ขุนศึกสยบสวรรค์ บทที่ 1 ศิษย์พี่ใหญ่
บทที่ 1 ศิษย์พี่ใหญ่
ภูเขาหมอกเมฆาตั้งอยู่ทางใต้ของอาณาจักรต้าฉิน
มองจากบนชั้นเมฆไปยังเบื้องล่างจะเห็นผืนโลกไร้ขอบเขตถูกปกคลุมด้วยหมอกในยามเช้า มีเพียงยอดเขาสูงตระหง่านที่โผล่พ้นก้อนเมฆ บนผืนโลกแห่งนี้ยังมีภูเขานับไม่ถ้วนตั้งอยู่
ผู้คนมากมายกำลังต่อแถวเรียงรายอยู่ที่เนินเขาลูกหนึ่งในขณะที่ดวงอาทิตย์เพิ่งจะโผล่พ้นขอบฟ้า ครอบครัวในรัศมีหมื่นลี้ต่างส่งบุตรหลานของตนมายังสำนักหมอกเมฆาเพราะหวังว่าจะสามารถผ่านการทดสอบและได้เป็นศิษย์ของสำนักเก่าแก่นี้ ไม่มีใครอยากพลาดโอกาสนี้เพราะในหนึ่งปีมีการทดสอบเพียงครั้งเดียว
ในขณะที่ทุกคนกำลังต่อแถวอย่างใจจดจ่อเพื่อรอการทดสอบ กลับมีชายคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นพร้อมเสื้อผ้าที่ขาดวิ่นราวกับขอทาน เขาไม่แยแสต่อสภาพแวดล้อมในปัจจุบันพร้อมกับเดินตรงไปที่ประตูสำนักอย่างมั่นคง
“เจ้า! หยุดเดี๋ยวนี้!”
ศิษย์ของสำนักหมอกเมฆาสองคนกระโดดขึ้นกระบี่บินพร้อมกับพุ่งทะยานมาหาชายแปลกหน้าอย่างเร่งรีบ ศิษย์ทั้งสองสวมใส่ชุดคลุมสีขาวสะอาดตา กระบี่บินวาววับเด่นชัดอยู่ใต้ฝ่าเท้า ฝูงชนที่รับชมเผยความริษยาออกมาอย่างไม่ปิดบัง เช่นนี้ยิ่งทำให้ศิษย์ทั้งสองรู้สึกเย่อหยิ่งทะนงตนกว่าเดิม อย่างไรแล้วการจะเข้าร่วมสำนักหมอกเมฆานี้โอกาสมีเพียงหนึ่งในหมื่นเท่านั้น!
แม้ศิษย์ทั้งสองจะปรากฏตัวขึ้นราวกับเทพเจ้าซึ่งไม่ควรมองข้าม ทว่าชายคนนั้นยังคงก้าวเดินต่อไปอย่างมั่นคง...
ด้วยท่าทีเช่นนี้ทำให้ศิษย์ทั้งสองพลันเกรี้ยวกราด จิตสังหารรุนแรงแผ่กระจายออกมาจนทำให้ผู้รับชมโดยรอบอดไม่ได้ที่จะหลั่งเหงื่อเย็นเฉียบทั่วร่างกาย แต่ชายคนนั้นก็ยังก้าวเดินต่อไปอย่างไม่แยแส...
“เกิดอะไรขึ้น?!”
หญิงสาวชุดสีแดงดูสูงส่งกว่าผู้ใดเดินออกมาจากสำนักหมอกเมฆา รูปร่างเย้ายวนและเนินเขาสองลูกนั้นมีขนาดใหญ่กว่าหญิงสาวในวัยเดียวกัน ขณะก้าวเดินภูเขาชูชันสะเทือนเป็นจังหวะราวกับเสื้อผ้านั้นพร้อมปริแตกได้ทุกเมื่อ เส้นโค้งเว้าระหว่างเอวไปถึงสะโพกนั้นสวยงามราวภาพวาด
“ศิษย์พี่หญิง...ไอ้ขอทานผู้นั้นมันไม่ต่อแถวขอรับ!”
เมื่อจูซือเจียปรากฏตัวขึ้น ศิษย์ทั้งสองคนรีบโค้งตัวทำความเคารพในทันที ท่าทางเย่อหยิ่งก่อนหน้านี้พลันหายไปหมดสิ้น!
“กล้าหาญยิ่ง!”
