Chapter 56: สายลับของสำนักอู๋ซิน
เช้าตรู่วันต่อมา เฉินเฉินยังคงมีอาการสับสนอยู่
ในตอนนั้นเอง หูเซียงเอ๋อก็เดินออกมาจากจุดที่พวกเขาอ่านหนังสือกันอย่างเขินอาย ในฐานะปีศาจ เธอไม่ได้นอนหลับมายาวนานแล้ว แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง เธอเผลอหลับไปเมื่อคืน
ที่สำคัญกว่านั้น เธอยังจำได้ด้วยว่าเธอน้ำลายไหลในตอนที่ตื่นขึ้น
‘เจ้านายต้องเห็นแล้วแน่ ๆ น่าอายชะมัด!’
“อรุณสวัสดิ์ค่ะเจ้านาย...” หูเซียงเอ๋อทักทายเขาเพื่อซ่อนความเขินอายของตัวเอง
เมื่อได้ยินคำพูดของเธอ เฉินเฉินก็พึมพำออกมา “ข้ามีข่าวดีกับข่าวร้ายมาบอกเจ้า อยากฟังข่าวไหนก่อน?”
“เอ๋?” หูเซียงเอ๋อตกตะลึง จากนั้น เธอก็อุทานขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว “ข่าวดีค่ะ!”
“ในอนาคตเจ้าไม่จำเป็นต้องดูแลสวนสมุนไพรแล้ว”
หูเซียงเอ๋อไม่ได้รีบดีใจ แต่เธอถามด้วยความระมัดระวังแทน “แล้วข่าวร้ายหล่ะคะ?”
“เจ้าต้องสอนมันพูด!” เฉินเฉินพูดอย่างจริงจังในขณะที่ชี้ไปทางสวนสมุนไพร
หูเซียงเอ๋อมองไปทางที่เฉินเฉินชี้ แล้วตอนนั้นเองเธอก็ได้เห็นภาพที่น่าตกใจ
ที่กลางสวนสมุนไพร มีวิญญาณดินเหลือง 10,000 ปีสูงหนึ่งฟุตที่ถูกพันด้วยผ้าและโผล่ออกมาจากดินกำลังแผ่พลังปราณออกมา
นอกจากนั้น ผักบุ้งเองก็กำลังส่ายก้านดอกของมันแล้วส่งเสียงออกมาเป็นชุด
“อรุณสวัสดิ์ อรุณสวัสดิ์ อรุณสวัสดิ์!”
“เจ้าสมุนไพรสองตนนั้นมีสติปัญญาด้วยหรอคะ?” หูเซียงเอ๋อถามด้วยความตกใจ
“ใช่ไหมหล่ะ? จิตวิญญาณดินเหลืองเป็นปีศาจอยู่แล้วแต่ดูเหมือนว่าเจ้าผักบุ้งจะมีความสามารถในการพูดและสนุกกับการเลียนแบบคำพูดของมนุษย์ด้วย ในตอนที่เจ้ามีเวลาว่างก็สอนมันพูดด้วยหล่ะ จะว่าไป ดูเหมือนว่ามันจะมีความสามารถพิเศษในการทำให้สมบัติในสวนสมุนไพรออกดอกออกผลด้วยนะ”
เฉินเฉินอธิบายด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่าไม่อยากเชื่อ
“เค่ะเค่ะเค่ะ!” เจ้าผักบุ้งส่งเสียง
พอได้ยินเสียงแปลกๆนี้ หูเซียงเอ๋อก็อุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ “พรสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์... ข้านึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าผักบุ้งน้อยจะพัฒนาพรสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ที่พิเศษอย่างความสามารถในการเร่งปฏิกิริยาเติบโต...”
