บทที่ 72 อีวาน (3)
เขาพูดว่าอะไรนะ?
เฟรย์ไม่สามารถซ่อนความประหลาดใจของเขาได้
เขาจำครั้งสุดท้ายที่เขารู้สึกประหลาดใจไม่ได้
ไม่สินี้เป็นครั้งแรกตั้งแต่เขาเข้ามาในร่างของเฟรย์ นั่นเป็นคำพูดที่น่าตกใจจากอีวาน
“ฉัน…ได้ผิดไปไหม?”
คนทรยศ?
คนทรยศในหมู่เดมิก็อดนี้นะ?
นั่นมันช่างไร้สาระ
สิ่งมีชีวิตที่เย่อหยิ่งเหล่านั้นภักดีต่อพวกตัวเองเท่านั้น
เฟรย์รู้เรื่องนี้ดีกว่าใครๆ
เดมิก็อดสู้กันเอง!
เขาจะไม่คิดเรื่องนี้มาก่อนได้อย่างไร
ไม่ว่ามนุษย์จะดิ้นรนมากแค่ไหนพวกเขาก็ต้องเสียสละคนจำนวนมากอย่างที่ไม่ต้องคิดเพื่อฆ่าเดมิก็อดเพียงหนึ่งคน
มันอาจจะต้องใช้คนที่เสียสละมากกว่าพันหรือหลายหมื่นชีวิต ...
แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเขาต่อสู้กันเอง? หากพวกเขาหันดาบเข้าหากันและทำลายตัวเอง
…แค่คนเดียว
แม้ว่าจะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ตัดสินใจทรยศต่อคนอื่น ...
มันเป็นเพราะความหลงผิดหรือเปล่า
เดมิก็อดให้ความสำคัญกับพวกของตัวเองมากพอๆกับที่พวกเขารักตัวเอง
เฟรย์ยังจำใบหน้าของลอร์ดได้ในขณะที่เขาระบายความโกรธด้วยสายตาที่ลุกโชน
‘ลูคัส’ คนที่ฆ่าคนของเขาไปมากมายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ที่ลอร์ดไม่เคยคิดลังเลที่จะฉีกเขาออกเป็นชิ้นๆในพริบตา
อย่างไรก็ตามลอร์ดไม่ยอมแม้แต่จะให้เขาตาย
แต่ทำการกักขังวิญญาณของเขาไว้ในอเวจีเพื่อที่เขาจะได้ทนทุกข์ทรมานไปชั่วนิรันดร์
นี่คือสาเหตุที่เฟรย์เกลียดเดมิก็อด
สิ่งเดียวที่เดมิก็อดมีก็คือพลัง
ความจริงอีกอย่างคือพวกเขามีบุคลิกที่เอาแต่ใจและยังมีพฤติกรรมที่ใช้แต่อารมณ์เช่นนั้นแม้จะมีชีวิตอยู่มาหลายพันหรือหมื่นปีก็ถูกพิสูจน์ให้เห็นความจริงนั้นแล้ว
นี่เป็นสาเหตุที่เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าจะมีคนทรยศท่ามกลางเหล่าเดมิก็อด
“เดมิก็อดบอกนายเองหรอว่าเขาเป็นคนทรยศ?”
"ใช่"
“นายคงไม่ได้เชื่อคำพูดของเขาจริงๆใช่ไหม?”
อีวานมองเฟรย์ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า
“ฉันรู้ว่านายพยายามจะพูดอะไร นายกลัวว่าฉันถูกหลอกด้วยคำโกหกของเดมิก็อดใช่มั้ย?”
