Chapter 57: สั่งให้มาสร้างปัญหา
“นี่เจ้ายังไม่เข้ามาช่วยข้าอีกหรอ?”
หวังเฟิงมีชีวิตชีวาขึ้นมาในทันทีเมื่อเขาเห็นความเสียใจบนหน้าของจ้าวเสี่ยวหยา และยื่นมือออกมาอย่างเย้ยหยัน
อย่างไรก็ตาม จ้าวเสี่ยวหยาอารมณ์ไม่ดีจริงๆ หลังจากที่เห็นหน้าของหวังเฟิง เธอก็ถูกครอบงำด้วยความโกรธแล้วส่งเสียงฮึดฮัดอย่างเย็นชาในขณะที่หันหลังเดินหนีไป และหายไปจากสายตาของหวังเฟิงในเวลาไม่นาน
เมื่อเห็นภาพนี้ความปั่นป่วนก็แสดงออกมาทางสีหน้าของหวังเฟิง เขาออกไปจากสำนักเทียนหยุนมาได้พักนึงและคนของสำนักเทียนหยุนก็เริ่มแสดงความเคารพกับเขาน้อยลง
‘ดูเหมือนว่าคนพวกนี้จะลืมความยิ่งใหญ่ของข้าไปแล้วสินะ!’
ในตอนที่หวังเฟิงเริ่มใช้สมองคิดหาวิธีก่อเรื่องวุ่นวาย เหรียญสื่อสารในแขนของเขาก็สั่นขึ้นมาอย่างกะทันหัน เขารู้สึกได้ถึงมันแล้วหยิบออกมาในทันที ในตอนนั้นเองเขาก็ได้เห็นออร่าแผ่ออกมาจากเหรียญและก่อตัวขึ้นเป็นตัวอักษร
“จงไปตรวจสอบว่าที่ผู้สืบทอดคนใหม่ของสำนักเทียนหยุน เฉินเฉิน”
พอเห็นประโยคนี้ ดวงตาของหวังเฟิงก็เปล่งประกายด้วยความประหลาดใจ เขาไปอยู่ในโลกมนุษย์มาพักนึงดังนั้นเขาจึงไม่รู้เลยว่าสำนักเทียนหยุนมีผู้สืบทอดแล้ว!
…
ในอีกด้านนึง หลังจากที่จ้าวเสี่ยวหยาออกไปจากสวนของยอดเขาหลัก เสียงของเซี่ยวอู่โยวก็ดังก้องเข้ามาในหูของเฉินเฉิน
“ศิษย์เอ๋ย มาที่ตำหนักหลักซะ”
พอได้ยินเช่นนี้ เฉินเฉินก็ไม่มีทางเลือกนอกจากรีบไปที่ตำหนักหลักของเจ้าสำนัก
“ท่านอาจารย์ มีเหตุอะไรถึงเรียกข้ามาหรอครับ? ท่านอยากมอบหินวิญญาณให้ข้าขนาดนั้นเลยหรอ?”
ในขณะที่มองเซี่ยวอู่โยวที่กำลังยืนอยู่ เฉินเฉินก็พูดติดตลก
ซึ่งเขาก็ต้องประหลาดใจ เซี่ยวอู่โยวโยนกระเป๋าเก็บของมาให้เขาโดยไม่พูดอะไร หลังจากได้รับมันมาแล้ว เฉินเฉินก็เริ่มตรวจสอบมันแล้วตระหนักได้ว่ามีหินวิญญาณ 1,000 ก้อนอยู่ข้างในจริงๆ
“ข้ารับไม่ได้หรอกครับ....” เฉินเฉินพูดด้วยความเกรงใจ
เซี่ยวอู่โยวสะบัดมือเพราะเขาไม่อยากจะสนใจคำพูดของเขา ‘เจ้าเด็กนี่พูดเหมือนเกรงใจแต่กลับแบกกระเป๋าเอาไว้ที่แขนของเขาแล้ว’
“พอเถอะ เจ้าไม่ต้องสุภาพกับข้าก็ได้ ช่วงนี้เจ้าจงอยู่ในสวนของยอดเขาหลักเพื่อทำการฝึกตนซะ เจ้าอย่าออกไปที่ไหนเลยจะดีที่สุด”
“ได้ครับ” เฉินเฉินตอบ
“เจ้าจะไม่ถามหรอว่าทำไม?”
