ตอนที่ 7 ทำงาน
ตอนที่ 7 ทำงาน
กฎเหล็กของแม่มดคือห้ามเปลี่ยนแปลงสิ่งใด ๆ ให้กลายเป็นเงินเด็ดขาด เพราะมันจะเป็นอันตรายกับผู้ที่รับเงินจำนวนนั้นไป และหากเงินนั้นเป็นจำนวนมากก็จะมีอันตรายเกิดขึ้นมากขึ้นตามจำนวนเงินเช่นกัน
แต่ครั้งนี้แม่มดสาวไม่ได้ตั้งใจ เพราะเธอหลงลืมกฏข้อนี้ไปเสียสนิท เนื่องจากในเมืองแม่มดที่เธอเคยอยู่นั้นไม่มีการซื้อขายเเลกเปลี่ยนด้วยระบบเงินตรา
เมื่อกลับมาถึงบ้าน คุณย่าก็รีบวิ่งเข้ามาหาฮันเป่าเม่ยและมารดาพร้อมกับกล่าวอย่างตื่นเต้นว่า
"รีบเข้ามาดูนี่เร็ว จ้าวหยางขยับขาได้แล้ว!" คุณย่ากล่าวด้วยความดีใจ
อย่างไรก็ตามเธอไม่ได้ใช้ตัวยาที่มีฤทธิ์รุนแรงมากนัก เนื่องจากเกรงว่าทุกคนจะรู้สึกสงสัย หากฮันจ้าวหยางหายจากอาการป่วยเร็วจนเกินไป โดยช่วงดึกสงสงัดของทุกวัน เธอจะต้องมาร่ายคาถาและป้อนยาให้กับเขาจนครบเจ็ดวัน
เมื่อหัวหน้าครอบครัวมีอาการดีขึ้นทุกคนก็รู้สึกมีความสุข รวมถึงแม่มดสาวและแมวน้อยของเธอด้วย ทว่าปัญหาของเธอตอนนี้คือเธอต้องการกลับไปหาบุตรสาวแต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี
และตอนนี้แม่มดสาวก็ทำได้เพียงไปเก็บสมุนไพรสำหรับปรุงยาชนิดต่าง ๆ นอกจากนี้ก็นั่งดูโทรทัศน์เพื่อฆ่าเวลาและเรียนรู้วิธีการใช้ชีวิตบนโลกมนุษย์จากการดูรายการข่าวและรายการทีวีเกือบจะยี่สิบสี่ชั่วโมงต่อวัน
หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือนเธอพบว่าการใช้ชีวิตบนโลกมนุษย์นั้นไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะถ้าไม่มีเงินคนทั่วไปก็จะต้องอยู่อย่างยากลำบาก โดยที่บางครอบครัวไม่มีแม้แต่อาหารที่จะประทังชีวิต
แล้วทำยังไงเราถึงจะหาเงินได้?
ฮันเป่าเม่ยตัดสินใจที่จะเอ่ยถามมารดาว่า
“แม่คะ คนทั่วไปเค้าหาเงินกันยังไงคะ?”
“ก็ทำงานสิ! แหม! เดี๋ยวนี้พูดเพราะขึ้นนะ”
“อิอิ..หนูจำมาจากในทีวีน่ะค่ะ... แล้ว… ทำงานคืออะไรคะ?”
“ขั้นตอนแรกเราต้องรู้ก่อนว่าเราอยากทำอะไร?”
จากนั้นมารดาก็อธิบายให้บุตรสาวฟังด้วยความอดทนทำให้เด็กสาวเข้าใจมากขึ้นแต่ก็ยังเอ่ยถามอีกว่า
“แม่คะ... อย่างงั้นแม่ช่วยหางานให้หนูทำได้หรือเปล่าคะ?”
“จะเอาอย่างนั้นเหรอ?”
“ค่ะ” เด็กสาวตอบรับอย่างแข็งขัน
“เออ! พอดีเลย! วันนี้เจ้าหน้าที่ของบ้านพักคนชรามาบอกให้หาคนไปช่วยทำความสะอาดหน่อย หนูทำได้หรือเปล่า?”
“แล้วหนูต้องทำอะไรบ้างคะ?”
“ก็ทำตามที่เขาสั่ง… แล้วทำงานอย่างเดียวไม่ต้องไปถามเค้าแบบนี้... อ้อ... ต่อไปลูกจะต้องพกบัตรประชาชนทุกครั้งที่ออกจากบ้านนะ” มารดาตอบอย่างใจเย็น
“ค่ะ...แล้วบัตรประชาชนอยู่ไหนคะ?”
