WS บทที่ 71 แผนการ PART 1
เมอร์ลินและกองอัศวินได้ติดตามอัศวินของเคานท์โฟแมนได้ด้านใน
ภายในป้อมปราการเป็นเมืองขนาดย่อม ๆ ที่มีทหารจำนวนมากอาศัยอยู่ด้านใน สิ่งปลูกสร้างเป็นแบบเรียบ ๆ ดูไม่ต่างจากค่ายทหารเลย เมอร์ลินสังเกตเสบียง อุปกรณ์ต่อสู้กระจายอยู่ไปทั่วทุกหนแห่ง
ตอนนี้พวกเขาอยู่ในอาณาจักรที่ใครต่อใครขนานนามถึงความป่าเถื่อนและชั่วร้ายแล้ว
เลห์แมนตอนนี้ดูนิ่งเงียบกว่าปกติแต่ถึงอย่างเมอร์ลินก็สังเกตเห็นถึงอารมณ์ที่ดุเดือดพลุ่งพล่านอยู่ภายใน
เนื่องจากตัวเขาผ่านความโหดร้ายของ ‘โรงเชือด’ มา ตัวเขาได้ต่อสู้กับอาณาจักรแบล็กมูนมานานหลายปีแต่ทว่าในตอนนี้เขากลับต้องหนีหัวซุกหัวซุนมาในอาณาจักรที่เคยเป็นศัตรู นี่จึงไม่แปลกใจที่เขาจะมีท่าทีอย่างนี้
นอกเหนือจากเลห์แมนแล้ว คนอื่น ๆ อย่างเช่น เมซี่ส์ มาดามหน้าอกใหญ่และแอวริล พวกเธอได้เปิดม่านมองออกมาข้างนอกอย่างอยากรู้อยากเห็น
หลังจากเดินทางมาพักใหญ่พวกเขาก็มาถึงปราสาทสีขาวที่ทหารยามยืนรักษาความปลอดภัยหลายร้อยนาย
“ผู้บัญชาการเบน โปรดช่วยเหลือครอบครัวของพ่อมดเมอร์ลินในหาที่พักด้วยด้วย”
จากนั้นเขาก็หันมามองเมอร์ลินและพูดกับเขาด้วยรอยยิ้ม “พ่อมดเมอร์ลิน นี่คือปราสาทของข้า ข้าขอเชิญท่านเข้ามาด้านในกับข้าด้วย”
เลห์แมนก็ได้พูดขึ้นมาทันทีว่า “เมอร์ลิน ลูกจะปลอดภัยใช่มั้ย?”
“ท่านพ่อ ตอนนี้เราอยู่ในอาณาจักรแบล็ฏที่ซึ่งเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ของเหล่าพ่อมดแล้ว ท่านพ่อไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรหรอกครับ ท่านพาทุกคนไปพักผ่อนก่อนดีกว่าครับ ไว้ผมกลับไปเมื่อเราจะเริ่มวางแผนกันตอนนั้น”
จากนั้นเมอร์ลินตามเคานท์โฟแมนไปด้านในปราสาท ภายในนั้นมีอัศวินอยู่มากมายทำให้บรรยากาศค่อนข้างตึงเครียดและน่ากลัว เมอร์ลินได้ลองใช้พลังจิตสำรวจรอบ ๆ ทำให้เขารู้ว่ามีอัศวินที่แข็งแกร่งได้จับตาดูการเคลื่อนของเขาในเงามืด
อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากที่เขาตรวจสอบรอบ ๆ เขาไม่รู้สึกถึงพ่อมดคนไหนเลยในปราสาทแห่งนี้ ทำให้เขารู้สงสัยเนื่องจากท่านพ่อได้บอกเขาก่อนหน้านี้ว่า ป้อมปราการทุกแห่งในอาณาจักรแบล็กมูนจะต้องมีนักเวทย์ประจำการอยู่อย่างน้อยหนึ่งคนแต่เขาไม่พบนักเวทย์สักคนตั้งแต่ที่เขาก้าวเท้าเข้ามาในปราสาท
ไม่นานเขาก็มาถึงห้องโถงใหญ่และเขาก็ได้รับความอบอุ่นจากเตาผิง
เคานท์โฟแมนได้ถอดชุดเกราะออกแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ไม้อย่างสบายใจ เขาโบกมือให้เมอร์ลินและพูดว่า
“นั่งลงก่อนสิพ่อมดเมอร์ลิน ทำตัวตามสบายได้ ท่านเป็นแขกของข้า”
ทันทีที่เมอร์ลินนั่งลง สาวใช้ก็เดินเข้ามาเสิร์ฟซุปร้อน ๆ ในถ้วยเล็ก ๆ ภายในถ้วยมีพืชสีดำถ้วยอยู่ด้านบนและของบางอย่างที่ดูคล้ายเกล็ดปลา เขารู้สึกได้ถึงกลิ่นหอมที่ลอยออกมาจากน้ำซุป
เคานท์โฟแมนยิ้มและหยิบถ้วยขึ้นมา “พ่อมดเมอร์ลินลองชิมนี่ก่อนสิ นี่เป็นเมนูพิเศษของป้อมปราการเรเวน ซุปปลาน้ำแข็ง”
หลังจากที่เคานท์โฟแมนพูดจบ เขาก็ยกถ้วยและกลืนน้ำซุบลงไปในอึกเดียว เขาได้ถอนหายใจออกมาพร้อมกับสีหน้าที่พึงพอใจ
เมอร์ลินอดสงสัยไม่ได้ว่าซุปมันมีรสชาติยังไงถึงทำให้เขาแสดงสีหน้าออกมาแบบนั้น เขาเลยตัดสินใจยกมันขึ้นมาจิบ
ทันทีซุปปลาน้ำแข็งสัมผัสที่ปลายลิ้นของเขา เขารู้สึกได้ถึงรสเปรี้ยวเล็กน้อยจากนั้นก็รสหวานตามมา หลังจากที่เขากลืนน้ำซุปผ่านคอลงไป เขารู้สึกได้ว่าร่างของเขาอบอุ่นอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่เมอร์ลินซดซุปปลาน้ำแข็งจนหมด รสชาติมันดีมากจนเขาไม่ได้ที่เขาจะชมออกมา
“เป็นซุปปลาน้ำแข็งที่อร่อยมากครับ”
เมื่อบรรยากาศเริ่มผ่อนคลายมากขึ้น เคานท์โฟแมนก็ได้เปิดถามอย่างเป้นกันเองว่า
“พ่อมดเมอร์ลิน ข้าไม่อาจจินตนาการได้ว่าท่านจะต้องยากลำบากถึงเพียงใดถึงจะเดินทางมาที่นี่ได้ แล้วตอนนี้ท่านได้ถึงที่หมายแล้ว ท่านพอจะบอกข้าได้หรือไม่ว่าแผนการต่อไปของท่านคืออะไร?”
