คุณกำลังคิดจะทำอะไรอยู่?”
“ฉันแค่ไปนั่งสมาธิอยู่ใกล้ๆ ฉันขอโทษแต่คุณมีอะไรให้ฉันกินไหม?”
เขาหิวเพราะยังไม่ทานอะไรเลยทั้งวัน
ไซแอ็กซ์ยืนขึ้นขณะพูด
"รอตรงนี่"
หลังจากนั้นไม่นานเธอก็กลับมาพร้อมกับชามในมือ เฟรย์คิดว่ามันจะเป็นสลัดที่คล้ายกับวันก่อนแต่เขาต้องประหลาดใจเมื่อพบว่ามันคือสตูว์
มีเนื้อสัตว์อยู่ในนั้นด้วย
"นี้มัน..?"
“ฉันขอโทษเกี่ยวกับเมื่อวานนี้ นี่เป็นครั้งแรกของฉันที่เคยต้อนรับแขกที่เป็นมนุษย์ ...”
ดูเหมือนว่าสลัดธรรมดาๆที่เธอทิ้งไว้เมื่อวานนี้ไม่ได้ทำโดยตั้งใจ
เฟรย์ส่ายหัว
“เอาจริงๆสลัดมันก็ไม่เลวนะ”
“ฉันดีใจที่ได้ยินแบบนั่นแต่ดูเหมือนว่าอีวานจะไม่ชอบมันสักเท่าไหร่”
“เขาแค่ทำตัวเป็นเด็กน่า มันก็เหมือนมีคนบ่นว่ากับข้าวไม่มีเครื่องเคียง ไม่ต้องไปสนใจเขาหรอก”
“อิอิ”
ไซแอ็กซ์หัวเราะเบาๆกับเรื่องตลกของเฟรย์
เฟรย์นั่งอยู่ที่โต๊ะและค่อยๆทานสตูว์
มันอร่อย
ดูเหมือนว่าเธอเรียนรู้ที่จะทำสตูว์ได้เป็นอย่างดีในระหว่างการผจญภัยทั่วทวีป
"มันอร่อยมาก"
“เยี่ยมมาก คุณจะนอนเลยไหม?”
“ฉันคิดอย่างนั้น”
“ฉันมีงานต้องทำ ฉันอาจจะกลับมาในเช้าวันพรุ่งนี้”
“เอาล่ะ ฉันจะไปบอกอีวาน”
“โอเค”
ไซแอ็กซ์ออกจากบ้านและเฟรย์ก็กลับไปที่ห้องของเขา
จากนั้นเขาก็เป่าเทียนออกนั่งบนเตียงและเริ่มนั่งสมาธิ
เป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดแต่การที่ไซแอ็กซ์ไม่อยู่ทำให้การมาเยี่ยมของคามิลล์นั่นง่ายขึ้นมาก
เมื่อดวงอาทิตย์ตกจนหมดและแสงจันทร์ตกกระทบหมู่บ้านเฟรย์ก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่าง
เขาค่อยๆลืมตาขึ้น
“…”
มีใครบางคนยืนอยู่ที่มุมมืดของห้อง ร่างกายของบุคคลนั้นแม้จะเบลอเล็กน้อยจากความมืดแต่ก็มีส่วนโค้งเว้าที่เป็นของผู้หญิงเท่านั้น
เฟรย์พูดอย่างใจเย็น
“ไม่ได้เจอกันสักพักแล้วนะคามิลล์”
เธอไม่ตอบและยืนอยู่ตรงนั้นแทนเฟรย์ลบคาถาลวงตาบนใบหน้าและแสดงให้เธอเห็นว่าเขาคือ 'เฟรย์' ที่เธอรู้จัก
จากนั้นคามิลล์ก็ก้าวไปข้างหน้าตามเสียงหายใจเร็วๆ
เธอพูดด้วยน้ำเสียงสับสน
“…นี่คือนายจริงๆหรือเฟรย์ ฉันรอคอยที่จะได้พบนายอีกครั้งแต่ฉันไม่เคยคาดหวังว่าเราจะเจอกันในหมู่บ้านของไฮเอลฟ์”
“ก็เหมือนกัน”
คามิลล์มีสีหน้าแปลกๆบนใบหน้าของเธอ
“ฉันได้ยินข่าวลือว่านายเข้าร่วมโทร์วแมนริงส์แทนที่จะเป็นเซอร์เคิลอย่างไพลส์ฟาวเดอร์อาร์เมลท์ …”
“…?”
