บทที่ 76 ไฮเอล์ฟ (3)
โอดินพรีดิกวูดมองลงไปที่ฝ่ามือของเขา
ผิวขาวที่เหมือนหยกนั้นเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับไฮเอลฟ์ อย่างไรก็ตามผิวของเขาดูเหมือนจะซีดมากแม้ว่าเมื่อเทียบกับเอลฟ์คนอื่นๆ
แม้แต่เส้นเลือดของเขาก็สามารถมองเห็นได้ชัดเจนผ่านผิวหนังของเขา
วูๆ
ทันใดนั้นพลังงานสีม่วงดูเหมือนจะปะทุออกมาจากฝ่ามือซีดๆของเขา
พลังศักดิ์สิทธิ์ของนอซด็อก
มันเป็นพลังที่ยอดเยี่ยมที่ไม่เพียงทำให้คนตายฟื้นขึ้นมาและทำให้พวกเขาเป็นทาสแต่ยังสามารถสร้างความตายให้กับผู้อื่นได้เช่นกัน
มันเป็นพลังที่ไม่เหมาะกับเอลฟ์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความสามัคคี แต่พลังสีม่วงยังคงทำให้ใบหน้าของโอดินยิ้มได้
จุ๊ก
ในพริบตาเขานึกถึงพลังงานของเขาและก็ทำให้มันหายไปอย่างไร้ร่องรอย
“นายกำลังกังวลอะไร?”
ในขณะนั้นพื้นตรงด้านหน้าของเขาเริ่มเบลอและสามารถมองเห็นภาพลวงตาของบางสิ่งได้ภายในนั้น
มันคือโครงกระดูก!
มันเป็นภาพลวงตาของรูปร่างโครงกระดูกยักษ์ที่ทำจากกระดูกสีขาวบริสุทธิ์และล้อมรอบไปด้วยพลังงานสีม่วงพร้อมกับควันสีเขียวที่พ่นออกมาจากรูตา
ถ้าความตายมีรูปร่าง หน้าตาของมันจะเป็นแบบนี้เหรอ?
แม้แต่จิตของคนที่กล้าหาญที่สุดก็สามารถพังทลายลงได้จากความกดดันที่หลั่งไหลเข้ามาในจิตใจของพวกเขาหากได้พบเจอเข้ากับร่างนี้
โครงกระดูกนี้คืออะโพคาลิปส์แห่งความตายนอซด็อกหนึ่งในห้าเดมิก็อดที่ทรงพลังที่สุด
[อินดราตายไปแล้ว]
มันเป็นเสียงที่น่ากลัวราวกับเสียงกรีดร้องของปีศาจแต่โอดินเพียงแค่เอียงศีรษะของเขาราวกับว่ามันไม่มีอะไรแปลก
“คนทรยศอีกแล้วเหรอ?”
[ถูกตัอง และเหมือนเมื่อก่อน ไม่พบร่องรอย]
“…”
โอดินไม่เข้าใจ
เขายังคงไม่เข้าใจความจริงที่ว่ามีคนทรยศอยู่ในกลุ่มของเหล่าเดมิก็อด
สิ่งมีชิวิตทั่วไปจะเข้าใจความคิดของสิ่งมีชีวิตที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้อย่างไร?
โอดินไม่ได้คิดเรื่องนี้ลึกซึ้งจนเกินไป
[ระวังตัวจนกว่าจะถึงการประชุมครั้งต่อไป ถ้าแกตายฉันก็จะตกอยู่ในอันตรายด้วย]
“ตามที่นายสั่งครับ”
วูป
ร่างของนอซด็อกค่อยๆหายไปและพื้นที่ก็กลับมาคงที่อีกครั้ง
โอดินทำท่าไม่พอใจ
"ระวังตัวหรอ?"