ในตำนาน ความสามารถในการเร่งปฏิกิริยาของกระบวนการออกดอกออกผลนั้นมีแค่เซียนที่อยู่ขั้นวิญญาณต้นกำเนิดขึ้นไปเท่านั้นถึงจะมีพลังนี้ และมันก็มีค่าใช้จ่ายอย่างมหาศาลด้วย อย่างไรก็ตาม เจ้าปีศาจตัวน้อยซึ่งยังไม่ได้พัฒนาร่างกลับใช้ความสามารถนั้นได้จริงๆ ถ้าปรากฎการณ์ที่หายากเช่นนี้ถูกแพร่งพรายออกไปหล่ะก็ คงมีคนจำนวนมากที่ต้องการมัน
หลังจากที่หูเซียงเอ๋อพูด เจ้าผักบุ้งก็เงียบลงในขณะที่จิตวิญญาณดินเหลืองฝังตัวกลับเข้าไปในดิน
ทันใดนั้นเอง เสียงผู้หญิงที่ฟังดูอ่อนโยนก็ดังขึ้นที่ประตู
“ศิษย์พี่เฉินเฉินอยู่ที่นี่รึเปล่าคะ?”
พอได้ยินเสียงของเธอ เฉินเฉินก็ดึงสติกลับมาแล้วลุกขึ้นยืน
เขาได้รู้จักกับศิษย์น้องหญิงมาประมาณนึงแล้วตั้งแต่ที่เขาเข้าร่วมสำนักเทียนหยุน แต่ว่า ตอนนี้มีคนนึงมาหาเขา หรือว่าเธอพยายามจะมาเอาใจเขาเพราะเขาเป็นว่าที่เจ้าสำนักในอนาคต?
พอคิดถึงความเป็นไปได้นี้ เฉินเฉินก็กระแอมออกมาให้คอโล่งแล้วพยายามตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่เข้มงวด
“เข้ามาได้”
หลังจากที่เขาพูด หญิงสาวหน้าตางดงามที่สวมชุดเดรสยาวสีเหลืองคนนึงก็เดินเข้ามา ในตอนที่เขาเห็นเธอ เฉินเฉินก็รู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้มีหน้าตาคุ้นๆ
ก่อนที่เขาจะได้ถามอะไร ผู้หญิงในชุดเดรสสีเหลืองก็แนะนำตัว “ข้าชื่อจ้าวเสี่ยวหยา เป็นศิษย์ภายใน ยินดีที่ได้รู้จักค่ะพี่ใหญ่”
…
แม้ว่าจ้าวเสี่ยวหยาจะยิ้มที่ภายนอก แต่ในใจของเธอนั้นขุ่นมัว
มันเป็นครั้งแรกที่เธอเข้ามาในสวนของยอดเขาหลักและความเข้มข้นของพลังปราณที่นี่ก็ทำให้เธอตกใจเป็นอย่างยิ่ง พลังปราณนั้นมีความหนาแน่นมากกว่าพื้นที่ฝึกตนของเธออย่างน้อยสามเท่า!
แม้กระทั่งสถานที่ฝึกตนของคุณปู่เธอ ผู้อาวุโสซิงฟาแห่งสำนักเทียนยุน ก็ยังไม่สามารถเทียบเคียงกับสถานที่ของเขาได้!
