Ep.959 - คืนกลับสามเทคนิค
Ep.959 - คืนกลับสามเทคนิค
ตาปีศาจคือผู้ใช้อบิลิตี้แสงเลเวล S แม้เปล่งประกายด้วยแสงบริสุทธิ์เช่นนี้ แต่ดันเป็นคนของกองกำลังมืด
แต่ก็นั่นแหละ อบิลิตี้ที่ศึกษาเรียนรู้ ใช่ว่าเอกลักษณ์ของมันจะตรงกับผู้ใช้ซะเมื่อไหร่ จริงอยู่ที่ผู้ใช้อบิลิตี้มืดมีแนวโน้มว่าอาจแปดเปื้อนความโสมมเอาง่ายๆ แต่ผู้ใช้อบิลิตี้แสงก็ไม่ใช่ตัวแทนของคนดีซะทีเดียว ตรงกันข้าม เจ้าของมันอาจมีบุคลิกเหมือนกับแสงที่หักเห เป็นคนหน้าซื่อแต่ใจคดก็ได้
อย่างไรก็ตาม ตาปีศาจมิใช่คนหน้าซื่อใจคด แต่เป็นเผด็จการ! เนื่องจากตลอดมาไม่เคยมีผู้ใดเอาชนะเขาได้ ทัศนคติที่เกิดจากความแข็งแกร่งดังกล่าว เลยแปรเปลี่ยนให้เขากลายเป็นคนที่มีบุคลิกเลือดเย็นและไร้ปรานี!
ตาปีศาจไม่สนว่ารอยแยกนี้จะสร้างความเสียหายขนาดไหน แต่ที่เขารู้ สิ่งนี้มีประโยชน์ต่อเขา เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว
ตาปีศาจเคยชินกับนิสัยเผด็จการ ดังนั้นไม่สนใจว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร
ชนิดที่ว่า ต่อให้มีการดำรงอยู่ของตัวตนทรงอำนาจจากพันธมิตรมนุษย์ในที่นี้ถึง 7 คน รวมกับฉินเฟิงอีกหนึ่งที่สามารถลงไปใต้ดินได้ เขาก็ไม่หวั่นเกรง
นั่นเพราะความแข็งแกร่งของตาปีศาจ อยู่ในระดับสูงที่สุดของผู้คน ณ ที่นี้ ความแข็งแกร่งของเขาได้มาถึงเลเวล S9 แล้ว เหลืออีกแค่ก้าวเดียว ก็จะสามารถตัดผ่านเข้าสู่ผู้ใช้อบิลิตี้เลเวล SS ดังนั้นรอยแยกนี้มีประโยชน์ต่อเขามาก
สีหน้าของคนอื่นๆหมองลง อยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่การให้เหตุผลกับตาปีศาจ เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ผล
ในเวลานั้นเอง ฉินเฟิงก้าวออกมาข้างหน้า
“ตาปีศาจ ไม่ทราบว่าคุณยังจำผมได้ไหม?”
สายตาของตาปีศาจเบนมองฉินเฟิง พร้อมแสงสว่างฉายวาบออกไป
โล่ปราณกำลังภายในผุดขึ้นเบื้องหน้าฉินเฟิง สกัดกั้นรังสีแสงนี้ไว้ เพื่อให้ฉินเฟิงสามารถมองหน้าเขาได้ตรงๆ!
ตาปีศาจเห็นดารากำลังภายในที่หนาแน่น ซึ่งไม่ใช่อะไรที่ผู้ใช้วรยุทธโบราณเลเวล S ทั่วๆไปจะสามารถครอบครองได้ ทว่าสุดท้าย การแสดงออกทางสีหน้าของเขาก็ยังไร้อารมณ์อยู่ดี
“ไม่รู้จัก! แกยังไม่คู่ควรให้ฉันจดจำ!”
ฉินเฟิงหัวเราะเบาๆ ไม่สนใจคำถากถางของอีกฝ่าย กล่าวต่อว่า “นับจากวันนี้ไป ผมหวังว่าคุณจะยังกล้าพูดคำเดิม!”