“…”
“ฉันไม่ได้โอ้อวดหรอก แต่ฉันมีสายตาที่เฉียบแหลมพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพวกที่ลิ้นไหลลื่นและปากหวาน ถ้าเขาเป็นคนแบบนั้นฉันจะไม่คบหากับเขาหรอก สมมติฐานทั้งหมดของนายคงไม่ถูกอย่างที่นายคิดไว้เลยสักอย่าง”
เขามองลงไปที่กำปั้นของเขา
“ถ้าผู้ชายคนนั้นพยายามหลอกฉัน ฉันคงตายไปแล้ว”
“…”
“ฉันคิดว่าการได้พบกับเขาจะเป็นประโยชน์มากสำหรับนาย”
เฟรย์พยักหน้า
สิ่งนี้ทำให้อีวานยิ้มและผ่อนคลายสีหน้าจริงจังของเขา
“ดีมากตามฉันมา”
ไม่นานอีวานก็เริ่มมุ่งหน้าลึกเข้าไปในป่า
ดูเหมือนว่าเขาจะไม่มีความคิดที่เป็นปฏิปักษ์ต่อเฟรย์อีกต่อไป
“ยังไงซะนายชื่ออะไร?”
เมื่อเฟรย์คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เขายังไม่ได้แนะนำตัวเอง
“เฟรย์”
“อืม ฉันชื่ออีวาน”
"ฉันรู้ก่อนหน้านั้นแล้ว"
"ฮะ? ตั้งแต่ตอนไหน? นายได้ยินชื่อของฉันจากเซอร์เคิลหรือ?”
“ไม่ ฉันอยู่ที่นั่นตอนที่นายกำลังคุกคามทหารรับจ้างพวกนั้น”
“อืม... นายอยู่ที่นั่นด้วยนี้เอง”
อีวานเกาหัวของเขาและเฟรย์ก็ถามบางอย่างที่เขาอยากรู้มาตั้งแต่ต้น
“ถ้าทหารรับจ้างไม่รับฟังนาย นายจะฆ่าพวกเขาทั้งหมดจริงๆหรือ?”
“ไม่มีทาง ฉันก็คงแค่หักแขนขาอย่างมากที่สุด ฉันไม่เคยฆ่าแมลงที่น่ารำคาญรวมถึงพวกที่มาจากเซอร์เคิลด้วย”
ดูเหมือนว่าเอียเซิกไม่ได้รอดเพราะโชคช่วย
อีวานคงปล่อยเขาไป
นี่เป็นเรื่องธรรมชาติ
อีวานมีพลังมากจนแม้แต่เฟรย์ก็ไม่สามารถรับประกันชัยชนะของตัวเองได้
นอกจากนี้เขายังเป็นศัตรูประเภทหนึ่งที่รับมือยากที่สุด
สิ่งที่น่าตลกก็คืออีวานซึ่งกำลังมองไปที่เฟรย์กำลังคิดในสิ่งเดียวกัน
อีวานนึกถึงการต่อสู้สั้นๆที่พวกเขามี
เช่นเดียวกับที่อีวานยังไม่ได้ใช้พลังเต็มที่ เขาเองก็มั่นใจว่าผู้ชายคนนี้ก็ไม่ได้ใช้พลังเต็มที่เช่นกัน
ทั้งสองคนเดินต่อไปในขณะที่ซ่อนความคิดเกี่ยวกับอีกฝ่าย
จู่ๆเฟรย์ก็พูดขึ้น
“ทำไมเราไม่เร่งมือกันสักหน่อยละ?”
“ฉันกลัวว่ามันคงยากสำหรับพ่อมดที่มีร่างกายอ่อนแอจะตามความเร็วของฉันไม่ทันนะสิ”
"ไม่ต้องห่วงฉันจะใช้เวทมนตร์บินถ้าหากฉันเริ่มช้าลง”
“ถ้านายยืนยัน…”
วูบ
อีวานพยักหน้าและเริ่มเร่งความเร็วทันที นั้นทำให้เฟรย์ประหลาดใจอีกครั้งด้วยความเร็วที่ระเบิดออกมาของเขา
อีวานที่พุ่งไปข้างหน้าและหันหลังไปดูว่าเฟรย์ยังคงตามเขาอยู่หรือไม่
“เยี่ยม ฉันไม่คิดว่านายจะตามฉันทัน”
“…”
แม้ว่าเขาจะไม่ใช่นักรบเวทย์แต่ความภาคภูมิใจของเฟรย์ก็ยังคงเจ็บปวดจากการถูกดูถูกในลักษณะนี้
เฟรย์กัดฟันแน่นและวิ่งไล่ตามอีวานต่อไป
ภูมิทัศน์โดยรอบเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วและไม่นานเฟรย์ก็หอบหายใจ
แม้ว่าเขาจะฝึกฝนร่างกายอยู่ในหอคอยเวทย์มนตร์แต่เขาก็ไม่สามารถออกแรงได้อย่างต่อเนื้องมากขนาดนี้
อีวานมีสีหน้าสบายๆราวกับว่าเขากำลังเดินเล่นพักผ่อน
ในทางกลับกันเฟรย์หอบและร่างกายของเขาเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ
หลังจากผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วโมงเฟรย์ก็เริ่มใช้เวทมนตร์บินเพราะเขารู้สึกเหมือนจะเป็นสลบไปถ้าหากเขาวิ่งต่อไป
อีวานเหลือบมองเฟรย์ก่อนจะพูด
“นายได้เรียนรู้บางส่วนของหมัดราชามาหรือ?”