นั่นเป็นเพียงสิ่งที่เขาต้องทำตอนอยู่ข้างนอก ท้ายที่สุดไม่มีใครทำร้ายเขาได้ภายในป่าใหญ่เรย์นอล
นี่ไม่ใช่สถานที่เปิดให้บุคคลภายนอกเข้ามาเดินเล่นได้
แน่นอนว่านั่นเป็นเพียงหนึ่งในสาเหตุ
แต่กล่าวอีกนัยหนึ่งสถานที่แห่งนี้ปลอดภัยสำหรับเขามากกว่าที่อื่นในโลก
จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงเคาะประตูของเขา
โอดินลุกขึ้นและใส่เสื้อผ้า
"เข้ามา"
เอลฟ์หนุ่มเปิดประตูอย่างสุภาพ
เขาโค้งคำนับก่อนกล่าว
“ท่านโอดินครับราชินีได้อัญเชิญท่าน”
“บอกเธอว่าเดี๋ยวฉันจะไป”
โอดินยิ้ม
“ยังไงซะฉันคงปล่อยให้น้องสาวของฉันรอนานไม่ได้”
* * *
ในขณะที่ป่าเริ่มหนาขึ้นไซแอ็กซ์กล่าว
“นี่คือจุดแรกในการเข้าไปยังป่าใหญ่ ตามฉันให้ทันละ”
“เฮ้ คลายคาถาลวงตาออกเถอะ”
"ฮะ?"
“ก็มันเป็นเรื่องแปลกสำหรับหญิงชราอายุมากพูดสำเนียงของสาวๆแบบที่คุณทำ”
การแสดงออกของไซแอ็กซ์แข็งกระด้าง
“…หยาบคายจัง”
“ฉันจะถือเป็นคำชมเชยสำหรับความซื่อสัตย์ของฉัน ถึงเพื่อนของฉันอีกคนจะไม่ได้พูดอะไรเลยแต่ฉันพนันได้เลยว่าเขาเองก็คิดเหมือนกัน”
“ไม่นิ ฉันไม่คิดอะไรเลย”
"ฮะใช่หรือ? งั้นก็ขอโทษทีนะ ”
ขณะที่อีวานยักไหล่อย่างไม่ปรานีไซแอ็กซ์ก็ถอนหายใจก่อนจะคลายภาพลวงตาออก
เมื่อใบหน้าที่แท้จริงของเธอถูกเปิดเผยอีวานก็ผิวปากอย่างชื่นชม
“ฉันรู้ว่าคุณเป็นเอลฟ์ แต่คุณสวยกว่าที่ฉันคิดเอาไว้มาก”
“ฉันแค่คิดว่าการที่ฉันคลายคาถาลวงตาไม่ได้ทำเพื่อเป็นอาหารตาสกปรกๆของนายหรอกนะ”
“ในที่สุดคุณก็บ่นออกมาจนได้”
อีวานพูดก่อนจะหันไปหาเฟรย์
“นายจะไม่พูดอะไรหน่อยเหรอ?”
“ฉันไม่สนใจ ระดับของคาถาลวงตาก็ไม่ได้สูงขนาดนั้น”
คำพูดนั้นทำให้ไซแอ็กซ์ประหลาดใจเล็กน้อย
เวทมนตร์ลวงตาไม่ใช่ทักษะระดับสูงมากนัก แต่ต้องใช้ทักษะจำนวนมากในการรักษาให้มันดูเป็นธรรมชาติ
แม้แต่การควมคุมมานาก็ยังน่ารำคาญอยู่เล็กน้อย
นั่นคือสาเหตุที่ไซแอ็กซ์ทำตัวห่างเหินจากมนุษย์เมื่อเธอปลอมตัวเป็นหญิงชรา
เป็นเพราะมันค่อนข้างยุ่งยากที่จะให้ความสนใจกับบทสนทนาในขณะที่พยายามรักษาภาพลวงตา
ถ้าเขาสามารถทำขั้นตอนนั้นได้อย่างสบายๆ
‘เขาเป็นพ่อมดระดับ 6 ดาวหรือเปล่านะ?’