“แล้ว? เจ้ามาหาข้ามีเรื่องอะไรหรอ?” เฉินเฉินถามด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบในลักษณะของศิษย์พี่
ไม่จำเป็นต้องอธิบาย จ้าวเสี่ยวหยานั้นมาที่นี่เพื่อตามหาวิชาสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์เทียนหยุน และในการให้ได้สิ่งนั้นมา เธอจึงตัดสินใจเอาโสมแดงอายุพันปีที่มีค่ามากๆจากชุดสะสมของเธอออกมาเป็นของขวัญ
เธอได้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างเฉินเฉินกับศิษย์พี่ของเธอ ซึ่งในความคิดเห็นของเธอนั้น มันเป็นคำใบที่ชัดเจนสำหรับทุกคนว่าเขาต้องการของขวัญ
เธอคิดว่าเจ้าบ้านนอกจอมโลภมากอย่างเขาอาจจะยอมเผยเคล็ดวิชาสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์เทียนหยุนให้ตราบใดที่เธอทำอะไรบางอย่างให้เขาพอใจ
หลังจากที่เธอคิดเกี่ยวกับมันดูแล้ว เธอก็เหลือบมองหูเซียงเอ๋อที่ยืนอยู่ข้างหลังเฉินเฉิน
เฉินเฉินเข้าใจเจตนาของเธอในทันทีแล้วพูดกับหูเซียงเอ๋อ “เซียงเอ๋อ เจ้าไปดูแลสวนสมุนไพรเถอะ”
หูเซียงเอ๋อยิ้มและไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากออกไปอย่างจำใจ เธอไม่กล้าทำให้เฉินเฉินอับอายต่อหน้าคนภายนอก
หลังจากที่ติดตามเฉินเฉินมาหลายวัน เธอก็รู้ว่าเจ้านายของเธอนั้นให้ความสำคัญกับภาคภูมิใจของตัวเองมากกว่าสมบัติ
“ศิษย์พี่ ท่านเป็นคนที่มีไหวพริบและสติปัญญาหลักแหลมจริงๆค่ะ...” จ้าวเสี่ยวหยาชื่นชมด้วยรอยยิ้มในขณะที่สีหน้าของเธอค่อยๆเปลี่ยนไปและถูกแทนที่ด้วยความน่าสงสาร
“ศิษย์พี่เฉิน ท่านอาจจะไม่รู้ แต่ในตอนที่ข้ายังเด็กนั้น พ่อแม่ของข้าได้ถูกลัทธิมารฆ่าทิ้งดังนั้นข้าก็เลยตั้งเป้าหมายว่าจะแก้แค้นให้พ่อแม่ของข้า.... แต่น่าเสียดาย ตัวข้านั้นไร้ความสามารถเกินไป...”
พอได้ฟังเช่นนี้ เฉินเฉินก็ขมวดคิ้ว
‘เธอหมายความว่ายังไงกัน? อยากให้ฉันล้างแค้นให้พ่อแม่ของเธอหรอ?’
‘แต่เธอไม่ใช่ภรรยาของฉัน และฉันก็ไม่ใช่เจ้าสำนัก ทำไมฉันต้องไปยุ่งเรื่องพวกนั้นด้วยหล่ะ?’
ในตอนที่เธอสังเกตเห็นว่าท่าทีของเฉินเฉินกำลังเปลี่ยนไป จ้าวเสี่ยวหยาก็รู้ในทันทีว่าเขากำลังเข้าใจอะไรบางอย่างผิด ดังนั้นเธอจึงรีบอธิบาย “ข้าจะเป็นคนที่ล้างแค้นแทนพ่อแม่ของข้าเองค่ะแต่ตอนนี้ข้าอ่อนแอเกินไป ข้าก็เลยต้องการ...”
ในตอนนี้เอง จ้าวเสี่ยวหยาก็เอาโสมพันปีออกมาจากกระเป๋าเก็บของ
ในตอนที่โสมสีแดงปรากฎขึ้น พลังปราณหนาแน่นก็เริ่มแผ่ออกมา
จ้าวเสี่ยวหยารู้สึกปวดใจในตอนที่เห็นโสมแดงเพราะพลังปราณที่มันกักเก็บเอาไว้นั้นมีปริมาณพอๆกับหินวิญญาณ 500 ก้อน! ถ้าเธอดูดซับมันจนหมด ระดับขั้นของเธอก็คงจะเพิ่มขึ้นในทันที
อย่างไรก็ตาม ถ้าเธอไม่สามารถแบกรับราคาที่ต้องจ่ายได้ เธอก็จะไม่สามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ที่มากขึ้นได้ ถ้าเธอไม่ยอมสละของดีๆ แล้วเธอจะมีหน้าไปขอเคล็ดวิชาสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์เทียนหยุนได้ยังไง?
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เธอหยิบโสมแดงออกมา มันก็ไม่ได้เป็นไปตามที่เธอคาดไว้เนื่องจากสายตาของเฉินเฉินไม่ได้มีประกายความโลภอยู่เลย อันที่จริง อารมณ์ของเขามันไม่มีความเปลี่ยนแปลงแม้แต่นิดเดียว
‘เกิดอะไรขึ้น?’