คามิลล์ซึ่งมีสีหน้าแปลกๆอยู่พักหนึ่งจนในที่สุดก็ส่ายหัว
“ไม่ฉันไม่คิดว่าจะเป็นสิ่งที่ฉันควรพูดออกไป แล้วทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่ละ?”
"เรื่องก็คือ…"
เฟรย์อธิบายสั้นๆทุกอย่างที่เกิดขึ้นจนถึงจุดนี่
แน่นอนว่ามีบางสิ่งที่เขาเก็บซ่อนไว้ ตัวอย่างเช่นการได้พบกับริกิ
เขาอธิบายให้พวกเซอร์เคิลฟังไม่ได้ว่าเขาเป็นพันธมิตรชั่วคราวกับเดมิก็อดและยิ่งไปกว่านั่นเขาเป็นถึงอะโพคาลิปส์
สีหน้าของคามิลล์เปลียนเป็นจริงจังหลังจากได้ยินทุกอย่าง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเธอได้ยินว่าโอดินเป็นอัครสาวก ในขณะนั้นแม้แต่คามิลล์ที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบากนับไม่ถ้วนก็ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของเธอได้
“เป็นโอดินจริงๆหรอ…?”
“ดูเหมือนเขาจะเป็นญาติทางสายเลือดกับราชินี”
“นั่นไม่เป็นความจริงเลย ความสัมพันธ์ระหว่างโอดินและราชินีนั้นค่อนข้างแปลก”
"แปลก?"
“ราชินีสโนว์เป็นลูกบุญธรรมของตระกูลพรีดิกวูด”
“ลูกบุญธรรม…”
เป็นคำที่ไม่ค่อยใช้กันมากนักในหมู่เอลฟ์
คามิลล์ยิ้มอย่างขมขื่นเพราะเธอรู้ข้อเท็จจริงนี้
“มันไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้งในสังคมของเอลฟ์แต่ครั้งนี้มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ ราชินีจากทุกรุ่นถือกำเนิดจากตระกูลพรีดิกวูด อย่างไรก็ตามไม่มีเด็กผู้หญิงเกิดมาในยุคนี้เลยสักคน”
เขาไม่รู้มาก่อนว่าตำแหน่งราชินีเป็นการสืบทอดรุ่นต่อรุ่น
“พวกเขารับเลี้ยงสโนว์งั้นเหรอ?”
