Chapter 47: แล้วเจ้าจะทำอะไรได้?
เช้าวันต่อมา
เฉินเฉินและจางจีได้มาถึงจุดที่นัดรวมตัวกัน คนเกือบสองร้อยคนที่ถูกเลือกไว้ได้มาถึงแทบจะทั้งหมดแล้ว
พวกเขาส่วนใหญ่ต่างขนของมาเพียงไม่กี่อย่าง มันมีสัมภาระเพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้น มีเพียงแค่เฉินเฉินเท่านั้นที่แบกรถเกวียนมาถึงสามคัน
“เฉินเฉิน เจ้าไม่จำเป็นต้องแบกของมาเยอะหรอก เมื่อพวกเราไปถึงสำนักเทียนหยุน พวกเราจะส่งของที่สำคัญให้กับเจ้าเองละ” เว่ยฉานเฮออดที่จะเตือนเขาออกมาไม่ได้ เมื่อเขาเห็นรถเกวียนสามคันเต็มไปด้วยของมากมาย
“ผู้อาวุโสครับ ของที่ข้าขนมานี่มันเป็นของที่ดีเยี่ยมทั้งหมด มันไม่มีทางที่ข้าจะทิ้งมันไปได้เลย ยังไงก็ตาม ข้าได้ยินมาว่าพวกผู้ฝึกตนที่เก่งกาจต่างมีถุงเก็บของหรือแหวนเก็บของอยู่นี่ครับ ผู้อาวุโสมีมันบ้างไหมครับ? ท่านให้ข้ายืมสักวงได้ไหม? เดี๋ยวอนาคตข้าจะคืนให้ท่านสองวงเลย”
ตาของเว่ยฉานเฮอกระตุกกับสิ่งที่เฉินเฉินพูด เขารีบแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินทันที
ผู้คนรอบข้างเขาต่างมีสีหน้าแปลกๆ เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น
เขาคนนี้ทำตัวสนิทสนมกับทุกคน ลูกศิษย์แบบเขากล้าดียังไงถึงมีหน้ายืมของผู้อาวุโสกัน? ไม่เพียงแค่นั้น ผู้อาวุโสยังไม่ด่าเขาอีก ผู้อาวุโสของสำนักเทียนหยุนดูสามารถที่จะพูดคุยเล่นกันได้มากเกินไปอีก
ชั่วครู่ต่อมา สมาชิกทั้งหมดต่างได้มาถึงจุดนัดหมาย เว่ยฉานเฮอได้กล่าวว่าเจ้าสำนักจะมาถึงในอีกไม่นานเช่นกัน ก่อนที่เขาจะออกคำสั่งให้ออกจากเมืองไป
พวกเขาทั้งหมดต่างขึ้นบนหลังม้า ด้วยกำลังใจที่เต็มเปี่ยม พวกเขาต่างมุ่งหน้าไปยังประตูเมืองจี๋โจว
คนธรรมดาทั่วไปจำนวนมากต่างรวมตัวกันดูเหตุการณ์นี้ พวกเขาต่างมีสายตาที่เต็มไปด้วยความอิจฉา
พวกเขารู้ดีว่า ตอนนี้กลุ่มคนเหล่านี้จะยังเป็นแค่คนธรรมดาก็ตาม แต่พวกเขาจะกลับมาในฐานะเซียน ซึ่งแตกต่างไปจากพวกเขาทั้งหมด
“ผู้อาวุโส ทำไมท่านถึงเดินตามข้ามากัน?”
เฉินเฉินนั้นอยู่ด้านหลังของขบวน เขาจ้องไปที่เว่ยฉานเฮออย่างระมัดระวัง เว่ยฉานเฮอนั้นดูเหมือนทำตัวใกล้ชิดกับเขาอย่างมาก
“เจ้าเด็กน้อย ทำไมข้าต้องตามเจ้าไปด้วยกัน? ข้าแค่อยากอยู่ข้างหลังแค่นั้นเอง!” เว่ยฉานเฮอเถียงกลับอย่างกระอักกระอ่วน
เฉินเฉินเร่งความเร็วขึ้นทันทีที่เขาได้ยิน เขาได้มุ่งตรงไปยังใจกลางของขบวนทันที
เว่ยฉานเฮอแทบจะกระอักเลือดออกมาด้วยความโกรธกับสิ่งที่เขาเห็น เขาตามเจ้าเด็กนี่ไปเพื่อที่จะทำให้มั่นใจว่าเขาปกป้องเจ้าเด็กนี่ได้ แต่เขายังไม่รู้สึกขอบคุณอีก! แย่มาก!