ในขณะที่กำลังวิเคราะห์สถานการณ์ใหม่ ก็มีเสียงนึงดังขึ้นจากที่ห่างไกล
“ลูกศิษย์เอ๋ย เจ้าใช้หินวิญญาณ 1,000 ก้อนที่ข้าให้ไปเมื่อครั้งก่อนเกือบจะหมดแล้วใช่ไหม? หลังจากนี้ก็มาหาข้าแล้วเอาไปเพิ่มอีก 1,000 ก้อนสิ”
พอได้ฟังเสียงนี้ จ้าวเสี่ยวหยาก็รู้สึกเหมือนโดนฟ้าผ่า
‘ผู้สืบทอดเขาดูแลกันแบบนี้หรอ? หินวิญญาณ 1,000 ก้อนเมื่อครั้งก่อนเนี่ยนะ...’
‘แต่ว่าเฉินเฉินพึ่งเข้ามาอยู่ในสำนักเทียนหยุนได้ไม่กี่วันเองไม่ใช่รึไง!’
ในขณะที่มองโสมแดงในมือ จ้าวเสี่ยวหยาก็รู้สึกค่อนข้างอับอายและไม่กล้ายื่นมันให้
ในตอนที่เฉินเฉินเห็นท่าทีของเธอ เขาก็นำมันไปโยงกับคำพูดของอาจารย์และเข้าใจสถานการณ์ในทันที
จากความเป็นไปได้ทั้งหมดนั้น จ้าวเสี่ยวหยาคงคิดจะขอร้องในเรื่องที่เกินกว่าจะยอมรับได้
‘เธอมาที่นี่เพื่อสารภาพรักกับฉันหรอ นี่มัน บ้าหน่า...มันก็ไม่ได้ดูมากเกินไปซักหน่อย! ถึงยังไงเธอก็เป็นคนสวยอยู่แล้ว’
‘ช่างมันเถอะ เชื่ออาจารย์เข้าไว้จะดีกว่า’
ในตอนนั้นเอง เฉินเฉินก็ถอนหายใจแล้วหันไปหาหูเซียงเอ๋อ “เซียงเอ๋อเห็นเจ้าพูดอยู่บ่อยๆว่าอยากได้วิญญาณปีศาจสองพันปีที่อยู่ในสวนสมุนไพรใช่ไหม? ในเมื่อวันนี้ข้าอารมณ์ดี ข้าจะยกให้เจ้าเป็นรางวัลก็แล้วกัน”
พอได้ฟังคำพูดของเขา ม่านตาของจ้าวเสี่ยวหยาก็กระตุกในขณะที่เธอหันไปมองสวนสมุนไพรโดยไม่รู้ตัว และในตอนนั้นเองกองสมบัติที่นั่นก็เปล่งประกายแวววับจนเธอแทบไม่เชื่อสายตา สมุนไพรทั้งหมดที่อยู่ในสวนนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าโสมแดงพันปีที่อยู่ในมือของเธอเลย!
“นี่มัน...”
ร่างกายของจ้าวเสี่ยวหยาสั่นอย่างรุนแรง ภายในสวน มีสมุนไพรที่มีค่าเทียบเท่ากับโสมแดงพันปีซึ่งเธอมองว่าเป็นสมบัติถูกพบได้โดยทั่วไปอยู่ในสวนของว่าที่ผู้สืบทอดสำนักที่อยู่ตรงหน้าเธอ!
‘จะมีใครอธิบายเรื่องนี้ให้เธอได้ไหม?’