“ท่านอาจารย์ต้องมีเหตุผลของท่านอยู่แล้วครับ”
เมื่อได้ฟังคำตอบของเฉินเฉิน เซี่ยวอู่โยวก็ยิ้มอย่างพอใจแล้วคิดในใจ ‘เจ้าศิษย์คนนี้มีวาทศิลป์ที่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าข้าอีกหล่ะมั้ง’
“จริงๆมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก ก็แค่สำนักอู๋ซินได้ทิ้งสายลับเอาไว้ในสำนักเทียนหยุน จากการคาดเดาของข้า เขาคงจะทำการสืบค้นคุณสมบัติและต้นกำเนิดของเจ้า เจ้าไม่ไปยุ่งกับเขาจะดีกว่า สนใจแต่การฝึกตนตามที่ข้าบอกเถอะ”
เมื่อได้ฟังคำพูดของเซี่ยวอู่โยว เฉินเฉินก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
พวกเขาเป็นหนึ่งใน 36 สำนักของรัฐจินกันทั้งคู่ แต่อู๋ซินกลับส่งสายลับเข้ามาในสำนักเทียนหยุน ดูเหมือนว่าความขัดแย้งระหว่างสำนักในรัฐจินจะหนักข้อกว่าที่ฉันจินตนาการเอาไว้เยอะเลยสินะ
“ไม่ต้องห่วงครับอาจารย์ ตอนนี้ข้าสามารถควบคุมการดูดซับและการปลดปล่อยพลังปราณได้อย่างสบายแล้ว แม้กระทั่งผู้อาวุโสที่อยู่ขั้นสร้างรากฐานก็อาจจะไม่สามารถบอกระดับพลังของข้าได้ ถ้าข้าแค่อยู่ห่างจากเขา เขาก็จะยอมถอดใจไปเองใช่ไหมครับ?”
เซี่ยวอู่โยวส่ายหัวหลังจากได้ฟังคำถามของเฉินเฉินแล้วตอบด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ “เขาเป็นพวกไม่เอาไหนและดีแต่เที่ยวสนุกไปวันๆ เขาไม่สามารถอยู่ในสำนักเทียนหยุนได้นานนักหรอก อีกไม่นานเขาก็จะกลับไปที่โลกมนุษย์อีกครั้ง”
แม้ว่าเซี่ยวอู่โยวจะพูดเช่นนั้น แต่สีหน้าของเฉินเฉินยังคงจริงจังยิ่งขึ้นอีก
‘อาจารย์กำลังสื่อว่าถึงแม้เขาจะเป็นเจ้าสำนัก เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้ยกเว้นแต่รอให้เขาออกไปเองหรอ?’
‘สำนักอู๋ซินแข็งแกร่งขนาดนั้นเลยหรอ? พวกเขาส่งไอ้ขี้แพ้มาที่นี่แต่เจ้าสำนักก็ยังไม่กล้าแตะต้องเขาเลยเนี่ยนะ?’