ใบหน้าของจูซือเจียเผยความขุ่นเคืองพร้อมกับปลดปล่อยจิตสังหารรุนแรงออก ขาเรียวยาวก้าวตรงไปด้านหน้าเพราะหมายจะขวางทางอีกฝ่าย
ชายขอทานเพียงเงยหน้าขึ้นแต่ไม่โต้ตอบคำใด
แม้ใบหน้าไม่ได้หล่อเหลา แต่กลับเต็มไปด้วยความสุขุมเยือกเย็นที่คนวัยเดียวกันไม่อาจมี ดวงตาลุ่มลึกเผยถึงความเย็นชาราวกับมองเห็นโลกใบนี้มานานนับล้านปี มันไม่เผยอารมณ์ใดแต่กลับสร้างความสับสนให้กับผู้คนที่ได้จ้องมอง แววตาวูบไหวเป็นประกายราวกับถูกดูดกลืนเข้าไปในจักรวาลกว้างใหญ่ ราวกับถูกดูดกลืนวิญญาณออกจากร่างกายเพียงแค่ได้สบตา!
หัวใจของหญิงสาวในชุดแดงพร้อมด้วยศิษย์เฝ้าประตูทั้งสองเต้นรัวอย่างบ้าคลั่งเมื่อเห็นสายตาของผู้มาใหม่ ตอนนั้นเองที่ทั้งสามเปิดทางให้กับอีกฝ่ายอย่างไม่รู้ตัว
เขาเดินต่อไปด้วยฝีเท้าที่สม่ำเสมอเป็นจังหวะเดียว ใบหน้ายังคงเรียบเฉยไม่สนใจสิ่งใด
“ศะ...ศิษย์พี่ใหญ่?!”
ดวงตาของจูซือเจียเบิกกว้างพร้อมกับอุทานร้องออก “ยะ-เยี่ยฉวน! จะ-เจ้าไม่ได้ตายที่สุสานเทพเจ้าเมื่อสามเดือนที่แล้วงั้นหรือ?!”
“ข้ากลับมาแล้ว!”
เยี่ยฉวนตอบกลับเสียงเรียบพร้อมกับเดินต่อไป
ลูกศิษย์ทั้งสองคนของสำนักยืนหน้าซีดอยู่ด้านหลังเยี่ยฉวน ยังคงรวบรวมสติไม่ได้แม้เวลาจะผ่านไปแล้วสองสามนาที เพียงช่วงเวลาสั้นๆที่เยี่ยฉวนเดินผ่านและเหลือบมอง เป็นเวลานั้นเองที่พวกเขารู้สึกราวกับจิตสำนึกเลื่อนลอยไม่ได้สติ
ใบหน้าศิษย์ทั้งสองซีดขาว พวกเขายืนมองแผ่นหลังของชายหนุ่มด้วยความตกตะลึง สติลอยเคว้งอยู่ในภวังค์เนิ่นนานหลายนาที
“หยุด! ไปห้องโถงใหญ่เพื่อพบผู้อาวุโสก่อน...”
จูซือเจียตะโกนออกหลังจากลังเลอยู่ชั่วขณะ นางเดินตรงไปหาเยี่ยฉวนและเห็นว่าสายตาของอีกฝ่ายเปลี่ยนไปโดยสมบูรณ์ก็ยิ่งทำให้รู้สึกสับสน เขาเป็นคนขลาดเขลาแต่กลับแสดงท่าทีเย็นชาเช่นนี้ได้งั้นหรือ? สิ่งนี้ทำให้นางรู้สึกขุ่นเคืองใจไม่น้อย!
ทันใดนั้นเสียงก้องกังวลของระฆังภายในสำนักก็ดังขึ้น
ความโกลาหลพลันเกิดขึ้นทันที ทุกคนต่างเร่งรีบไปยังห้องโถงใหญ่ แม้แต่อาวุโสบางคนที่กำลังฝึกตนตลอดทั้งปียังต้องยอมละทิ้งเพื่อมุ่งหน้าสู่ห้องโถงด้วยเช่นกัน ทั้งหมดนี้เป็นเพราะไม่มีใครคาดคิดว่าเยี่ยฉวนจะกลับมา!