“ก็อยู่ในห้องลูกนั่นแหละ!” มารดากล่าวอย่างอดทน
มารดาของฮันเป๋าเม่ยมีความสนิทสนมกับพนักงานและเจ้าหน้าที่ทุกคนในบ้านพักคนชราแห่งนี้เพราะเธอกวาดถนนเส้นที่บ้านพักคนชราตั้งอยู่มานานนับสิบปีแล้ว
อย่างไรก็ตามบ้านพักคนชราแห่งนี้แบ่งเป็นแผนกชายและหญิง โดยเด็กสาวจะต้องออกจากบ้านพร้อมกับมารดาตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อช่วยมารดากวาดถนนจากนั้นเมื่อถึงเวลาเจ็ดโมงเช้าเธอจะไปรายงานตัวที่บ้านพักคนชราทุกวัน
หลังจากยื่นเอกสารสมัครงานแล้ว ฮันเป่าเม่ยก็สามารถเริ่มงานได้ในทันที โดยงานที่เด็กสาวรับผิดชอบคือการทำความสะอาดบริเวณพื้นห้องกับนำขยะไปทิ้งพร้อมกับเช็ดถูทุกห้องของทั้งแผนกฝ่ายชายและฝ่ายหญิง
และเวลาเลิกงานของเธอคือบ่ายสามโมงเย็นซึ่งเป็นเวลาที่มารดาของเธอจะมารับอย่างตรงเวลาทุกวัน เพราะเกรงว่าเด็กสาวจะไปสร้างเรื่องปวดหัวให้กับคนในนั้น
หลังจากผ่านไปหลายวัน เด็กสาวได้พบว่ามีชายชราผู้หนึ่งที่ชื่อ ‘เกาป๋อฉาน’ในบ้านพักคนชราแห่งนี้มักจะนั่งเงียบอยู่คนเดียวโดยไม่สุงสิงกับใคร อีกทั้งไม่สนใจผู้ใดทั้งสิ้นและทุกวันเขามักจะนั่งมองออกไปนอกหน้าต่างราวกับว่ามีอะไรบางอย่างอยู่ในใจ แต่มีบางครั้งที่เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อดูข่าวสาร
“คุณตาคะ ทานข้าวหรือยังคะ?” แม่มดสาวเอ่ยถามด้วยความหวังดี
“มีอะไรก็ไปทำเถอะ! ไม่ต้องมายุ่ง!”
สิ่งที่สำคัญคือ ชายชราผู้นี้เป็นโรคขาอ่อนแรงจึงไม่สามารถเดินได้ตามปกติเหมือนกับคนทั่วไป โดยต้องนั่งบนรถเข็นสำหรับคนพิการตั้งแต่ตื่นนอนไปจนถึงเวลาเข้านอนถึงจะมีเจ้าหน้าที่มาช่วยพยุงร่างขึ้นเตียง
ด้วยความสงสัยแม่มดสาวอดไม่ได้ที่จะร่ายเวทมนตร์ เพื่อตรวจสอบประวัติและสิ่งที่อยู่ในใจของชายชราผู้นี้ ทำให้ทราบว่าเขาเป็นคนชราที่ไม่มีญาติพี่น้องหรือลูกหลานจึงรู้สึกโดดเดี่ยวและไม่อยากอยู่บนโลกนี้อีกต่อไป
อย่างไรก็ตามขาทั้งสองข้างของชายชราผู้นี้มีความพิการเนื่องจากได้รับอุบัติเหตุเมื่อหลายปีก่อน ต่อมาเมื่อไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เขาจึงตัดสินใจขายทรัพย์สินทุกอย่างรวมถึงหุ้นในบริษัทเพื่อรวบรวมเงินเข้าบัญชี และย้ายตนเองเข้ามาอยู่ในบ้านพักคนชราแห่งนี้
“คุณตาเกาคะ! ทำไมมานั่งอยู่คนเดียวล่ะคะ? มีอะไรให้หนูช่วยหรือเปล่า?”
“เธอรู้ชื่อฉันได้ยังไง?”
“เอ่อ... หนูถามจากเจ้าหน้าที่ค่ะ... หนูชื่อเป่าเม่ยนะคะ”
“ใครถาม? ทำงานของเธอไปเถอะ! ทำไมถึงชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านนัก?!”