เฟรย์ที่ยังไม่ฟื้นลมหายใจตอบกลับขณะหอบ
“ทำไมนายถึงคิดอย่างนั้น?”
“บูรัสที่ยอดเยี่ยมของนายเป็นคำใบ้และการเคลือนไหวของนายในขณะที่เรากำลังวิ่งอยู่นั้นทำให้ฉันมั่นใจได้ นายแสดงให้เห็นถึงความสง่างามที่แปลกประหลาดก็จริงแต่มันเป็นได้แค่เพียงสเต๊ปเด็กๆของหมัดของราชานักรบ”
“นายมีดวงตาที่แหลมคมจริงๆ”
อีวานมองเขาด้วยสายตาสงสัย
“ฉันอยากรู้เกี่ยวกับตัวนายมากขึ้นแต่ฉันจะรอจนกว่าเราจะพบกับ ‘ริกิ’”
* * *
อีวานยังคงมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือและระหว่างทางเขาต่อสู้กับอันเดดและสัตว์ประหลาดอื่นๆอีกมากมาย
แม้แต่ทหารรับจ้างระดับ A ที่ยิ่งเก่งกาจก็ยังอาจจะกลายเป็นศพที่ถูกลืมหลังจากต่อสู้กับสัตว์ประหลาดที่ทรงพลังพวกนั้น อย่างไรก็ตามสำหรับอีวานมันไม่ใช่เรื่องท้าทาย
แตก
แตก
ต่อหน้าหมัดราชาของอีวานและเวทย์มนต์ของเฟรย์ แม้แต่อันเดธระดับสูงที่แข็งแกร่งที่สุดก็ไม่สามารถอยู่รอดได้นานเกินเสี้ยววินาที
พวกมันถูกทำลายโดยไม่มีแม้โอกาสให้ต่อสู้กลับ
สิ่งนี้ทำให้เฟรย์รู้สึกแปลกๆเพราะมันทำให้เขานึกถึงการต่อสู้เคียงข้างกับคาซาจิน
‘ผู้ชายคนนี้เป็นอัจฉริยะอย่างแท้จริง’
เขาเหมือนกับคาซาจิน
ด้วยเหตุนี้เขาจึงสามารถต่อสู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
เฟรย์ใช้ประโยชน์จากพลังระเบิดของอีวานและซัพพอร์ตเขาจากด้านหลังได้อย่างง่ายดาย
ต้องขอบคุณประสบการณ์ของเฟรย์ การประสานงานระหว่างทั้งสองคนนั้นสมบูรณ์แบบราวกับสายน้ำเล็กๆที่เชื่อมต่อกับแม่น้ำ
เมื่อตระหนักถึงความจริงนี้อีวานก็อดไม่ได้ที่จะมองเฟรย์ด้วยความชื่นชม
"สิ่งนี้มันช่างมหัศจรรย์จริงๆ มันไม่สามารถพูดเป็นคำพูดออกมาได้แต่อีวานรู้สึกสบายกว่าการต่อสู้เพียงลำพังมาก”
“เยี่ยมมาก”
“หืม…นายเป็นผู้ชายลึกลับจริงๆ”
เขามองเฟรย์ด้วยสายตาซับซ้อนครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหัว
อีวานสบายใจที่จะอยู่กับธรรมชาติเพียงลำพัง
มนุษย์ถูกกล่าวขานว่าเป็นสัตว์สังคมแต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเหมือนกัน
เขาเป็นคนประเภทที่ชอบความสันโดษ เขาไม่ได้เกลียดการใช้เวลาร่วมกับคนอื่นแต่เขาชอบอยู่คนเดียว
นี่เป็นเรื่องจริงโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพูดถึงการต่อสู้
อย่างไรก็ตามนี่เป็นครั้งแรกในชีวิตของอีวานที่เขารู้สึกว่าการต่อสู้ร่วมกับคนอื่นที่คอยสนับสนุนเขาไม่ใช่เรื่องเลวร้ายนัก
และจากนั้นทัศนคติของอีวานก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
เขายังคงพูดด้วยท่าทางสบายๆเหมือนเดิมแต่เฟรย์รู้สึกว่าเขาเริ่มเคารพในตัวของอีวานมากขึ้นอย่างลับๆ
ในขณะนั้นเองที่เฟรย์รู้สึกเหมือนได้เข้าใจมนุษย์ที่ซับซ้อนคนนี้ที่รู้จักกันในชื่ออีวาน
อย่างน้อยเขาก็ไม่ใช่คนประเภทที่จะทำในสิ่งที่รู้ว่าไม่ควรทำ
แน่นอนว่าเพราะเขาเป็นคนหยิ่งผยองแต่การที่ทำให้ชายคนนี้ยอมรับได้มันไม่ได้ง่ายเลย
หลังจากสี่วันพวกเขาก็มาถึงจุดหมาย
"นี่ไงละ"
“…”
เป็นกระท่อมที่สร้างอยู่ลึกเข้าไปในป่า
ชั่วครู่เฟรย์ก็ลืมไปเสียสนิทว่านี่คือป่าที่มีสัตว์ประหลาดและปีศาจที่น่ากลัวสัญจรไปมาอย่างอิสระ
อีวานหายใจเข้าลึกๆก่อนจะตะโกน
“ริกิกกกกกกกกกก !!! ฉันมาแล้ว!”
"หือ?!"
เฟรย์ปิดหูของเขา
เสียงคำรามดังมากจนทำให้นกที่อยู่ไกลๆบินจากไปอย่างตกใจ
แก้วหูของคนที่อ่อนแอคงจะแตกไปแล้ว
อีวานยิ้มเขินใส่เฟรย์ที่จ้องมองเขาด้วยความโกรธ
“ฉันต้องทำแบบนี้เพื่อที่จะปลุกเขานะ”
“เขานอนกลางวันเหรอไง?”
"มั้ง มันช่วยไม่ได้นิ”
เสียงดังเอี๊ยด
จากนั้นประตูก็เปิดออกและมีชายคนหนึ่งเดินออกมา
ชายคนนี้มีผมสีเงินยาวจนถึงเอวซึ่งตัดกับเสื้อคลุมสีดำเรียบๆของเขา
สิ่งที่โดดเด่นอย่างแท้จริงคือดาบยักษ์ที่พาดอยู่บนหลังของเขา
ชายคนนั้นพูดด้วยท่าทางง่วงนอนในดวงตาของเขา
“อีวานนายได้ทำสิ่งที่ฉันขอไปหรือเปล่า?”