ด้วยการมองเพียงปาดเดียว เซี่ยวอู่โยวก็เข้าใจความคิดของเฉินเฉินในทันที จากนั้นเขาก็หัวเราะคิกคักแล้วพูด “ถ้าเจ้าทำอะไรที่เป็นอันตรายกับเขาจริงๆ สำนักอู๋ซินจะไม่ต่อสู้กับสำนักเทียนหยุนในทันทีหรอก แต่ในตอนที่เวลามาถึงและพวกเราต้องสู้กับสำนักมาร ความสูญเสียทางฝั่งเราจะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน นอกจากนี้พวกเรายังต้องส่งทรัพยากรให้มากกว่าปกติด้วย ก็แค่เพราะมันไม่คุ้มที่จะต้องทำอะไรถึงขนาดนั้นโดยไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย”
“เข้าใจแล้วครับ” เฉินเฉินตอบอย่างจริงจัง
อย่างไรก็ตาม เขาได้ขึ้นบัญชีสำนักอู๋ซินเอาไว้ในใจแล้ว
มันคือสำนักที่เอาเปรียบสำนักของเขา เขาสาบานกับตัวเองแล้วว่าจะทำให้พวกเขาต้องชดใช้สำหรับทุกอย่างที่พวกเขาทำไปในไม่ช้าก็เร็ว!
…
ที่ตีนเขาของยอดเขาหลัก หวังเฟิงได้เดินทางมาถึงภูเขาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แต่ก่อนที่เขาจะได้เดินเข้าไป เขาก็ถูกชายแก่คนนึงที่กำลังกวาดพื้นอยู่ตีนเขาขวางเอาไว้
“ตาแก่ ข้าอยากจะขึ้นเขาไปพบผู้สืบทอดของเจ้า หลีกทางไปซะ”
หวังเฟิงมองคนที่เข้ามาขวางทางเขาแล้วสบถในทันที
“ผู้สืบทอดอยู่ในระหว่างการเก็บตัวฝึกฝนอยู่ครับ เขาจะไม่ออกมาเจอใคร” ชายแก่พูดอย่างใจเย็นด้วยดวงตาที่หลับอยู่
“ไร้สาระ อยู่แค่ขั้นฝึกพลังปราณเก็บตัวไปจะได้อะไร? หรือเจ้าคิดว่าข้าซึ่งเป็นศิษย์แลกเปลี่ยนจากสำนักอู๋ซินไม่มีค่าพอให้ไปเจอผู้สืบทอดของเจ้า?”
ใบหน้าของหวังเฟิงเดือนดาลด้วยความโกรธ เขามาที่นี่เพื่อทำเรื่องสำคัญและไม่ได้เตรียมใจมาเจอสิ่งที่น่าเหลือเชื่อ อย่างไรก็ตาม การไม่ยอมทำตามและให้ความร่วมมือของสำนักเทียนหยุนนั้นทำให้เขาคิดว่าพวกเขาหยิ่งยโสขึ้นกว่าเมื่อก่อน
ชายแก่ยังคงนิ่งอยู่ เหมือนกับว่าเขาไม่ได้ยินอะไรเลย
ซึ่งนี่ทำให้ใบหน้าของหวังเฟิงขุ่นมัวและเต็มไปด้วยความโกรธในทันที เขารู้ระดับการฝึกตนของชายแก่คนนี้ดีและรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะใช้กำลังฝ่าเข้าไป
“เจ้าจะไม่ให้ข้าได้ไปเจอผู้สืบทอดจริงๆหรอ?”
“ท่านผู้สืบทอดอยู่ในระหว่างการเก็บตัวและจะไม่ออกมาในเร็วๆนี้ครับ”
“ถ้างั้นก็ได้ เอาหินวิญญาณมาให้ข้า 100 ก้อนสิแล้วข้าจะไปเดี๋ยวนี้เลย” หวังเฟิงแบมือออกมาต่อหน้าชายแก่
ครู่ต่อมา หินวิญญาณมากมายก็ถูกนำมาวางในมือของเขา
หลังจากได้รับหินวิญญาณแล้ว หวังเฟิงก็หันหลังกลับแล้วจากไปโดยไม่พูดอะไร มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เขารับสินบนใคร และชายแก่ก็ได้ทำความเข้าใจบางอย่างกับเขาไปโดยปริยาย
เขาไม่ได้ภัคดีต่อสำนักอู๋ซินขนาดนั้นและเป้าหมายหลักของเขาก็คือการหาประโยชน์ให้ตัวเอง
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เดิน เขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
วันนี้ชายแก่ว่าง่ายเกินไป ในอดีตนั้น เขามักจะมีท่าทีลังเลก่อน
‘หรือว่าจะมีเรื่องเหม็นคาวบางอย่างเกี่ยวกับผู้สืบทอดคนนี้จริงๆ?’