ยังไงก็ตาม เขาก็ยังรีบมุ่งตามไปเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง เขาไม่มีทางเลือกอื่น ถ้ามันมีอะไรเกิดขึ้นกับเจ้าเด็กนี่แล้ว เจ้าสำนักคงจะเผาเขาทั้งเป็นแน่ๆ
ก่อนที่เฉินเฉินจะได้ตั้งคำถามอะไร เว่ยฉานเฮออธิบายออกมาก่อน “ข้าพึ่งมีความคิดว่าข้าจะต้องปกป้องลูกศิษย์จากตรงกลางของขบวนมากกว่า”
เฉินเฉินยิ่งสงสัยกับสิ่งที่เขาได้ยินมากขึ้นไปอีก เขาถามกลับด้วยน้ำเสียงเบาๆ “ผู้อาวุโส ข้าได้ยินมาว่าเหล่าผู้ฝึกตนเคยพูดถึงการสับเปลี่ยนวิญญาณมาก่อน คนของท่านต้องการสับวิญญาณของข้า เพราะว่าข้ามีพรสวรรค์อย่างงั้นหรือ?”
“การสับเปลี่ยนวิญญาณมีเพียงแค่ระดับวิญญาณแก่นแท้*เท่านั้นแหละ มันไม่มีคนที่อยู่ในระดับนั้นในรัฐจินเลยสักคน เจ้าไปได้ยินเรื่องไร้สาระแบบนั้นมาจากที่ไหนกัน?”
เว่ยฉานเฮอหัวเราะออกมา สับเปลี่ยนวิญญาณ? เขาปรารถนาว่าเขาจะทำมันได้ด้วยซ้ำไป แต่เขาไม่ได้มีคุณสมบัติมากพอที่จะทำมันได้
“เอาละ มันก็ทำให้ข้ารู้สึกดีขึ้นบ้างแล้วละ แต่ข้ายังคงมีคำถามอยู่อีกหลายอย่างง...”
...
การสนทนาของทั้งสองคนทำให้ลูกศิษย์ที่เหลือต่างเต็มไปด้วยความอิจฉา มีเพียงแค่ลูกศิษย์ที่มีพรสวรรค์เท่านั้นที่มีสิทธิพิเศษในการพูดคุยแบบนั้นกับผู้อาวุโส แม้ว่าจะเป็นก่อที่จะเข้าสำนักก็ตาม
ถ้าพวกเขาเดินเข้าไปถามแล้ว พวกเขาคงจะโดนทักทายโดยการกรอกตากลับแน่นอน
...
พวกเขาได้เดินทางออกไปจากประตูเมืองจี๋โจวและเดินไปถึงเส้นทางหลักแล้ว
สีหน้าของเว่ยฉานเฮอเปลี่ยนเป็นจริงจัง ถ้าพวกเขาถูกโจมตีโดยสำนักอสูรแล้ว มันก็คงน่าจะเกิดขึ้นบนเส้นทางหลักนี่แหละ
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้ว เขาต้องการให้พวกเขาเดินทางช้ากว่านี้ แต่ก่อนที่เขาจะพูดอะไรออกมา เสียงมันก็ดังเข้ามาในหูของเขาก่อน
“ฉานเฮอ ไม่ต้องกังวลไป มุ่งหน้าต่อไปนั่นแหละ ข้า เจ้าสำนักได้มาพร้อมกับผู้อาวุโสสูงสุด วันนี้ ข้าจะคอยดูสิว่าพวกสำนักอสูรจะมีความกล้าในการสร้างความวุ่นวายจริงๆหรือเปล่า!”
เสียงนี้ได้ทำลายความกังวลทั้งหมดของเว่ยฉานเฮอไป ในจุดนี้เขากังวลแทนว่าสำนักอสูรจะไม่ปรากฏตัวขึ้นแทนเสียมากกว่าแล้ว
ด้านบนก้อนเมฆที่อยู่บนท้องฟ้าของพวกเขา มีคนมากมายกำลังจ้องลงมาบนผืนดินด้วยใบหน้าที่ตึงเครียด
“ท่านลุง ท่านตรวจสอบแล้วหรือยัง เจ้าเด็กหนุ่มที่อยู่ข้างฉานเฮอนั้นมีร่างกายต้นกำเนิดจริงๆ”
“ใช่ เขามีมัน!”