แต่ใบหน้าที่แท้จริงของเขาซึ่งเขาเปิดเผยเมื่อไม่นานมานี้ดูเด็กมาก
‘เขาอาจไม่ใช่มนุษย์’
เธอได้ยินมาว่ามีเผ่าอื่นๆอยู่ในเซอร์เคิลพวกนี้
ในขณะที่ไซแอ็กซ์กำลังคิดว่าเธอไม่ควรดูถูกผู้ชายสองคนนี้ เฟรย์ก็มองไปรอบๆต้นไม้ก่อนจะถาม
“คนนอกสามารถเข้ามาในป่านี้ได้บ่อยไหม?”
นี่เป็นเรื่องที่คิดไม่ถึงหากเป็นเมื่อ 4,000 ปีก่อน
“ฉันไม่สามารถพูดได้จริงๆ มันเริ่มดีขึ้นหลังจากการรวมกันครั้งใหญ่แต่ฉันจะไม่บอกว่าเราเปิดรับคนนอกอย่างเต็มร้อยเช่นกัน”
ไซแอ็กซ์มองไปรอบๆ
หูของเธอบิดไปมาแล้วเธอก็เปลี่ยนทิศทาง
นี่เป็นเหตุผลที่เอลฟ์เป็นเพียงเผ่าเดียวที่สามารถหาหมู่บ้านของพวกเขาในป่าได้โดยไม่หลงทาง
พวกเขาสามารถได้ยินเสียงของป่ากระซิบบอกทาง มันเป็นเสียงที่มีแต่เอลฟ์เท่านั้นที่ได้ยิน
เฟรย์เดินตามเธอไปขณะพูด
“ฉันอยากให้คุณแนะนำเราในฐานะคู่หูที่คุณพบขณะออกตามล่าเนโครแมนเซอร์แทนที่จะเป็นสมาชิกของเซอร์เคิล”
“หืม…ทำไมละ?”
“เพราะเราไม่รู้ว่าเค้าเป็นใครและอยู่ที่ไหน เพียงเพราะพวกเขาเข้าไปในป่านั้นไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไม่ไปยังหมู่บ้านของไฮเอลฟ์ ถ้าเนโครแมนเซอร์ไม่อยู่ที่นั่นเราก็ต้องตามหาตัวเขาต่อ”
นั่นเป็นเรื่องโกหก
มีโอกาสสูงมากที่โอดินจะอยู่ในหมู่บ้านของไฮเอลฟ์
อย่างไรก็ตามเขาแค่หาข้ออ้างที่เป็นไปได้ในการซ่อนตัวตนของพวกเขาในฐานะสมาชิกของเซอร์เคิล
ยกเว้นอีวานเพราะเขาไม่ได้มาจากเซอร์เคิลจริงๆ
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งไซแอ็กซ์ก็พยักหน้า
“ฉันเข้าใจแล้วแต่ฉันขอบอกความจริงกับราชินีนะ”
เธอมีความยืดหยุ่นมากกว่าที่เขาคาดไว้
เป็นเพราะเธอเป็นเอลฟ์พเนจรที่ออกสำรวจทวีปหรือ?
ถ้าเธออาศัยอยู่ในป่ามาตลอดชีวิต เธออาจจะพบว่ามันยากที่จะเล่าเรื่องโกหกเล็กน้อยเช่นนี้
เฟรย์รู้สึกว่านี่เป็นสิ่งที่ดี
“แน่นอนคุณควรทำ”
ตอนนั้นเอง
มีเสียงดังขึ้นอยู่ในความคิดของเฟรย์
[พวกเราจะต้องทำอะไรหลังจากเข้าไปในหมู่บ้าน?]