ตาปีศาจมองฉินเฟิงด้วยความเหยียดหยาม ภายในทอประกายขบขัน
“ทำไม? หรือแกคิดจริงๆว่าตัวเองจะสามารถมอบบทเรียนให้ฉัน?”
“ผมไม่กล้ามอบบทเรียนให้คุณหรอก แต่เมื่อหนึ่งปีก่อน ท่านตาปีศาจได้ลงมือด้วยตัวเอง โจมตีผมถึงสามครั้งด้วยแสงจากดวงตาสวรรค์ ขนาดผมหนีกลับไปยังดินแดนของพันธมิตรหัวเซี่ย คุณก็ยังไล่ยิงลำแสงตาม ครั้งนั้น ผมได้รับความสูญเสียอย่างหนัก เลยอยากจะคืนน้ำใจที่เคยมอบให้ ตอนนี้เมื่อพวกเราได้พบกันแล้ว ผมจะขอจ่ายคืนให้คุณด้วยสามเทคนิค!”
ครั้งก่อนฉินเฟิงถูกไล่ล่าโดยตาปีศาจ ดังนั้นตอนนี้ เมื่อได้พบหน้า ถือเป็นโอกาสทองสำหรับการแก้แค้น
เป็นเพราะประโยคนี้ ทำให้ตาปีศาจเริ่มจดจำเรื่องราวของฉินเฟิงได้ แต่ในตอนนั้นฉินเฟิงเป็นเพียงผู้ใช้พลังเลเวล B แต่ในระยะเวลาแค่ปีเดียว ฉินเฟิงกลับยกระดับขึ้นเป็นเลเวล A ได้แล้ว นับเป็นการพัฒนาที่น่าหวาดกลัว
อย่างไรก็ตาม ในฐานะสมาชิกองค์กรมืด ยิ่งศัตรูอัจฉริยะมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งอยากเข่นฆ่า และบดขยี้ความภาคภูมิใจของอีกฝ่ายมากเท่านั้น
ประเด็นสำคัญที่สุดก็คือ ตาปีศาจเชื่อว่าผู้ขึ้นชื่อว่าเป็นอัจฉริยะ มีแค่เขาคนเดียวก็พอแล้ว
“เจ้าหนู คงไม่เคยมีใครรักษาโรคไม่กลัวตายของแกมาก่อนสินะ ได้! ถ้าอย่างนั้นฉันขออาสาทำให้แกหายเป็นปกติเอง!” ตาปีศาจกล่าวน้ำเสียงเย็นชา เขาไม่รอให้ฉินเฟิงปลดปล่อยอบิลิตี้ เมื่อคำสุดท้ายหลุดออกมา ทันใดนั้นลูกตาขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเขาทันที
แม้เรียกว่าลูกตา แต่ในความเป็นจริงมันคือหนึ่งในแก่นอบิลิตี้ของตาปีศาจ ซึ่งชั้นนอกถูกห่อหุ้มด้วยอาวุธเทวะชนิดพิเศษ มีความสามารถรวมรังสีแสงเป็นจุดเดียว เพิ่มพลังโจมตีได้มากขึ้น ช่วยก่ออำนาจทำลายล้างอันน่าสะพรึง
สภาพเดิมของลูกตานี้ ตอนแรกเปลือกตาหรี่ลงครึ่งเดียว แต่ยามนี้มันเปิดขึ้นเต็มที่อย่างกะทันหัน ระเบิดแสงจรัสออกไป
“ระวัง!” สีหน้าของฟางโจวแข็งค้าง เขาคอยจับตาดูสถานการณ์ตลอดเวลา ตั้งใจว่าตราบใดที่ฉินเฟิงตกอยู่ในอันตราย ตนจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือ
ส่วนความคิดของคนอื่นๆ แต่ละคนแตกต่างกันไป
‘เจ้าเด็กนี่หยิงผยองเกินไป สุดท้ายจุดจบเลยกลายเป็นหาที่ตาย’
‘ต่อหน้าตาปีศาจ เขากล้าทำตัวอวดดีขนาดนี้ได้อย่างไร? สงสัยคงไม่เคยได้ยินวลีฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ!’
‘ซ่านัก ก็ตายซะให้สมใจนะ!’
