112 - โชคที่หล่นลงมาจากท้องฟ้า
112 - โชคที่หล่นลงมาจากท้องฟ้า
สำนักผู้ว่าการมณฑลทหารของอาณาจักรฮั่นอันยิ่งใหญ่ไม่ต่างจากเขตทหารทุกระดับในชาติที่แล้วของเอี้ยนลี่เฉียง
สำนักผู้ว่าการมณฑลทหารเทียบเท่ากับสำนักผู้ว่าการของเมือง หากแคว้นผิงซีถูกมองว่าเป็นหน่วยเทศบาลสำนักงานผู้ว่าการทหารของแคว้นผิงซีก็คล้ายกับผู้บัญชาการหน่วยเทศบาลเช่นเดียวกัน
ภายใต้สำนักผู้ว่าการทหารมีกองทหารที่ยืนอยู่รวมทั้งพนักงานจำนวนมาก
โดยปกติแล้วทหารที่ยืนอยู่ภายใต้สำนักงานผู้ว่าการทหารมีหน้าที่รับผิดชอบในการปฏิบัติหน้าที่ต่างๆ ในทางกลับกันสำนักงานผู้ว่าการเมืองมีหน้าที่บรรจุทุกตำแหน่งในโครงสร้างเจ้าหน้าที่
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผู้ว่าการมณฑลทหารเป็นตำแหน่งที่อยู่ด้านล่างของผู้ว่าการแคว้นตามนโยบายการเมืองนำการทหาร ซึ่งเป็นเรื่องปกติของอาณาจักรที่มีวัฒนธรรมมาอย่างยาวนาน
เอี้ยนลี่เฉียงกำลังนึกถึงความรู้เล็กๆน้อยๆที่เขามีเกี่ยวกับสำนักงานผู้ว่าการทหาร เขาก็เข้าสำนักงานผู้ว่าการทหารพร้อมกับสือฉางเฟิงในขณะเดียวกันเขาก็สงสัยอยู่ลึกลงไปถึงเหตุผลว่าทำไมผู้ว่าการทหารถึงต้องการพบกับคนที่ไม่มีชื่อเสียงเรียงนามอย่างเขา
เจ้าหน้าที่ทหารนำสือฉางเฟิงและเอี้ยนลี่เฉียงเข้ามาในห้องหนึ่งในสำนักงานผู้ว่าการทหารโดยขอให้พวกเขารอในบริเวณนี้สักพัก เขาไม่ได้เตรียมชาไว้แต่กลับเดินหันหลังออกไป
ทหารสองคนยืนอยู่ที่ทางเข้าห้อง ภาพวาดที่สง่างามของเสือร้ายคำรามบนภูเขาถูกแขวนไว้ตรงกลางห้อง เครื่องเรือนอื่นๆมีความประณีตเรียบง่ายและมีการออกแบบทางทหารที่แข็งแกร่ง
เอี้ยนลี่เฉียงนั่งถัดจากสือฉางเฟิงในขณะที่เขากำลังตรวจสอบสภาพแวดล้อมเขาได้เห็นภาพวาดของเสือร้ายคำรามบนภูเขา
เขามองดูการแสดงออกของสือฉางเฟิงอย่างระมัดระวังและพบว่าเขาไม่ได้ดูเคร่งขรึมและเขาก็ไม่ได้ดูกังวลเช่นกัน
“อาจารย์ทำไมท่านผู้ว่าการทหารถึงอยากพบข้า” เอี้ยนลี่เฉียงกระซิบกับสือฉางเฟิงเมื่อสังเกตว่าไม่มีใครอยู่รอบๆ
"เจ้าคิดว่าเขาจะเอาเรื่องเจ้าในความปั่นป่วนที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้อย่างนั้นหรือ?" สือฉางเฟิงมองไปที่เอี้ยนลี่เฉียงพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา
"เจ้าคือคนที่สอบได้อันดับหนึ่งในปีนี้เขาจึงอยากพบเจ้าเป็นเรื่องธรรมดา!"