ในขณะที่เธอมองเข้าไปในสวน เธอก็ยิ่งรู้สึกว่าโสมแดงพันปีในมือของเธอนั้นแทบไม่ได้ต่างอะไรจากทองที่ซุนเทียนกังเสนอให้เมื่อวันก่อน
ถึงยังไง คุณค่าก็พอๆกัน 100 หยวนอาจจะเป็นเงินจำนวนมากในสายตาของคนจน แต่ในสายตาของคนมีฐานะ มันก็แค่การแลกเปลี่ยนเพียงเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เธอเป็นคนจนและเฉินเฉินเป็นคนมีฐานะ
“ศิษย์น้องหญิง เหตุใดเจ้าถึงมอบโสมแดงนี้ให้กับข้า?” เฉินเฉินหันกลับมามองจ้าวเสี่ยวหยาด้วยรอยยิ้มบนหน้าของเขา
“ไม่....ไม่มีอะไรหรอกค่ะ มันก็แค่ของเล็กน้อยสำหรับข้า ถือซะว่าเป็นของขวัญการได้พบกันนะคะ ขอโทษด้วยจริงๆที่ค่าเสนอให้ได้แค่ของขวัญที่เล็กน้อยเช่นนี้” จ้าวเสี่ยวหยาพูดตะกุกตะกักในขณะที่เธอเอาโสมแดงไปวางไว้ในมือของเฉินเฉิน
เรื่องที่น่ากลัวยิ่งกว่าสำหรับเธอก็คือสิ่งที่เจ้าสำนักพึ่งพูดเมื่อก่อนหน้านี้ ซึ่งหมายความว่าเขาได้เห็นการกระทำทั้งหมดของเธอ
ในฐานะศิษย์พี่หญิงของสำนักภายใน เธอไม่เคยเผชิญกับสถานการณ์แบบนี้มาก่อน แต่ตอนนี้เธอตระหนักได้แล้วว่าเธอสูญเสียเป็นเท่าตัว
‘ความแข็งแกร่งของเซียนผู้มีความสามารถอยู่จุดสูงสุดของแก่นทองคำน่าหวาดหวั่นขนาดนี้เลยหรอ? ถึงแม้ว่าจะอยู่ห่างออกไปหลายพันเมตร เขาก็ยังได้ยินและเห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่อย่างชัดเจน...’
ในตอนที่เธอคิดแบบนี้ เธอก็ไม่กล้าอยู่ต่ออีก แล้วรีบบอกลาจากนั้นก็ออกไปจากสวนของยอดเขาหลักด้วยความตื่นตระหนก
“ศิษย์น้องหญิงจ้าว ข้าจะรับโสมของเจ้าเอาไว้ นับจากนี้ไป ข้าจะดูแลเจ้าในสำนักเทียนหยุน ถ้าเจ้าเจอปัญหาอะไร ก็พูดชื่อของข้าไปได้เลย!”
เสียงของเฉินเฉินดังมาจากข้างหลังของเธอ แต่จ้าวเซี่ยวหยาดูเหมือนจะไม่ได้ยินเลย
ในตอนนี้ ทั้งหมดที่อยู่ในหัวของเธอก็คือ ‘เจ้าสำนักจะไม่ยอมให้เธอได้เรียนวิชาสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์เทียนหยุน!’
พอนึกถึงความจริงนี้ จ้าวเสี่ยวหยาก็เริ่มน้ำตาคลอโดยไม่รู้ตัว
ที่เธอบอกว่าอยากแก้แค้นให้พ่อแม่นั้นเป็นความจริง.... ถึงแม้เธอจะรู้อยู่แก่ใจดีว่าวิชาสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์เทียนหยุนอาจจะไม่ได้เป็นวิชาที่เข้ากับเธอที่สุด แต่เธอก็ไม่สามารถตัดใจจากมันได้โดยที่ยังไม่ได้ลอง
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่มีความหวังเหลืออยู่แล้ว
ในช่วงเวลาแห่งความสับสน จ้าวเสี่ยวหยาก็ออกมาพ้นยอดเขาหลักในเวลาไม่นาน ในขณะที่เธอกำลังจะมุ่งหน้าไปสำนักภายใน เสียงที่ดูขี้เล่นก็เรียกเธอ
“ไม่เจอกันนานเลยนะ ศิษย์น้องหญิงจ้าว!”