“ฮึ่มแน่นอน”
“…”
ทั้งสองคนเริ่มพูดคุยกัน แต่เฟรย์ไม่ได้สนใจบทสนทนาของพวกเขา
หัวใจของเขาเต้นรัว
ในความเป็นจริงเฟรย์ไม่เชื่อคำพูดของอีวานโดยสิ้นเชิง
บางทีเขาอาจจะถูกใครบางคนหลอกว่าเป็นเดมิก็อด
หรือบางทีอีวานอาจจะเข้าใจผิด
แต่ตอนนี้เขาที่มองเห็นด้วยตาของตัวเอง
‘เขาเป็นเดมิก็อดจริงๆ…และเขาก็แข็งแกร่งพอๆกับชายชราที่ใช้ยาพิษ’
เฟรย์เหงื่อแตก
ทันใดนั้นเขาก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองนั้นเต็มไปด้วยความประมาท ทำไมเขาไม่พิจารณาเรื่องนี้อย่างจริงจังก่อนที่จะตัดสินใจมาพบกับเดมิก็อด
ด้วยความสามารถในปัจจุบันของเฟรย์ หากผู้ที่อยู่ตรงหน้าเขาสะบัดมือ มันก็สามารถทำให้หัวของเฟรย์นั้นกลิ้งลงบนพื้นได้แล้ว
จากนั้นชายคนนั้นก็หันมาสบตากับเฟรย์
“นายพาแขกมาด้วยหรอ?”
"ใช่ เขามาจากเซอร์เคิลนะ”
“เซอร์เคิล...อืม”
เขาเกาหัวและดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่าง
“เข้ามาข้างในก่อนสิอีวานฉันบังเอิญมีบางอย่างที่ฉันต้องการจะถามนาย ฉันคิดว่ามันจะดีกว่าถ้าหากนายได้เพื่อนของนายคนนี้ช่วย”
จากนั้นเขาก็กลับเข้าไปข้างในราวกับเขาคาดหวังให้เฟรย์ตามเข้าไป
เฟรย์ที่เตรียมพร้อมที่จะเสี่ยงชีวิตรู้สึกเหนื่อยล้า
“นายไม่จำเป็นต้องกังวลมากนักหรอก เขาคาดเดาไม่ได้แต่เขาเป็นคนดี”
เฟรย์มองหน้าอีวานครู่หนึ่งก่อนจะพูด
“มันดูไม่น่าเชื่อถือเท่าไหร่ โดยเฉพาะนายที่กำลังพูดด้วยสีหน้าแข็งกระด้างแบบนี้”
“หึหึ…ยิ่งนายอยู่ระดับสูงเท่าไหร่นายก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงพลังที่น่ากลัวของริกิ ผู้ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาด”
อย่างที่เฟรย์พูดใบหน้าของอีวานก็แข็งกระด้างพอๆกับเขา
เฟรย์พยักหน้าขณะเช็ดเหงื่อ
“นายไม่ได้เข้าใจผิดแน่ เขาคือเดมิก็อด”
“อย่าเป็นศัตรูกับเขาอย่างเปิดเผย แม้ว่าฉันจะไม่คิดว่าเขาจะฆ่านายแต่จากตรงที่เราอยู่นี้คือดินแดนของเขาและฉันมาสามารถทำอะไรได้”
“…เข้าใจแล้ว”
เฟรย์พยักหน้าแล้วทั้งสองก็เข้าไปในกระท่อม
ทันทีที่เปิดประตูเฟรย์ก็ต้องประหลาดใจ
นี่เป็นเพราะภายในกว้างขวางอย่างไม่น่าเชื่อ
เขาบอกไม่ได้ด้วยซ้ำว่าพื้นที่นี้ใหญ่แค่ไหน
โถงทางเดินยาวและผนังตกแต่งด้วยดาบทุกรูปทรงและขนาด ชุดเกราะที่ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังเฝ้าโถงทางเดินก็ปรากฏขึ้นเช่นกัน
เมื่อรวมกับแสงเทียนที่ส่องสว่างในอวกาศอันมืดมิดทำให้สถานที่แห่งนี้มีบรรยากาศที่หาไม่ได้จากที่อื่นในโลก
“การบิดเบือนเชิงพื้นที่…”
"นั่นอะไร?"