สามเดือนก่อนเยี่ยฉวนได้รับภารกิจให้ไปยังสุสานเทพเจ้าเพื่อเก็บสมุนไพรสองสามชนิดกับศิษย์คนอื่น ๆ สถานที่แห่งนั้นคือเขตแดนต้องห้ามของสำนักหมอกเมฆา แต่ในตอนท้ายกลับถูกซุ่มโจมตีโดยไม่คาดคิดและทุกคนบาดเจ็บสาหัส ศิษย์ขั้นซิ่วฉือระดับห้าตายตกในพื้นที่ แม้ศพของเยี่ยฉวนไม่ถูกค้นพบแต่ทุกคนก็คาดเดาว่าเขาคงไม่สามารถเอาชีวิตรอดได้ เพราะระดับการฝึกฝนของเขาเพียงขั้นอูเจ๋อระดับหนึ่งเท่านั้น
ผู้คนในดินแดนนี้แบ่งระดับการฝึกตนออกเป็นห้าขั้นซึ่งประกอบด้วย อู่เจ๋อ ซิวฉือ ปรมาจารย์แห่งเต๋า นักปราชญ์และผู้เป็นอมตะแห่งเต๋า และในทุกขั้นจะมีเจ็ดระดับ ดังนั้นไม่มีทางที่เยี่ยฉวนจะสามารถเอาชีวิตรอดได้เพราะศิษย์ระดับซิวฉือตายตกทั้งหมด
ดวงตาของทุกคนในห้องโถงจับจ้องเยี่ยฉวนอย่างเคลือบแคลงใจ
‘เยี่ยฉวน’ อาวุโสที่สุดในหมู่ศิษย์รุ่นเยาว์ของสำนักหมอกเมฆา เขาเป็นศิษย์สายตรงของท่านเจ้าสำนักเพราะตระกูลของเขาทำคุณประโยชน์ให้กับสำนักมากล้น เจ้าสำนักจึงรับเขาเป็นศิษย์สายตรงตั้งแต่เด็ก แม้ความสามารถจะไม่โดดเด่น แต่เจ้าสำนักกลับมอบผลึกเส้นโลหิตมังกรให้กับเขาโดยไม่อิดออด! ระยะเวลาการฝึกของเยี่ยฉวนนั้นยาวนานที่สุดในหมู่ลูกศิษย์ของสำนักจึงได้รับการขนานนามว่าศิษย์พี่ใหญ่ ทว่าน่าเสียดายที่ความสามารถของเขาไม่โดดเด่นและท่านเจ้าสำนักออกท่องยุทธภพทันทีหลังจากรับเขาเป็นศิษย์ เช่นนี้จึงไม่มีใครช่วยชี้แนะวิธีการฝึกตนให้แก่เขา จึงส่งผลให้ระดับการฝึกตนของเยี่ยฉวนอยู่ต่ำกว่าศิษย์น้องหลายๆ คนแม้ว่าเขาจะมีสถานะเป็นศิษย์พี่ใหญ่ก็ตาม!
เพราะทุกคนในสำนักต่างคิดว่าเยี่ยฉวนตกตาย จึงไม่มีใครคิดจะค้นหาศพของเขาแม้แต่น้อย อีกทั้งยังมีศิษย์จำนวนหนึ่งต้องการแย่งชิงตำแหน่งศิษย์พี่ใหญ่อีกด้วย ไม่มีใครสักคนคาดคิดว่าเยี่ยฉวนจะมาปรากฏตัวหลังจากผ่านไปสามเดือน!
“ยะ-เยี่ยฉวน จะ-เจ้ากลับมาได้อย่างไร?!” หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง อาวุโสลำดับสามที่นั่งชั้นบนสุดของห้องโถงกล่าวขึ้น ดวงตาเรียวยาวเหลือบมองเยี่ยฉวนตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างไม่เชื่อถือ
“ข้าจะกลับมาไม่ได้หรือท่านอาวุโสลำดับสาม?! หรือว่ามีคนผิดหวังที่ข้ารอดมาได้?!” แม้เยี่ยฉวนจะตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทว่าภายในใจนั้นเปล่งเสียงหัวเราะเย็นชา
ใช่...เขาตายแล้ว! เยี่ยฉวนคนก่อนตายไปแล้ว!