หลังจากที่คิดถึงมัน หวังเฟิงก็จมอยู่ในความคิด และในที่สุดก็อดหัวเราะลั่นออกมาไม่ได้
อันที่จริง เขากลัวว่าสำนักเทียนหยุนจะทำตัวดีเกินไปเพราะนั่นจะทำให้เขาไม่มีอะไรทำ
ถ้าพวกเขาไม่เชื่อฟัง เขาก็จะสามารถหาผลประโยชน์เพิ่มเติมจากมันได้
ในขณะที่คิดเกี่ยวกับมัน หวังเฟิงก็อดนึกถึงร่างกายที่งดงามของจ้าวเสี่ยวหยาไม่ได้ เมื่อเทียบกับผู้หญิงในโลกมนุษย์ เซียนหญิงอย่างจ้าวเสี่ยวหยานั้นมีเสน่ห์กว่ามาก
“นังสารเลว! ถึงจะไม่มีหลักฐานเล่นงานสำนักเทียนหยุนข้าก็ไม่สนหรอก แต่ตอนนี้ข้าหมายตาเจ้าแล้ว เจ้าก็ยังกล้าแสดงท่าทีเย่อหยิ่งแบบนั้นกับข้า! หึ! คอยดูให้ดีเถอะว่าข้าจะจัดการกับเจ้ายังไง!”
หลังจากที่สบถออกมา หวังเฟิงก็เริ่มเดินตรงไปทางยอดเขาดาบสวรรค์ของสำนักภายใน
เขาไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นไปที่ยอดเขาหลัก แต่ถ้าเขาไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นไปที่ยอดเขาดาบสวรรค์ด้วย มันก็คงจะเกินไปแล้ว
โดยที่ถูกครอบงำด้วยความโกรธ หวังเฟิงก็เร่งฝีเท้าของเขา อย่างไรก็ตาม หลังจากเดินไปได้ไม่กี่ก้าว เขาก็เจอกับศิษย์หญิงกลุ่มนึง พวกเธอทุกคนนั้นมีใบหน้าที่อ่อนเยาว์สำหรับเขา
“นักพวกศิษย์ใหม่ของปีนี้หรอ? น่าเสียดายที่มีแต่พวกขี้เหร่”
หวังเฟิงขมวดคิ้วในขณะที่เขาเดินผ่านศิษย์หญิงกลุ่มนี้
ถึงแม้ว่าเขาจะหื่นกาม แต่เขาก็ยังเลือกผู้หญิง
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เดินไปได้ไม่กี่ก้าว เขาก็เปลี่ยนใจแล้วตัดสินใจมุ่งหน้าไปที่ยอดเขาเทียนฉินซึ่งเป็นที่อยู่ของศิษย์ภายนอกแทน
เมื่อเทียบกับศิษย์ภายใน ศิษย์ภายนอกนั้นรังแกได้ง่ายกว่ามาก โดยเฉพาะพวกที่พึ่งเข้ามาใหม่
ด้วยความคิดที่ว่าอาจจะมีสาวหน้าตาน่ารักอยู่ในกลุ่มศิษย์ใหม่ เขาจึงตัดสินใจว่าจะต้องไปดูให้ได้
ความคิดนี้ทำให้เขายิ้มกว้าง ก่อนที่เขาจะมาสำนักเทียนหยุนนั้น เขาได้ถูกสั่งมาว่าให้ก่อปัญหาได้ตามใจชอบเลย เพื่อทำลายความสงบเรียบร้อยของสำนักเทียนหยุนและขัดขวางการพัฒนาของพวกเขา
ดังนั้น ถ้าให้สรุปง่ายๆ เขานั้นถูกสั่งให้มาสร้างปัญหา!