ร่องรอยความรังเกียจและสะอิดสะเอียนปรากฏขึ้นในดวงตาของจ้าวเสี่ยวหยาในตอนที่เธอได้ยินเสียงนี้และความสบสันก็หายไปจากใบหน้าของเธอ และถูกแทนที่ด้วยความนิ่งเฉยอันไร้สิ้นสุด
จากนั้นเธอก็หันกลับมาพูด “ไม่เจอกันนานนะคะ ศิษย์พี่หวัง”
ในตอนที่ศิษย์พี่หวังเห็นท่าทีของจ้าวเสี่ยวหยา เขาก็เดินเข้ามาหาจ้าวเสี่ยวหยาด้วยความอยากครอบครองในสายตาของเขาซึ่งเขาไม่ได้คิดจะพยายามซ่อนเอาไว้เลยด้วยซ้ำ
“โถ่ โถ่ ศิษย์น้องหญิงจ้าว พวกเราไม่ได้เจอกันมาพักนึงเจ้าเปลี่ยนไปมากเลยนะ! เจ้ากลายเป็นคนที่สวยขึ้นกว่าเดิมอีก!”
“ช่วยทำตัวให้ดูน่าเคารพกว่านี้หน่อยเถอะค่ะ พี่ใหญ่หวัง!” จ้าวเสี่ยวหยาถอยหลังไปสองก้าว แล้วยิ่งรู้สึกรังเกียจเขามากขึ้น
เขาเป็นคนเดียวในสำนักเทียนหยุนที่กล้าเข้ามาจีบเธอตรงๆ
ก่อนหน้านี้ หวังเฟิงได้ไปเที่ยวสนุกในโลกมนุษย์ธรรมดา เธอไม่เคยรู้เลยว่าเขากลับมาที่สำนักเทียนหยุนแล้ว
พอนึกถึงวิธีการที่เขาจีบเธอในอดีต จ้าวเสี่ยวหยาก็ยิ่งรู้สึกรำคาญหนักขึ้นเรื่อย ๆ
“นี่ เสี่ยวหยา หลังจากที่ไปเที่ยวในโลกมนุษย์มา ข้าก็รู้ตัวแล้วหล่ะว่าเจ้าคือรักแท้ของข้า!” หวังเฟิงทำหน้าตาหื่นกลาม เหมือนกับว่าเขารอไม่ไหวแล้วและอยากจะเขมือบจ้าวเสี่ยวหยาซะตรงนี้เลย
ออร่าของจ้าวเสี่ยวหยาสั่นสะเทือน แล้วซัดหวังเฟิงออกไปเจ็ดหรือแปดฟุตจนทำให้เขาล้มลงกับพื้น
“เยี่ยม! จ้าวเสี่ยวหยา เจ้ากล้าทำร้ายข้าได้ยังไง!? ดูเหมือนว่าสำนักเทียนหยุนจะควบคุมไม่ได้แล้วสินะ!”
หวังเฟิงนอนอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ
จ้าวเสี่ยวหยาแอบรู้สึกผิดกับตัวเองที่ทำอะไรโดยไม่คิดแบบนี้เพราะอารมณ์ไม่ดี
เหตุผลที่เธอไม่สามารถข่มขู่หวังเฟิงได้ไม่ใช่เพราะเขามีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมหรือเป็นเซียนระดับสูง แต่มันเป็นเพราะความแข็งแกร่งของผู้สนับสนุนเขาในสำนัก
มันเป็นเพราะความจริงที่ว่าหวังเฟิงคือศิษย์แลกเปลี่ยนจากสำนักอู๋ซิน ซึ่งเป็นผู้นำของ 36 สำนัก
เขาเป็นศิษย์แลกเปลี่ยนแค่ในนาม แต่ในความจริงนั้น เขาคือสายลับที่สำนักอู๋ซินส่งมาอยู่ในสำนักเทียนหยุนอย่างโจ่งแจ้ง ถ้าหวังเฟิงกลับไปที่สำนักอู๋ซินแล้วพูดถึงสำนักเทียนหยุนในทางที่ไม่ดี สำนักเทียนหยุนก็จะตกเป็นเป้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้หรืออาจจะถูกสำนักอู๋ซินลงโทษด้วยซ้ำ...