ตอนนี้ผู้ที่อยู่ในห้องโถงคือเยี่ยฉวนอีกคน! ผู้เป็นอดีตนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่เชี่ยวชาญด้านการซ่อนเร้นสวรรค์ที่มีชื่อและแซ่เดียวกัน หลังจากติดอยู่ในสุสานเทพเจ้านานนับล้านปี ในที่สุดวิญญาณที่แตกสลายก็สามารถหลบหนีออกมาและถือกำเนิดในร่างของเยี่ยฉวนศิษย์แห่งสำนักหมอกเมฆา หลังจากที่เยี่ยฉวนทั้งสองคนหลอมรวมความทรงจำเข้าด้วยกัน ก็รู้แจ้งถึงความนึกคิดของทุกคนที่มีต่อเขาทันที
อาวุโสลำดับสามเผยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขาไม่ได้พูดคำใดตอบ ตอนนั้นเองเสียงที่เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองใจดังขึ้นอีกครั้ง “ศิษย์ทุกคนตายตกในภารกิจนี้! แต่เจ้าอยู่ในขั้นอูเจ๋อระดับหนึ่งกลับรอดชีวิตได้งั้นหรือ!? พวกเรารู้ดีว่าสุสานเทพเจ้าอันตรายและยังมีหมอกหนาปกคลุมทั้งปี เช่นนี้จึงไม่มีผู้ใดย่างกรายเข้าใกล้ แล้วศิษย์ทั้งหมดถูกซุ่มโจมตีได้อย่างไรกัน? คนที่ทรยศหักหลังสำนักเช่นเจ้ายังสามารถแบกหน้ากลับมาอีกงั้นหรือ?!” อาวุโสลำดับที่ห้าซึ่งนั่งอยู่ข้างอาวุโสลำดับสามกล่าวอย่างขุ่นเคือง สายตานั้นเต็มไปด้วยความเย็นชาขณะจับจ้องเยี่ยฉวน
“ท่านอาวุโสลำดับห้า...ใครคือคนทรยศ?! มีหลักฐานใดหรือไม่?!”
เยี่ยฉวนเงยหน้าขึ้นพร้อมกล่าวคำออกอย่างเรียบง่าย แววตาวูบไหวเผยความเย็นชา ไม่ปรากฏอารมณ์ใดราวกับว่ามันกำลังจ้องทะลุจิตใจของอีกฝ่ายด้วยการมองเพียงครั้งเดียว ร่างกายของอาวุโสลำดับห้าพลันแข็งทื่อ เขารู้สึกว่าความลับที่ซุกซ่อนไว้กำลังจะถูกเปิดเผย! ความลุ่มลึกและท่าทางห่างเหินในแววตานั้นทำให้หัวใจของเขาเริ่มเต้นอย่างบ้าคลั่ง ความกระอักกระอ่วนถาโถมทำให้เขาจำต้องหลบสายตาของเยี่ยฉวนโดยพลัน
เยี่ยฉวนกวาดสายตาไปรอบ ๆ พร้อมกับชูตรารับรองขึ้นเหนือศีรษะ เขากล่าวคำออกด้วยเสียงดัง “พวกท่านจดจำตรารับรองนี้ไม่ได้งั้นหรือ?!”
ทุกคนเผยสีหน้าตื่นตระหนกพร้อมกับโค้งกายต่อหน้าเยี่ยฉวนทันที
แม้ท่านเจ้าสำนักไม่ได้กลับสำนักหมอกเมฆานานนับปี ทว่าการได้เห็นตรารับรองนี้เท่ากับการได้เห็นท่านเจ้าสำนักตัวเป็นๆ ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าเพิกเฉย!
“ตระกูลของข้าทำคุณประโยชน์ให้แก่สำนักหมอกเมฆา! ท่านเจ้าสำนักรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณจึงมอบตรานี้ให้เป็นของรางวัล...จากนั้นก็รับข้าเป็นศิษย์สายตรง การที่ข้าหยิบตรารับรองออกมาไม่ได้หมายความว่าข้าหยิ่งผยองหรือต้องการแอบอ้างความสำเร็จของตระกูลแต่อย่างใด! ข้าเพียงต้องการกล่าวเพียงแค่อย่าอยู่แต่ในกะลาแล้วโยนความผิดให้ผู้อื่น! หากข้าต้องการสร้างอันตรายแก่สำนักหมอกเมฆา แล้วเหตุใดข้าถึงต้องทนฝึกวิชาตามลำพังอย่างขมขื่นบนยอดเขาเล่า?! เหตุใดข้าถึงไม่แสดงตรารับรองแล้วถามเคล็ดวิชาลับการฝึกของสำนักเล่า?! หลังจากท่านอาจารย์ออกท่องยุทธภพพวกเจ้าก็ห้ามไม่ให้ข้าเข้าหอคัมภีร์สงครามเพื่อศึกษาวิธีฝึกที่เหมาะสมกับข้า! ไม่มีใครในที่นี้ช่วยชี้แนะวิธีฝึกฝนให้ข้าเลยสักคน! ตอนนี้... ข้ามีชีวิตรอดกลับมายังสำนักหมอกเมฆา แต่พวกเจ้าทุกคนกลับขับไล่ข้าอย่างไม่มีเหตุผล! พวกเจ้าไม่คิดว่าการกระทำนี้จะทำให้เหล่าบรรพชนของสำนักและท่านเจ้าสำนักผิดหวังงั้นหรือ?!”