เอี้ยนลี่เฉียงหัวเราะอย่างแห้งๆและลูบใบหน้าของตัวเอง
"ข้าไม่มีความสามารถขนาดนั้น! ข้าก็แค่อยู่ถูกที่ถูกเวลา ... "
"ฮ่าฮ่าฮ่าช่างสมกับเป็นยอดคนในวัยหนุ่ม แม้จะมีความสำเร็จระดับนี้ก็ยังถ่อมตัวไม่แสดงความโอหังให้เป็นที่ระบายเครื่องสายตาของผู้คน "นั่ง! นั่ง! เชิญนั่งไม่ต้องเกรงใจที่นี่เป็นสำนักผู้ว่าการทหารของข้าพวกท่านไม่ต้องทำตัวห่างเหิน " หวงฟู่เฉียนฉียิ้มจากนั้นเขาก็นั่งลงบนที่นั่งหลัก
หลังจากที่เอี้ยนลี่เฉียงลี่เฉียงนั่งลงอีกครั้งเขาก็เหลือบไปเห็นผู้นำอันดับหนึ่งของทหารในแคว้นผิงซีและเขารู้สึกว่าหวงฟู่เฉียนฉีมีรูปร่างที่สง่างาม เขาสวมชุดเกราะสีน้ำตาลแดงที่แข็งแกร่งและในตอนนี้เขาไม่ได้สวมหมวก
สำหรับคนที่ประสบความสำเร็จในการบ่มเพาะมันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะกำหนดอายุที่แน่นอน อย่างไรก็ตามเขาดูเหมือนอายุราวๆ ห้าสิบ ผมสองข้างที่ขมับของเขาเป็นสีขาวเล็กน้อย
เขามีดวงตาเหมือนเสือและคิ้วหนาดูมีพลังและน่าเกรงขามมาก จากกลิ่นอายของเขา ขอบเขตที่หวงฟู่เฉียนฉีอยู่นั้นต้องอยู่เหนือปรมาจารย์การต่อสู้อย่างสือฉางเฟิงอย่างไม่ต้องสงสัย เพียงว่าเอี้ยนลี่เฉียงไม่แน่ใจว่าเขาอยู่ในระดับใด
หลังจากนั่งลงหวงฟู่เฉียนฉีก็มองไปที่เอี้ยนลี่เฉียงโดยละเอียด รูปลักษณ์ที่หล่อเหลาและอายุสิบสี่ปีของเอี้ยนลี่เฉียงทำให้เขาประหลาดใจเล็กน้อย
ถ้าเขาไม่ได้เห็นเอี้ยนลี่เฉียงเป็นการส่วนตัวคราวนี้หวงฟู่เฉียนฉีจะไม่มีทางเชื่อเลยว่าเด็กหนุ่มรูปหล่ออย่างเขาจะสามารถบดขยี้ชายชาตูทั้งสามที่ประตูเมืองได้ เขาได้ยินมาว่าสองในสามคนนั้นกลายเป็นคนพิการโดยสมบูรณ์แล้ว
ร่องรอยของความประหลาดใจฉายผ่านดวงตาของหวงฟู่เฉียนฉี"เจ้าคือเอี้ยนลี่เฉียงหรือ คนที่ยืนขึ้นอย่างกล้าหาญและทุบตีพวกชาตูเหล่านั้นโดยไม่หวั่นเกรง?"
"ลี่เฉียงคำนับผู้ว่าการทหาร!" เอี้ยนลี่เฉียงยืนขึ้นอีกครั้งและโค้งคำนับให้หวงฟู่เฉียนฉีจากนั้นเขาก็พูดอย่างถ่อมตัวว่า
"คนที่ปราบชาวชาตูอย่างแท้จริงเมื่อวานนี้คือทหารและเจ้าหน้าที่จากประตูทางเหนือข้าทำในสิ่งที่ต้องทำเท่านั้น!"