แต่ในเวลานั้นเอง มือข้างหนึ่งของฉินเฟิงยื่นออกไป สี่นิ้วค่อยๆหุบลงเหลือเพียงนิ้วชี้ ระเบิดรังสีแสงทมิฬออกมา
“หนึ่ง!”
ฉินเฟิงเริ่มนับเลข รังสีทมิฬตัดผ่านความว่างเปล่า ปลดปล่อยพลังงานแห่งความตายอันเข้มข้น ทุกคนในที่นี้ไม่ว่าใครต่างก็รู้สึกได้ ว่าตราบใดที่พวกเขาโดนพลังแห่งความตายนี้ ต่อให้ยังรอด แต่เกรงว่าคงไม่พ้นกลายเป็นตาแก่หนังย่น
โดยเฉพาะฟางโจว เดิมทีพลังชีวิตของเขาก็แทบจะเหือดแห้งอยู่แล้ว ส่งผลให้เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายน่าสะพรึงชนิดสามารถคุกคามชีวิต เผลอชักฝีเท้าถอยโดยไม่รู้ตัว
ช่วงเวลาต่อมา ความมืดกับแสงสว่าง สีขาวและดำ ปะทะกัน
แม้ในความรู้ความเข้าใจของมนุษย์ แสงสว่างสามารถปัดเป่าความมืดได้ แต่นั่นเป็นเพียงในความคิดของทุกคนเท่านั้น!
ในความเป็นจริง เมื่อใดก็ตามที่ยามค่ำคืนมาถึง มันจะกลายเป็นช่วงเวลาที่ความมืดมิดกลืนกินแสงสว่าง ทั้งสองสามารถสะกดข่มกันและกันได้--
--ขึ้นอยู่กับว่าฝ่ายใดทรงพลังกว่ากัน!
ในสายตาของคนเหล่านี้ แน่นอนว่าต้องเป็นตาปีศาจที่ทรงพลังกว่า
แต่จริงๆแล้ว หลังจากที่ทั้งสองอบิลิตี้ปะทะกัน กลับไม่ก่อให้เกิดสรรพเสียงใด คล้ายหักล้างกันและกันพอดิบพอดี
ราวกับว่าโลกหล้าได้ถูกเปลี่ยนเป็นสีขาวดำ
แต่ในเวลานั้นเอง เสียงๆหนึ่งดังเข้ามา สัมผัสของน้ำแข็งสีฟ้า เจาะผ่านภาพขาวดำ
“สอง!”
ฉินเฟิงปลดปล่อยอบิลิตี้อีกครั้ง เขาลงมือฉับไว ความเร็วในการรวบรวมอักษรรูนเพื่อระเบิดเทคนิคก็เร็วอย่างน่าเหลือเชื่อ แถมอักษรรูนในครั้งที่สอง ยังไม่ใช่ธาตุเดียวกัน
เทคนิคแรกคือหนึ่งดรรชนีแห่งความตาย เทคนิคที่สองย่อมไม่พ้นเสียงเพรียกแห่งความตาย
ตาปีศาจถูกฉินเฟิงโจมตีอย่างไม่ทันตั้งตัว เขาเร่งระดมอบิลิตี้ของตนเองอีกครั้ง เสี้ยววินาทีนั้น ดวงตาสวรรค์สาดแสงจรัสน่าสะพรึงยิ่งกว่าเดิม เพียงแต่ว่าแสงนี้ มันปล่อยออกมาช้าเกินไปหน่อย
กว่าการโจมตีระลอกสองของตาสวรรค์จะถูกยิงออกมา เสียงเพรียกแห่งความตายของฉินเฟิงก็พุ่งเข้าประชิดในระยะ 10 เมตรแล้ว นั่นหมายความว่าตาสวรรค์ยังรวบรวมพลังได้ไม่สุดแรง ก็ต้องทานรับอำนาจทำลายล้างของอบิลิตี้ฉินเฟิง
เปรี๊ยะ!