เยี่ยฉวนกวาดสายตาไปรอบห้องโถงอย่างขุ่นเคือง แววตานั้นเต็มไปด้วยความเย็นชา ไม่มีผู้ใดกล้าสบตาทำได้เพียงก้มหน้าลง ทั้งอาวุโสลำดับสามและลำดับห้าก็เช่นกัน แม้จะมีอคติในใจแต่ก็ไม่อาจสู้หน้าได้
ตอนนี้ไม่มีใครกล้ากล่าวหาว่าเขาเป็นคนทรยศอีกแล้วเพราะเขามีตรารับรองปกป้องอยู่ หรือหากว่ามีหลักฐานว่าเยี่ยฉวนเป็นคนทรยศ ก็มีเพียงเจ้าสำนักเท่านั้นที่สามารถขับไล่เขาออกไปจากที่นี่ได้
“เอาล่ะ มันเป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิดเท่านั้น แยกย้ายไปได้แล้ว… เยี่ยฉวน เจ้าจงอย่างได้ใส่ใจเลย ท่านอาวุโสลำดับสามและห้าต่างเป็นห่วงสำนักจึงถามไถ่ ข้าหวังว่าเจ้าจะเข้าใจ” อาวุโสสูงสุดกล่าวคำเบา
ขณะที่ท่านเจ้าสำนักออกท่องยุทธภพ อำนาจทั้งหมดจึงตกไปอยู่ที่ท่านผู้อาวุโสสูงสุด หลังจากนิ่งเงียบไปสักพักท่านผู้อาวุโสสูงสุดก็กวาดสายตามองทุกคนพร้อมกล่าวคำออก “เรื่องทั้งหมดจะจบลงเพียงเท่านี้! ครั้งหน้าห้ามผู้ใดเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก! เจียเจีย...เจ้าจงพาเยี่ยฉวนไปหอแปรธาตุเพื่อรับยารักษาก่อนเถิด จากนั้นก็พาเขากลับไปยังยอดเขาเมฆาอินทนิลเสีย”
คำพูดเพียงหนึ่งคำของท่านผู้อาวุโสสูงสุดมีค่าเทียบเท่าหม้อน้ำศักดิ์สิทธิ์เก้าหม้อ ทุกคนยืนขึ้นและเดินออกจากห้องโถงหลังจากท่านผู้อาวุโสสูงสุดกล่าวคำชี้แนะสองสามประโยค อาวุโสลำดับสามและห้ามองเยี่ยฉวนอย่างเย็นชาพร้อมแค่นเสียงใส่เขาก่อนเดินออกไป ฝูงชนที่รวมตัวกันอยู่ด้านนอกต่างแยกย้ายกันตามคำสั่งเช่นกัน ไม่นานภายในห้องโถงก็เหลือเพียงเยี่ยฉวนและจูซือเจีย
“เดินไปสิ! ไอ้ตัวบัดซบ!” จูซือเจียเดินไปยังทางออกพร้อมแสดงท่าทีไม่เป็นมิตร
จูซือเจียไม่ได้มีอคติใดๆ ต่อเยี่ยฉวน เพียงแต่การได้รับคำสั่งจากท่านปู่ให้ดูแลเยี่ยฉวนอย่างกะทันหันทำให้นางอดไม่ได้ที่จะขุ่นเคืองและรู้สึกรำคาญใจ นางเต็มใจที่จะพาเยี่ยฉวนไปยังหอแปรธาตุ ทว่ายังต้องพาเขากลับไปยังยอดเขาเมฆาอินทนิลที่สูงชันอีก…แล้ววันนี้นางจะเหลือเวลาฝึกตนงั้นหรือ?!