“แผนการของผมงั้นเหรอ?” เมอร์ลินได้ครุ่นคิดอยู่สักหนึ่งก่อนจะตอบว่า “ผมตั้งใจว่าจะลงกับหลักปักฐานเสียก่อนแล้วค่อยคิดเรื่องอื่นในภายหลังครับ”
การตั้งถิ่นฐานในต่างแดน สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือทำความคุ้นเคยกับบริเวณรอบเสียก่อน
ทางด้วยเคานท์โฟแมนได้ยินอย่างนั้น แววตาของเขาก็ได้เปล่งประกายทันที
“พ่อมดเมอร์ลิน ตอนนี้ท่านน่าจะยังไม่อยู่ในสังกัดของใคร ทำไมไม่มาเข้าร่วมกับข้าล่ะ ที่แห่งนี้มีนักดาบธาตุที่แข็งแกร่งมากมาย นอกจากนี้ข้าอนุญาตให้ครอบครัวของท่านเข้าร่วมได้ด้วย พวกเขาจะมีชีวิตที่สุขสบายในป้อมปราการเรเวนแห่งนี้”
“ท่านเคานท์โฟแมน ผมต้องขออภัยด้วยจริง ๆ ตอนนี้เราต้องการปักหลักในอาณาจักรแบล็กมูน นอกจากนี้เขาเพิ่งผ่านการต่อสู้ที่ยากลำบากมา พวกเขาเหนื่อยล้าเต็มที่แล้ว ด้วยเหตุนี้ผมและครอบครัวของผมจึงไม่ต้องการเข้าร่วมกองทัพในตอนนี้”
เมอร์ลินได้ปฏิเสธทันทีโดยไม่ฟังข้อเสนอเพิ่มเติมจากเคานท์โฟแมนเลย เนื่องจากตัวตนในอดีตเลห์แมน ทำให้เขาไม่น่าจะเข้าร่วมกองทัพของอาณาจักรแบล็กมูนอย่างแน่นอนและอีกอย่างเขาตั้งใจจะขยายกองกำลังของตนเอง เขาจึงไม่อยากผูกมัดตัวเองกับกองทัพของใคร
นอกจากนี้สถานการณ์ของอาณาจักรแห่งแสงยังไม่มั่งคง มันอาจเกิดสงครามได้ทุกเมื่อ หากเป็นเช่นนั้นป้อมปราการเรเวนจะต้องรับศึกหนักแน่นอน
ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้นจึงทำให้เมอร์ลินตัดสินที่จะไม่เข้าร่วมกับกองกำลังของเคานท์โฟแมน
“ช่างน่าเสียดาย...” เคานท์โฟแมนยักไหล่ น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเสียใจ
“ท่านเคานท์ ตอนนี้ท่านเคานท์เตสต้องการพบท่าน ท่านเคานท์เตสแจ้งว่ามีเรื่องสำคัญต้องพูดกับท่านเคานท์ค่ะ” สาวใช้ในชุดสีเทารีบเข้ามาในห้องและกระซิบกับเคานท์โฟแมน
“เกิดอะไรขึ้น?” เคานท์โฟแมนขมวดคิ้วและเงยหน้าขึ้นไปชั้งสอง จากนั้นเขาก็ได้ลุกยืนขึ้นและหันไปพูดกับเมอร์ลินว่า “พ่อมดเมอร์ลิน โปรดนั่งรอสักครู่ เดี๋ยวสักพักข้าจะกลับมา”
จากนั้นเคานท์โฟแมนก็เดินขึ้นไปที่ชั้นสองทันที
ณ ห้อง ๆ หนึ่งบนชั้นสองมีหญิงสาวรูปงามกำลังเดินไปรอบ ๆ อย่างหวั่นวิตก เธอเดินวนพลางมองออกไปที่ประตูเป็นครั้งคราว
จากนั้นเคานท์โฟแมนได้ผลักประตูออกอย่างร้อนรน เขาสังเกตเห็นท่าทีที่ไม่สบายใจของภรรยาของเขาฉายชัดออกมา
“ที่รัก เกิดเรื่องอะไรขึ้น ทำไมต้องเร่งรีบถึงเพียงนี้”
เคานต์เตสได้ลังเลอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเดินไปหยิบจดหมายจากโต๊ะทำงานส่งไปให้เคานท์โฟแมน “นี่เป็นจดหมายจากพี่ชายของเรา เซลิน ท่านดูเอาเองล่ะกัน”
“เคานท์เซลิน เกิดอะไรขึ้นกับเขา?”
เคานท์โฟแมนหยิบจดหมายอย่างสงสัย จากนั้นเขาก็เริ่มอ่านเนื้อหาในจดหมาย
คิ้วของเขาเริ่มขมวดขึ้นทีละน้อยและใบหน้าเขาก็แสดงออกอย่างน่ากลัวด้วยความความโกรธ