"ใช่ นายได้พบกับราชินีสโนว์แล้วใช่ไหม นายน่าจะมองออกว่าเธอไม่ใช่ไฮเอลฟ์ ”
“แน่นอน…”
เฟรย์นึกถึงสโนว์
ยกเว้นผิวขาวของเธอไม่มีลักษณะของเธอที่เป็นของไฮเอลฟ์เลย
“เธอเป็นไอซ์เอลฟ์” (เอลฟ์น้ำแข็ง)
“นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ยินเรื่องนี้”
นอกจากไฮเอลฟ์และดาร์กเอลฟ์แล้วเขายังรู้จักกับวูดเอลฟ์และเกรย์เอลฟ์ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินเกี่ยวกับไอซ์เอลฟ์
คามิลล์พยักหน้าราวกับว่าเธอคาดไว้แล้ว
“พวกเขาไม่ใช่เผ่าพันธุ์จากป่าใหญ่ พวกเขาเป็นกลุ่มเล็กๆที่อาศัยอยู่ในดินแดนเยือกแข็งทางตอนเหนือสุด”
“ดินแดนเยือกแข็งทางตอนเหนือสุด…”
นั่นเป็นสถานที่ที่มีเพียงสัตว์และสัตว์ประหลาดที่มีขนหนาเท่านั้นที่สามารถอาศัยอยู่ได้ เขาไม่คาดคิดว่าจะมีเอลฟ์อาศัยอยู่ที่นั่นด้วย
คามิลล์พูดต่อด้วยสีหน้าจริงจัง
“โอดินเป็นเพื่อนกับหัวหน้ารีฟส์ฉันได้ยินมาว่าเขาไม่พอใจมากเมื่อสโนว์ได้รับเลือกให้รับตำแหน่งราชินี เขาเชื่อว่าเขาจะสามารถสื่อสารกับฮรูฮิราลได้เช่นกัน”
“ฉันขอเดาว่ามันเป็นไปไม่ได้”
“ไม่เคยมีกรณีเอลฟ์ชายที่สามารถสื่อสารกับฮรูฮิราลได้มาก่อน โอดินมีความสามารถมากก็จริงแต่เขาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ได้… แม้ว่าเขาจะสามารถสร้างความสัมพันธ์กับฮรูฮิราลได้แต่เขาก็จะไม่ได้ตำแหน่งของสโนว์”
“…”
“มันเป็นเวลานานกว่าหลายสิบปีแล้วตั้งแต่ตอนนั้น มีการกล่าวกันว่าความโกรธของโอดินมีมากพอที่จะเผาป่าทั้งผืนลง”
พอที่จะเผาป่าลง
นี่เป็นสำนวนที่พวกเอลฟ์มักใช้ พูดง่ายๆก็หมายความว่าเขาโกรธมาก ถ้าเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่เฟรย์ที่เป็นผู้ฟังพวกเขาอาจไม่เข้าใจว่ามันหมายถึงอะไร
“…แล้วสักพักเขาก็เงียบไป ตั้งแต่นั้นมาทุกคนก็เชื่อว่าเขาจะเปลี่ยนไปเพราะเขาทำงานหนักมากและพยายามอย่างเต็มที่เพื่อทำประโยชน์ให้กับป่าใหญ่แม้จนถึงขั้นกลายเป็นผู้ช่วยที่สำคัญที่สุดคนหนึ่งของราชินีสโนว์”
เขาอาจจะกลายเป็นอัครสาวกในเวลานั้น
คามิลล์พึมพำใต้ลมหายใจก่อนจะกัดริมฝีปาก
เฟรย์ถามสิ่งที่ทำให้เขากังวลมากที่สุด
“โอดินแข็งแกร่งไหม?”
"แข็งแกร่งมาก"
คามิลล์ตอบอย่างมั่นใจ
“โอดินเป็นนักเวทย์วิญญาณ เขาเซ็นสัญญากับราชาวิญญาณแห่งลมได้ ไฮเอลฟ์มีพลังวิญญาณที่สูงกว่าเอลฟ์อื่นๆ โอดินมีความสามารถสูงมากแม้แต่ในหมู่ไฮเอลฟ์ด้วยกัน”
“…พลังวิญญาณจะไม่ปะทะกับพลังศักดิ์สิทธิ์”
นั่นหมายความว่าเขาจะสามารถใช้พลังของราชาวิญญาณร่วมกับพลังแห่งความตายได้
มันทำให้การจัดการกับโอดินนั่นยุ่งยากกว่าเดิมหลายเท่า
‘4,000 ปีก่อนราชาวิญญาณจะไม่ยอมร่วมมือกับเดมิก็อดแน่’
ถ้าเป็นเช่นนั้นราชาวิญญาณที่มีความรู้สึกภาคภูมิใจอย่างยิ่งจะไม่ให้พลังของเขาแก่โอดินผู้ซึ่งกลายเป็นอัครสาวก
“คามิลล์ฉันจะต้องจู่โจมโอดินเดี๋ยวนี้”
“ตอนนี้เลยหรอ? นายไม่รีบร้อนเกินไปหน่อยหรือ?”