เยี่ยฉวนเก็บตรารับรองแล้วเดินตามหลังจูซือเจียออกไป
หลังจากเดินตามจูซือเจียสักพักเขาก็พบว่านางมีรูปร่างที่เย้ายวน ในขณะที่ลูกศิษย์คนอื่นๆ สวมเสื้อคลุมสีขาวธรรมดา ทว่านางกลับสวมชุดรัดรูปที่เผยให้เห็นสัดส่วนโค้งเว้าและรูปร่างบอบบาง ทุกครั้งที่ก้าวเดินบั้นท้ายกลมกลึงจะสะเทือนเป็นจังหวะเป็นที่ดึงดูดสายตา ทำให้ผู้ที่มองเห็นรู้สึกยุบยิบในใจและอยากตบมันด้วยมือเพื่อจะได้รู้ว่าสัมผัสของมันเป็นอย่างไร!
หอแปรธาตุอยู่ไม่ไกลจากห้องโถงของสำนัก ไม่ช้าทั้งสองก็มาถึงหอโบราณที่มีกลิ่นหอมของยาโชยมาตามอากาศ เมื่อเข้ามาด้านในศิษย์ของหอแปรธาตุมารวมตัวกันรอบๆ จูซือเจีย “ศิษย์พี่หญิงช่างมาถูกเวลา! พวกเราจะปรุงยาเม็ดมังกรอสรพิษได้อย่างไร?”
“อืม...ข้าก็ไม่แน่ใจ ในเมื่อศิษย์พี่ใหญ่อยู่ที่นี่ เขาเข้าเรียนในสำนักนานที่สุด...พวกเจ้าถามเขาดูสิ!” เมื่อนึกถึงตอนที่เยี่ยฉวนเพิ่งกลับมาและทำตัวราวกับไม่สนใจผู้ใด พลันทำให้จูซือเจียเกิดความไม่พอใจ นางจึงมีความคิดที่จะทำให้อีกฝ่ายอับอาย
เหล่าศิษย์ของหอแปรธาตุต่างพากันจับจ้องเยี่ยฉวนที่ยืนอยู่ด้านหลังเป็นตาเดียว
ทุกคนรู้ดีว่าเยี่ยฉวนคือผู้ที่ทำให้ตำแหน่งศิษย์พี่ใหญ่ด่างพร้อย แม้เขาจะฝึกหนักแต่อย่างไรเขาก็ไร้ความสามารถ อีกทั้งยังไม่มีผู้ใดชี้แนะทำให้เยี่ยฉวนติดอยู่ในขั้นอูเจ๋อระดับหนึ่ง แล้วเช่นนี้เขาจะรู้วิธีปรุงยาได้อย่างไรกัน?!
“นำหญ้ามัสสุมังกรสามกำ น้ำจากแม่น้ำโลหิตห้าหยด และผลไม้อสรพิษเจ็ดลูกต้มทิ้งไว้ประมาณครึ่งชั่วยามหลังจากนั้นก็นำออกจากเตาได้!” เยี่ยฉวนตอบอย่างเรียบง่าย
เยี่ยฉวนคนเดิมนั้นตายไปแล้ว...ส่วนเยี่ยฉวนคนปัจจุบันก็คืออดีตนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่เชี่ยวชาญด้านการซ่อนเร้นสวรรค์
ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาบุกรุกโบราณสถาน อาละวาดในพื้นที่ต่างๆ สังหารปีศาจมากมาย อีกทั้งยังนำพาผู้คนนับไม่ถ้วนเข้าสู่เส้นทางการฝึกตน หนึ่งในนั้นก็คือ ราชาโอสถหัตถ์วิญญาณ ปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งสำนักหมอกเมฆา ดังนั้นการปรุงยาเม็ดมังกรอสรพิษอันเป็นวิชาลับที่สืบต่อกันมารุ่นสู่รุ่น จึงไม่เกินความสามารถของเขาเลยแม้แต่น้อย
ใบหน้าของศิษย์หอแปรธาตุเผยความตื่นตระหนก แววตาของจูซือเจียเบิกกว้างขณะจับจ้องเยี่ยฉวนตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าราวกับว่านางเพิ่งเคยได้ยินเสียงของศิษย์พี่ใหญ่เป็นครั้งแรก “แล้วเหตุใดหลังจากกลืนยาเม็ดนี้แล้ว ถึงง่ายต่อการกลายเป็นปีศาจ อีกทั้งยังต้องกินน้ำพุเหมันต์เพื่อช่วยบรรเทาเล่า?”