“ ด้วยการบิดเวลาและทำให้พื้นที่ที่จำกัดสามารถขยายตัวออกได้หลายสิบเท่า
“อืม ฉันคิดเสมอว่ามันเป็นแค่ประตูวาร์ปหรืออะไรสักอย่าง”
เฟรย์ส่ายหัว
เมื่อเขาเปิดประตูเขาไม่ได้รู้สึกถึงความผิดเพี้ยนใดๆที่เป็นลักษณะของวาร์ป
สีหน้าของเขาเคร่งขรึม
มิติเวลาเป็นสนามพลังที่ยากในการรับมือแม้กระทั่งกับพ่อมดระดับ 9 ดาว อย่างไรก็ตามการบิดเบือนเชิงพื้นที่ที่อยู่ภายในห้องนั้นมีความเสถียรมากจนไม่มีรอยแตกแม้แต่นิดเดียว
‘นี่ต้องเป็นพลังศักดิ์สิทธิ์ของเขาเพราะเดมิก็อดไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้’
นี่คือพลังของเดมิก็อดคนนี่หรือเปล่า?
เฟรย์และอีวานเดินผ่านห้องโถงมืดและในตอนท้ายพวกเขาก็พบริกิที่กำลังนั่งอยู่ในห้อง
เขานั่งอยู่บนพื้นพร้อมกับลดสายตาลง ด้านข้างของเขาคือดาบที่เขาสวมไว้ที่หลังของเขา
"นั่งก่อนสิ ฉันขอโทษที่ฉันไม่ได้ชงชาให้ดื่มนะ”
เฟรย์มองเขาครู่หนึ่งก่อนจะพูด
“คุณพูดเหมือนเป็นมนุษย์เลย”
ริกิเงยหน้าขึ้นมองเฟรย์
“คุณเป็นมนุษย์ที่แปลกประหลาด ดูเหมือนว่าคุณจะไม่เหมือนมนุษย์ทั่วไป หมายถึงพวกที่มีชีวิตอยู่ได้ถึง 100 ปี อีวานนายพบกับผู้ชายที่น่าสนใจมากนะในครั้งนี้”
เฟรย์รวบรวมตัวเองและก้าวไปข้างหน้า
“ฉันได้ยินมาว่าคุณทรยศต่อเหล่าเดมิก็อด เป็นเรื่องจริงมั้ย?”
“ถูกต้อง… แต่คุณจะเชื่อเพียงเพราะฉันพูดออกไปอย่างนั้นไหมละ?”
“…”
การแสดงออกของเฟรย์ดูแปลกไปเล็กน้อย
ชายที่เขาอยู่ต่อหน้าเขาดูมีอายุไม่ห่างจากเขามากนัก
ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือเขาถูกขังอยู่ในอเวจีเป็นเวลา 4,000 ปี
โดยปกติแล้วเขาสามารถดูการแสดงออกการพูดหรือท่าทางที่ไม่สำคัญของบุคคลนั้นและสรุปได้ว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่ แต่ครั้งนี้แตกต่างออกไป
คนที่อยู่ตรงหน้าเขาเป็นสิ่งมีชีวิตกึ่งอมตะที่ไม่มีใครรู้ว่าเคยมีชีวิตอยู่มานานเท่าไหร่ ต่างจากเฟรย์ที่ติดอยู่ในห้วงอเวจี
‘ฉันบอกไม่ได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่’
เฟรย์พยักหน้าตัดสินใจพูดตรงไปตรงมา
“ไม่ฉันไม่อยากที่จะเชื่อสักเท่าไหร่”
“คุณไม่ผิดที่จะสงสัยในตัวฉัน เนื่องจากคุณเป็นส่วนหนึ่งของเซอร์เคิลคุณจึงรู้สึกว่าการทรยศของเดมิก็อดนั้นยากที่จะเชื่อ ความจริงฉันไม่ได้ตั้งใจที่จะพิสูจน์ตัวเองให้กับคุณแต่อย่างน้อยฉันก็สามารถคลายความสงสัยของคุณได้บ้าง หากคุณบอกฉันว่าคุณยังไม่มีข้อมูลเรื่องไหนเกี่ยวกับเดมิก็อด ฉันก็จะแบ่งปันข้อมูลให้กับคุณ”
“อืม มีอะไรที่เราทั้งสองยังไม่รู้นะหรือ?”
"ใช่"
ในคำถามของอีวานริกิกำลังพูดในสิ่งที่เฟรย์ไม่คาดคิด