“ไม่หากเราช้าจนเกินไปจะเป็นผลเสีย ตอนนี้อาจเป็นเวลาที่ดีที่สุด”
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นโอดินจะเรียนรู้เกี่ยวกับการปรากฏตัวของพวกเขา
เนื่องจากพวกเขาเป็นคนนอกที่มาที่นี่เพื่อตามล่าเนโครแมนเซอร์จึงเป็นเรืองยากที่เขาจะมองพวกเฟรย์ด้วยความเป็นมิตร
ดังนั้นเวลาที่ดีที่สุดในการลอบโจมตีคือตอนที่เขายังไม่สังเกตเห็นการปรากฏตัวของพวกเขาในหมู่บ้าน
“…เอาล่ะ ฉันจะช่วยนาย”
"แน่ใจหรอ?"
“นายส่งคู่หูของนายมาเพื่อขอให้ฉันช่วยตั้งแต่แรกแล้วนิ แต่ฉันไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะเป็นถึงผู้สืบทอดราชันนักรบเวทมนตร์ เขาแข็งแกร่งจริงๆ”
"เกิดอะไรขึ้น?"
“เขายั่วยุนักรบหนุ่มของเรา พวกเขาเอาชนะไม่ได้จนต้องตามฉันมา แม้แต่ฉันยังแตะชายเสื้อของเขาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ”
ก็เป็นไปตามคาด
เขาไม่ได้ดูแคลนพลังของดาร์กเอลฟ์แต่พวกเขาไม่สามารถหวังที่จะเอาชนะอีวานได้
“ผู้ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาด ฉันไม่คิดว่าหัวหน้ารีฟส์จะสามารถชนะเขาหากเผชิญหน้าแบบตรงๆได้”
คามิลล์ส่ายหัวสักครู่ก่อนที่จะมองเฟรย์อีกครั้งแล้วถาม
“แล้วนายอยากให้ฉันทำอะไร?”
“คุณเห็นยามเฝ้าดูที่กำลังจับตามองอีวานและฉันอยู่หรือเปล่า?”
"ฉันเห็น มันง่ายมากที่จะหลีกเลี่ยงพวกเขา"
มันเกินกว่าที่เขาคาดไว้
แม้แต่เฟรย์ก็ไม่สามารถระบุได้ว่ามียามทั้งหมดกี่คน
“ได้โปรดทำให้พวกเขาสลบจนถึงพระอาทิตย์ขึ้นก็พอ คุณสามารถทำได้ไหม?”
“ไม่ใช่เรื่องยาก แต่…”
คามิลล์ดูกังวลเกี่ยวกับบางสิ่ง
เฟรย์เข้าใจทันทีว่าอะไรที่ทำให้เธอกังวล
“ฉันจะรับผิดชอบทุกอย่างคนเดียว หากมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นและพวกไฮเอลฟ์กล่าวหาคุณให้บอกพวกเขาว่าคุณถูกฉันแบล็กเมล์”
"ฉันขอโทษ"
“ไม่จำเป็นต้องขอโทษ แค่นี้ก็ช่วยได้มากแล้ว”
เขาซึ้งในน้ำใจจริงๆ
คามิลล์พักอยู่กับไฮเอลฟ์ในฐานะแขก ไม่มีทางที่เธออยากจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก
เธอมีความตั้งใจแน่วแน่และตัดสินใจที่จะช่วยเหลือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ใช่ว่าใครก็สามารถกำจัดสายตาของยามที่จ้องมองแบบลอบเร้นได้
จุดนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งเนื่องจากเอลฟ์มีการมองเห็นและการได้ยินที่ไวมาก
นี่เป็นสิ่งที่มีเพียงคามิลล์ซึ่งมีทั้งการความเร็วและทักษะที่สามารถทำมันได้อย่างง่ายดาย
“ถ้าอย่างนั้นรบกวนด้วย”
"ปล่อยให้ฉันจัดการเอง"
ร่างของคามิลล์ค่อยๆจางหายไป