มันเป็นเสียงของอีวาน
มันไม่ใช่คาถาโทรจิตแต่เป็นทักษะที่เรียกว่ากระแสเสียงที่ใช้โดยนักรบเวทย์
ไม่ว่าเขาจะกระซิบเบาแค่ไหนเขาก็ไม่สามารถหลบเลี่ยงการได้ยินของเอลฟ์ได้เขาจึงเลือกวิธีนี้แทน
เฟรย์ตอบเขาโดยใช้โทรจิต
[เราต้องค้นหาว่าโอดินกำลังทำอะไรอยู่]
[ทำไมละ? ทำไมเราไม่เปิดเผยตัวตนของเขากับราชินีหรือเจ้าหญิงหรืออะไรสักอย่าง]
อีวานคิดแผนที่เรียบง่ายกว่าที่เฟรย์คาดไว้มาก เขาหวังเพียงว่าอีวานจะไม่พูดมากตอนอยู่ในหมู่บ้าน
…เออ...
เขาตัดสินใจว่ามันจะฉลาดกว่าที่จะบอกอีวานให้มากที่สุดก่อนที่เขาจะทำอะไรโง่ๆ
[ถ้าเขาซ่อนพลังศักดิ์สิทธิ์ของเขาอย่างสมบูรณ์แบบ พวกเราก็จะไม่มีหลักฐานพอที่จะพิสูจน์ว่าเขาเป็นอัครสาวก เราเป็นคนนอกดังนั้นพวกเขาจึงระมัดระวังตัวกับพวกเรามากกว่าและถ้าหากเราทำอะไรผิดพลาดไปพวกเขาอาจขับไล่เราออกจากหมู่บ้านไปเลยก็ได้]
[เนื่องจากโอดินเป็นไฮเอลฟ์จึงมีความเป็นไปได้สูงที่เขาจะยังอยู่ในหมู่บ้าน]
เฟรย์หันไปมองด้านหลังของไซแอ็กซ์
[ฉันได้ทดสอบไปก่อนหน้านี่ แต่ดูเหมือนว่าจะยังคงมีความตึงเครียดอยู่ระหว่างทั้งสองเผ่าพันธุ์ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะเข้าไปในหมู่บ้านของไฮเอลฟ์ด้วยความช่วยเหลือของดาร์กเอลฟ์และแม้ว่าเราจะทำเช่นนั้นได้ก็ต้องใช้เวลามาก]
[อืม…]
ตอนนั้นเองอีวานก็รู้แล้วว่าทำไมเฟรย์ถึงต้องพูดเรื่องโกหกที่เกี่ยวพันกันมากมาย
อย่างน้อยมันก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะทำได้
พ่อมดทุกคนเป็นแบบนี้หรือเปล่านะ?
เขาได้ยินเพียงชิ้นส่วนเล็กๆน้อยๆแต่รู้สึกเหมือนว่าเฟรย์มีแผนการที่เป็นระบบมาก อีวานจึงหายวิตกกังวลจากเรื่องที่คลุมเครือและเต็มไปด้วยความมั่นใจแทน
ในขณะนั้นเองที่อีวานเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมที่ริกิถึงชอบมองเขาด้วยสายตาและท่าทางแปลกๆ
[เราต้องหาหลักฐานที่มัดตัวได้ นั่นหมายความว่าเราต้องหาหลักฐานที่จะทำให้พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมรับว่าโอดินเป็นอัครสาวก]
[นายคงต้องคิดแผนการมาหลายแบบแล้วสินะ โชคดีจริงๆที่ได้เจอเข้ากับนายนะเพื่อน]
“…”
ในขณะนั้นเฟรย์จ้องมองอีวานเป็นเวลานานพร้อมกับสีหน้าว่างเปล่าบนใบหน้าของเขา
น้ำเสียงและการแสดงออกที่สนุกสนานของอีวานดูเหมือนจะทับซ้อนกับคนอื่น
อีวานเอียงศีรษะราวกับจะถามเฟรย์ว่าเขามองอะไรอยู่
เฟรย์ส่ายหัวและลบความประทับใจของคาซาจินที่อยู่ในใจของเขาออกในขณะนั้น
เพราะคนตรงหน้าเขาไม่ใช่คาซาจิน