ความสุภาพเรียบร้อยของเอี้ยนลี่เฉียงทำให้เกิดเสียงหัวเราะอีกครั้งจากหวงฟู่เฉียนฉีเขาแสดงท่าทางให้เอี้ยนลี่เฉียงนั่งลงและถามอย่างมีความสุขว่า
"ข้าไปที่มณฑลชิงไห่หลายครั้งเพื่อเลือกซื้อหาของใช้ให้กับทหาร ไม่ทราบว่าบ้านเจ้าอยู่ที่ใดและประกอบอาชีพอะไร? "
"บ้านของข้าตั้งอยู่ในเมืองหลิวเหอมณฑลชิงไห่พ่อของข้าเป็นช่างตีเหล็กและบ้านของเราก็ทำโรงตีเหล็กด้วย!"
"ช่างตีเหล็ก! ไม่เลวไม่เลวเจ้ามาจากครอบครัวที่ดีเจ้าสนใจเรื่องการตีเหล็กหรือไม่?" ผู้ว่าการทหารถามด้วยความสนใจ
"ตั้งแต่เด็กข้าฝึกฝนศิลปะการต่อสู้มาโดยตลอดจึงมีความรู้เรื่องนี้น้อยมาก!" โดยปกติแล้วเอี้ยนลี่เฉียงไม่ได้มีความรู้ในเรื่องนี้น้อยอย่างที่เขากล่าว เพียงแต่ว่าเขาไม่ต้องการลงลึกมากเกินไปจึงเหมือนกับว่าเขากำลังถ่อมตัวอยู่
"ตัดสินโดยทักษะของเจ้าเจ้าน่าจะผ่านขั้นตอนท่าม้าแล้ว?"
"ถูกต้องแล้วท่านผู้ว่าการ!"
“ดี แต่ข้าเกรงว่าผู้ที่ผ่านกระบวนท่าม้าอาจไม่มีความสามารถในการคว้าอันดับหนึ่งในการสอบศิลปะการต่อสู้ของมณฑลชิงไห่!” หวงฟู่เฉียนฉีพยักหน้า "ข้าอยากทราบว่าเจ้าผ่านขั้นตอนการยืดเส้นเอ็นและกระดูกมาแล้วหรือไม่"
“ข้ายังไม่ผ่านด่านนั้น!”
"เมื่อวานนี้ชายชาวชาตูบอกว่าพวกเขาจะตามหาเจ้าเพื่อแก้แค้นแล้วเจ้าวางแผนจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร"
เอี้ยนลี่เฉียงมีสายตาแข็งกร้าวและตอบอย่างใจเย็น
"แน่นอนว่าถ้าพวกมันกล้ามาข้าจะฆ่าพวกมันให้หมดทุกคน! "
หวงฟู่เฉียนฉีลูบเคราของเขาขณะที่เขาหรี่ตามองไปที่เอี้ยนลี่เฉียง ยิ่งมองเขาก็ยิ่งพอใจกับท่าทางของเอี้ยนลี่เฉียง เขาพึมพำกับตัวเองอย่างพอใจเป็นเวลาสองวินาทีก่อนจะเปิดปากพูด
“ ในบรรดาทหารคุ้มกันของข้ายังขาดคนเลี้ยงม้าอยู่ เจ้ายินดีจะเป็นทหารรับใช้ของข้าหรือไม่ ในตอนนี้เจ้ายังอายุน้อยไม่มีเรื่องต้องให้ทำมากนักก็อาศัยอยู่ที่นี่ไปก่อน หวังว่าในอนาคตเจ้าจะทำความดีความชอบเพื่อไต่เต้าขึ้นเป็นทหารระดับสูง เจ้ามีความคิดเรื่องนี้อย่างไร!
ทำงานเป็นผู้คุ้มกันของข้าหลวงมณฑลทหาร?
คำแนะนำของหวงฟู่เฉียนฉีทำให้เอี้ยนลี่เฉียงตกตะลึงในทันที นี่เป็นถึงข้าราชการระดับเจ็ดจะกลายเป็นคนเลี้ยงม้าอย่างที่หวงฟูเฉียนฉีกล่าวได้อย่างไร?