“ข้ามั่นใจด้วยเช่นกัน! นอกจากร่างกายต้นกเนิดแล้ว มันไม่มีร่างกายชนิดอื่นที่ข้าจะคุ้นชินอีก”
ชายคนที่ตั้งคำถามยิ้มออกมาอย่างมีความสุข ก่อนที่จะพึมพำ “พระเจ้าได้ประทานพรกับสำนักเทียนหยุนของข้าแล้ว”
“เจ้าสำนัก เขาควรได้รับการสั่งสอนจากคนไหนดี? พูดตามจริงแล้ว ข้าไม่เคยมีลูกศิษย์มาก่อนเลยสักคน...”
“ศิษย์พี่ ท่านพูดได้ยังว่าท่านไม่มีลูกศิษย์สักคน? ไม่ใช่เจ้าเว่ยฉานเฮอเป็นลูกศิษย์ท่านไม่ใช่รึไง? แต่ดูข้าสิ! ข้ามีลูกศิษย์สองคน แต่พวกเขาไม่ได้มีพรสวรรค์อะไรเลยสักคน พวกเขายังไม่ได้รับสืบทอดมรดกจากข้าไปด้วยซ้ำ”
“เจ้าคิดว่าเว่ยฉานเฮอมีพรสวรรค์หรือยังไง?”
เจ้าสำนักเทียนหยุนโบกมือก่อนที่ผู้อาวุโสสูงสุดจะทะเลาะกัน เขาพูดขึ้น “ทุกคนไม่จำเป็นต้องสู้กันหรอก ข้าจะรับเจ้าเด็กนี่เป็นลูกศิษย์ของข้าเองและข้าจะมอบวิชาสูงสุดของสำนักให้กับเขาเอง”
ผู้อาวุโสสูงสุดต้องการที่จะต้องการโต้เถียงต่อ แต่เจ้าสำนักเทียนหยุนฉีกยิ้มขึ้นมา เขาจ้องมองลงไปด้านล่างใต้ก้อนเมฆ
“พวกสำนักอสูรนั้นมาจริงๆงั้นหรือ? ฮึ่ม! พวกมันนี่ช่างโง่เขลาเสียจริง!”
...
ด้านล่าง พวกเขาต่างหยุดม้าไว้ เนื่องจากกลุ่มคนได้พุ่งออกมาจากที่ไหนก็ไม่ทราบได้ แต่พวกเขาได้มาปิดทางของกลุ่มลูกศิษย์จากสำนักเทียนหยุนเอาไว้
กลุ่มคนนี้ได้แต่งตัวในชุดดำ สีหน้าของพวกเขาดูไม่ได้แยแสต่อสิ่งใด มันเหมือนราวกับเครื่องจักรที่ไร้อารมณ์ ยังไงก็ตาม มันไม่มีม้าตัวไหนกล้าที่จะขยับตัวไปเบื้องหน้าเลยสักตัว
“พวกเขาเป็นหุ่นหรือเปล่า?” เว่ยฉานเฮอจ้องไปที่ด้านหน้า
มันกลับกลายเป็นว่ามันเป็นกลุ่มหุ่นศพ ยังไงก็ตาม การควบคุมศพนั้นไม่ได้เป็นความยอดเยี่ยมของสำหรับสาขาที่ 13 ของสำนักอสูรเลยสักนิด
“หึหึ! ข้าหลิ่วเฮยได้มาอยู่ที่นี่แล้ว ผู้อาวุโสของสาขาที่ 12 ของสำนักอสูร ข้าได้รับคำเชิญมาเพื่อคร่าชีวิตของพวกเจ้าแล้ว”
วินาทีต่อมา ผู้อาวุโสหลังค่อมเดินโผล่ออกมาจากด้านหลังของหุ่นศพ เขาถูกปกคลุมไปด้วยผ้าคลุมสีดำ เสียงของเขาทั้งแหบแห้งและน่าขนลุก มันทำให้ทุกคนต่างหวาดหวั่น
“มันดูไม่เหมือนหุ่นศพระดับฝึกพลังปราณ 12 ตัวและผู้ฝึกตนด้านอสูรในระดับสร้างรากฐานจะสามารถปิดชีวิตข้าได้นะ” เว่ยฉานเฮอยิ้มเยาะออกมา หลังจากที่รับรู้ถึงตัวตนของอีกฝ่าย
“แล้วถ้าพวกเราละ?”