พลังเยือกแข็ง แช่แสงจรัสจนกลายเป็นสีชืดชา ทั้งค่อยๆละลายมันอย่างต่อเนื่อง ยังไม่พอ รูนน้ำแข็งยะเยือกนี้ ยังคงเริ่มเลื้อยไปตามเส้นลำแสง แช่แข็งเกราะสมบัติระดับเทวะ ขยับมาแตะตาสวรรค์
ทันใดนั้นตาปีศาจบังเกิดความรู้สึกเย็นเยียบออกมาจากส่วนลึกของจิตวิญญาณ ราวกับว่าจิตสำนึกกำลังถูกแช่แข็ง
แต่แทบจะในทันที แสงนับล้านสาดประกายออกจากร่างเขา ปลดปล่อยอุณหภูมิร้อนแรงดั่งสุริยัน ปัดเป่าความหนาวเหน็บรอบตัวไป
แต่ในจังหวะนั้น ฉินเฟิงเอ่ยปากอีกครั้ง
“สาม!”
ทันทีที่น้ำเสียงตกลง รูนไฟอันน่าหวาดกลัวระเบิดออกมา
หัวใจเพลิงมรณะ … ถึงเวลาสำแดงอำนาจของมันแล้ว!
ในพริบตา คลื่นกระแทกที่คล้ายกับการปะทุของลาวาใต้พื้นพิภพ ทะลักจากฝ่ามือของฉินเฟิง ม้วนเป็นเกลียวคลื่นอย่างดุเดือด ซัดเข้าหาตาปีศาจ
อาจกล่าวได้ว่า นับจากการโจมตีแรกของฉินเฟิง ทุกสิ่งอย่างดำเนินมาถึงจุดนี้ ใช้เวลาไม่เกินสิบวินาที แต่อบิลิตี้เลเวล S กว่าสามเทคนิคกลับสามารถถูกปลดปล่อย และทุกการโจมตีล้วนอันตรายถึงแก่ชีวิต!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการโจมตีครั้งสุดท้าย แม้ให้ความรู้สึกแผดเผาร้อนแรง แต่โอโบรันกลับหนาวสะท้าน เหงื่อแตกทุกรูขุมขน หากเป็นเขาที่ถูกโจมตีโดยอำนาจดังกล่าว เกรงว่าร่างคงเละไม่เป็นชิ้น สุดท้ายโดนแผดเผาไม่เหลือซาก
“เป็นไปไม่ได้!” โอโบรันร้องตะโกน แต่ความเป็นจริงมันอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว
ภายในเวลาแค่สิบวินาที สามอบิลิตี้ สามเลเวล S สามารถปลดปล่อยได้จริงๆ
ปัจจุบัน ในสมองของพวกเขา สิ่งที่กำลังนึกถึงไม่ใช่เรื่องฉินเฟิงกำลังมองหาความตายอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องที่ว่า ตาปีศาจ … จะสามารถรับมือกับสถานการณ์นี้ได้หรือไม่?
ในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อ แสงพรั่งพราวจากบนร่างของตาปีศาจ เปล่งประกายอีกครั้ง และรังสีดังกล่าว ทรงพลังอย่างหาที่ใดเปรียบ
“เทคนิคกระแสแสง : หมื่นวิถีมิอาจรุกราน!”
โล่แสงหมึมาปกคลุมร่างของตาปีศาจจากด้านนอก วินาทีถัดมา หัวใจเพลิงมรณะปะทะเข้ากับมัน
เกิดการห้ำหั่นกันอีกครั้งระหว่างอบิลิตี้เลเวล S แต่ทั้งสองหนึ่งดั่งหอก หนึ่งดั่งโล่ ไม่ทราบว่าฝ่ายใดจะชนะ
อย่างไรก็ตาม ต้องขอบอกว่า ตาปีศาจปลดปล่อยเทคนิคเพื่อต่อต้านอบิลิตี้เลเวล S ถึงสองท่าติดต่อกัน และเขารีบร้อนเกินไป ดังนั้นผลลัพธ์เลยกลายเป็นว่า มันมิใช่การป้องกันที่สมบูรณ์แบบที่สุดที่เขาสามารถกระทำ
บรึ้มมมมมม!!!
เปลวเพลิงโหมกร่ำหน่ำ กวาดกลืนโล่หมื่นวิถีมิอาจรุกราน