“อ้าว!...”
แต่จะว่าไปแล้วเขาก็ไม่ได้โดดเดี่ยวซะทีเดียว เพราะอย่างน้อยก็ยังมีทนายประจำตัวคอยดูแลและจะมาเยี่ยมชายชราผู้นี้ทุกสัปดาห์
ดังนั้นชีวิตของเขาจึงไม่ได้ขาดแคลนในเรื่องของปัจจัยสี่สำหรับการดำรงชีวิต แต่สิ่งที่ชายชรารู้สึกว่ามันขาดหายไปจากชีวิตของเขาคือใครสักคนที่เข้าใจและห่วงใยตนเองอย่างแท้จริง
และด้วยความสงสาร ฮันเป่าเม่ยจึงพยายามพูดคุยกับชายชราผู้นี้ทุกวัน โดยในตอนแรกเขาไม่เต็มใจที่จะสนทนากับเด็กสาว ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปหลายสัปดาห์เขาก็เริ่มสนใจในตัวเธอ
“เป่าเม่ย! วันนี้ทำงานเสร็จแล้วเหรอ?”
“เรียบร้อยแล้วค่ะ!… วันนี้อากาศดีเราไปเที่ยวในสวนกันนะคะ... เดี๋ยวหนูเข็นคุณตาไปเอง”
“จริงเหรอ? ขอบคุณมาก ๆ” คุณตากล่าวอย่างซาบซึ้ง เนื่องจากชายชราไม่ได้ออกไปชื่นชมบรรยากาศภายนอกห้องพักมานานหลายปีแล้ว
“เป่าเม่ย หนูมีเบอร์โทรติดต่อหรือเปล่า?”
“ไม่มี! แต่แม่หนูมีค่ะ” เด็กสาวตอบตามตรง
“แล้วเบอร์อะไรอะ?”
“หนูไม่รู้”
แน่นอนว่าเมื่อมองจากรูปลักษณ์ภายนอก เป่าเม่ยไม่มีความโดดเด่นทั้งทางด้านรูปร่างหรือหน้าตาด้วยส่วนสูงที่ต่ำกว่าค่ามาตรฐานของหญิงสาวทั่วไปและรูปร่างที่ค่อนข้างอ้วนท้วน อีกทั้งยังมีผิวที่ค่อนข้างดำคล้ำ
ชายชราทราบว่าเด็กสาวคนนี้เป็นเพียงเด็กสาวชาวบ้านธรรมดาที่ไม่มีความน่าสนใจอะไรเลย ดังนั้นเขาจึงสงสารและเอ็นดูเธอเหมือนกับลูกหลานคนหนึ่ง
อย่างไรก็ตามช่วงนี้เป่าเม่ยใช้ชีวิตบนโลกมนุษย์โดยไม่ค่อยได้ใช้เวทมนต์มากนัก เพราะเธอสังเกตว่าวันใดที่ตนเองใช้มัน เมื่อกลับมาบ้านเธอจะไร้เรี่ยวแรงและอ่อนล้าเป็นอย่างมาก
เราเป็นอะไรไป?
หรือเวทมนต์ของเราจะเสื่อม?
ทันใดนั้นเจ้าแมวน้อยก็ส่งเสียงดังขึ้น
“จะไม่ให้หมดแรงได้ยังไง ก็บรรยากาศที่นี่มันไม่เหมือนกับที่โลกของเรา”
“ไม่เหมือนยังไง?”
“ที่นี่หนาแน่นไปด้วยพลังหยินแถมอากาศก็ไม่บริสุทธิ์ ดังนั้นถ้าไม่รีบกลับบ้าน เราอาจจะต้องตายที่นี่”
“มิน่า! มนุษย์บนโลกนี้ถึงอายุสั้นนัก” เป่าเม่ยเริ่มเข้าใจ
“รีบกินยาเพิ่มพลัง แล้วเข้านอนซะ...เดี๋ยวก็ตายก่อนที่จะได้กลับบ้านหรอก!”
ดังนั้นเมื่อทุกคนเข้านอนแล้วแม่มดสาวก็เริ่มปรุงยาเป็นการด่วนเนื่องจากเธอต้องการช่วยให้ชายชราที่บ้านพักคนชราสามารถเดินได้เป็นปกติเพราะเธอต้องการท่องไปในโลกกว้างเพื่อหาทางกลับบ้านตนเอง
*******’**