ยาเม็ดมังกรอสรพิษสามารถช่วยเพิ่มพลังในการฝึกตนได้อย่างรวดเร็ว ทว่าผลข้างเคียงของยานี้กลับรุนแรงยิ่ง แค่ผิดพลาดเล็กน้อยก็สามารถทำให้ผู้ที่กลืนเข้าไปต้องกลายเป็นปีศาจ จูซือเจียพยายามอย่างหนักตลอดหลายปีเพื่อหาความผิดพลาดนี้ แต่ไม่เคยสำเร็จเลยสักครั้ง แม้แต่อาวุโสทั้งหลายก็ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ นางจึงไม่มีทางเชื่อว่าเยี่ยฉวนจะมีความสามารถพอที่จะตอบคำถาม อย่างไรเสียการตอบคำถามข้อแรกไม่ใช่เรื่องใหญ่เพราะเยี่ยฉวนอาจเคยได้ยินวิธีการปรุงยาเม็ดมังกรอสรพิษมาก่อน
“หืม? มีปัญหาเช่นนี้ด้วยหรือ?”
เยี่ยฉวนขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าเขาไม่สามารถตอบคำถามข้อนี้ได้
เหล่าลูกศิษย์ของหอแปรธาตุที่อยู่รอบๆ ต่างหัวเราะเยาะ และเมื่อพวกเขากำลังจะพูดถากถาง เยี่ยฉวนพลันกล่าวแทรกขึ้นมาก่อน “ข้าเข้าใจแล้ว! สิ่งที่พวกเจ้าใช้คืออสรพิษทมิฬ และมากไปกว่านั้นพวกเจ้าไม่ใส่ใจว่ามันคือตัวผู้หรือตัวเมียใช่หรือไม่?! ในการปรุงยาเม็ดอสรพิษมังกรมีรายละเอียดคือผลไม้อสรพิษจะมีอสรพิษตัวเมียเลื้อยออกมาก่อน! หญ้ามัสสุมังกรมีพลังหยางควบแน่นอยู่ ส่วนผลไม้อสรพิษที่มีอสรพิษตัวเมียเลื้อยออกนั้นควบแน่นไปด้วยพลังหยิน เมื่อใดที่หยินและหยางรวมตัวกัน จึงจะได้ยาเม็ดอสรพิษมังกรที่สมบูรณ์!”
นี่คือเรื่องจริงงั้นหรือ?
ความเคลือบแคลงใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของทุกคน สิ่งที่ได้ยินนั้นทำให้พวกเขาตื่นตระหนก แต่ใบหน้าของเยี่ยฉวนยังคงเรียบเฉยเช่นเดิม ทุกคนรู้สึกว่าเยี่ยฉวนเปลี่ยนไปราวกับคนละคนนับตั้งแต่กลับมาจากสุสานเทพเจ้า แม้รูปร่าง หน้าตาและระดับการฝึกจะคงเดิม ทว่าความคิดและนิสัยกลับเปลี่ยนไปโดยสมบูรณ์
ศิษย์ทั้งหมดรู้ดีว่าการจะเอาผลไม้อสรพิษมาปรุงยาจะต้องพบเจอกับอสรพิษทมิฬเลื้อยไปมา แต่ไม่เคยมีผู้ใดรู้มาก่อนว่าจะต้องแยกระหว่างอสรพิษตัวผู้และตัวเมียออกจากกัน… อีกทั้งเรื่องนี้กลับเป็นเรื่องสำคัญงั้นหรือ?!
เหลวใหล! สิ่งที่เยี่ยฉวนพูดนั้นไร้สาระสิ้นดี!
ศิษย์ของหอแปรธาตุหลายคนเผยสีหน้าดูหมิ่น ทว่าจูซือเจียผู้มีรูปร่างเย้ายวนกลับทุกข์ใจ
“นำยารักษาบาดแผลที่ดีที่สุดออกมาให้ศิษย์พี่ใหญ่เร็วเข้า! ข้าจะไปที่แห่งหนึ่งสักครู่แล้วจะรีบกลับมา!”
สิ้นคำสั่ง จูซือเจียเดินออกไปทันทีโดยไม่ยืนยันสิ่งที่เยี่ยฉวนกล่าวไว้ก่อนหน้า