ตำแหน่งนี้อยู่ในระดับเดียวกันกับเลขานุการของผู้ว่าการมณฑล แม้ว่าในบรรดาทหารองครักษ์ของผู้ว่าการมณฑลทหารจะเป็นตำแหน่งที่เล็กที่สุดในสำนักงานนี้แต่นั่นก็เป็นเพราะว่าเขายังเป็นเด็กอยู่
ถ้าเอี้ยนลี่เฉียงยังไม่สามารถเข้าใจได้ว่าผู้ว่าการทหารต้องการส่งเสริมและปลูกฝังเขาในเวลานี้เขาก็ใช้ชีวิตอย่างไร้ประโยชน์มาทั้งสองชีวิตอย่างแท้จริง
หัวใจดวงน้อยของเอี้ยนลี่เฉียงเต้นโครมคราม เขาเลื่อนสายตาไปที่สือฉางเฟิงและพบว่าสือฉางเฟิงก็รู้สึกตกตะลึงจนอ้าปากค้างเช่นเดียวกัน ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้คาดหวังว่าหวงฟู่เฉียนฉีจะขอให้เอี้ยนลี่เฉียงเป็นผู้คุ้มกันของตัวเองโดยตรง
“อาจารย์นี่ ...”
สือฉางเฟิงเข้าใจสิ่งที่เอี้ยนลี่เฉียงต้องการถาม เขายิ้ม
. "เจ้าสามารถทำได้อย่างเต็มที่ การเรียนที่สถาบันศิลปะการต่อสู้จะเกิดขึ้นเพียงสัปดาห์ละครั้งเท่านั้น นักเรียนจากสถาบันศิลปะการต่อสู้จำนวนหนึ่งมีหน้าที่และการดำรงชีวิตของตัวเองและมีหลายคนด้วยที่เป็นทหารอยู่ที่นี่
เจ้าสามารถเข้าชั้นเรียนวิชาวรรณคดีและประวัติศาสตร์ของข้าได้ทุกครึ่งเดือน หากเจ้ามีความใฝ่ฝันที่จะรับราชการในกองทัพมันจะไม่ส่งผลต่อการเรียนของเจ้าอย่างแน่นอน "
“ ตอนนี้ข้ามีผู้คุ้มกันอยู่สี่คนทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นนักสู้ระดับสูง หากเจ้ายินดีที่จะเข้ามาทำงานกับข้าเจ้าก็สามารถมาที่นี่ได้สัปดาห์ละ
ครั้งหน้าที่ของเจ้าก็คือหัวหน้าคนดูแลม้าของข้า
ข้าจะมอบตราประจำตัวให้เจ้าและประกาศไปทั่วเมือง หากพวกชาตูกล้ามาหาเรื่องเจ้าอนุญาตให้เจ้าสังหารได้เลย "
เมื่อได้ยินผู้ว่าการมณฑลทหารกล่าวดังนั้น เอี้ยนลี่เฉียงไม่ลังเลเขาลุกขึ้นทันทีและแสดงความเคารพต่อหวงฟู่เฉียนฉีอีกครั้ง
"เอี้ยนลี่เฉียงขอขอบคุณท่านผู้ว่าการที่ส่งเสริม!"
หวงฟู่เฉียนฉีระเบิดเสียงหัวเราะและกวักมือเรียกไปที่ประตูทันที ผู้บัญชาการทหารหนุ่มอายุประมาณสามสิบปีเดินมาหาหวงฟู่เฉียนฉีเพื่อรับคำสั่ง
"นี่คือเอี้ยนลี่เฉียงผู้คุ้มกันที่ได้รับการคัดเลือกใหม่ ยศทางทหารของเขาจะมอบให้เป็นผู้ช่วยของเจ้าชั่วคราว หงเจี๋ยนำเขาไปทำพิธีการและรับเหรียญตรากองทัพ หลังจากนั้นพาเขาไปเดินดูรอบๆคฤหาสน์ หลังจากนี้เมื่อว่างเว้นจากการเรียนที่สถาบันศิลปะการต่อสู้ เรื่องการเรียนของเขาข้าจะมอบให้เป็นหน้าที่เจ้า "