กลุ่มคนอีกนับสิบคนปรากฏขึ้นอีกฝั่งของถนน ทีละคน ทีละคน พวกเขามีผู้อาวุโสขั้นสร้างรากฐานสี่คนท่ามกลางผู้คนเหล่านั้นและที่เหลือต่างเป็นผู้ฝึกตนขั้นฝึกพลังปราณกันทั้งหมด
พร้อมกับขบวนรบเช่นนี้แล้ว มันเหมือนกับว่าสมาชิกทั้งหมดของสาขาที่ 13 ของสำนักอสูรทั้งหมดที่ซ่อนตัวอยู่ในจี๋โจวต่างถูกเรียกมายังที่แห่งนี้ยังไงยังงั้น!
เว่ยฉานเฮอกัดฟันอย่างเดือดดาลกับสิ่งที่เกิดขึ้นด้านหน้าเขา
ถ้าเจ้าสำนักไม่ปรากฏตัวขึ้นแล้ว ชะตาเขาคงจะขาดเป็นแน่แท้ ไม่ต้องพูดถึงเขาเลยด้วยซ้ำ ลูกศิษย์ที่พึ่งรับเข้ามาใหม่ทั้ง 200 คน คงจะจบชีวิตลงที่นี่ตามไปด้วย
ทำไมพวกสำนักอสูรถึงได้ส่งคนมามากถึงเพียงนี้กัน?
“เจ้าแก่ เลิกเนียนได้แล้ว! มันจะต้องมีผู้อาวุโสหนึ่งหรือสองคนซ่อนตัวอยู่ที่นี่เพื่อมาช่วยเจ้าใช่ไหม?”
ชายวัยกลางคนที่วางแผนที่จะลอบโจมตีในจี๋โจวกระโดดออกมาด้านหน้า ใบหน้าของเขาดูเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งมาก
ก่อนที่เว่ยฉานเฮอจะสามารถตอบกลับไปได้ เขาก็พูดต่อด้วยความมั่นใจ “เจ้าแก่ คนของข้าสังเกตเห็นปฏิกิริยาของเจ้าตอนที่เจ้าเห็นเจ้าเด็กนั่นเมื่อวาน ถ้าข้าเดาไม่ผิดแล้วละก็เขาจะต้องมีพรสวรรค์ที่น่ามหัศจรรย์อย่างแน่นอน! ซึ่งมันทำให้แม้แต่เจ้า ผู้อาวุโสของสำนักเทียนหยุนยังตกตะลึงได้ถึงเพียงนั้น!”
เฉินเฉินทำหน้าตาใสซื่อ เมื่อชายวัยกลางคนชี้มาที่เขา
อะไร? มันผิดหรือไงที่มีพรสวรรค์?
“ในตอนที่เจ้าเลือกลูกศิษย์อยู่ เจ้ายังขอเวลาห้านาทีจากทุกคนอีก เจ้าจะต้องใช้เวลานั้นเพื่อไปขอความช่วยเหลือจากสำนักเทียนหยุนสินะ โดยวิธีการใช้เหรียญตราสื่อสารนั่น เจ้ากลัวว่าเรื่องเลวร้ายอาจจะเกิดขึ้นกับเจ้าเด็กที่มีพรสวรรค์นั่น”
“แม้แต่ตอนนี้เจ้ายังคอยปกป้องเจ้าเด็กหนุ่มนั้นอยู่อย่างใกล้ชิด นี่มันแสดงให้เห็นแล้วว่าเจ้าเด็กหนุ่มมีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมมาก ซึ่งมันได้ก้าวข้ามพรสวรรค์ของมู่หลงหยุนหลานไปด้วยซ้ำ! ข้าสงสัยว่าสิ่งที่ข้าพูดไปมันถูกต้องไหม?”
เว่ยฉานเฮอหน้าแดงฉาน เพราะเขาถูกเปิดเผยความจริงออกมา เขาไม่ได้คาดคิดเลยว่าอีกฝ่ายจะมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาลงมือทำไปเมื่อวันก่อน
ยิ่งไปกว่านั้นชายคนที่พูดออกมามันก็เป็นเพียงแค่รุ่นน้องที่ยังอยู่ในระดับฝึกพลังปราณเพียงเท่านั้น มันน่าอับอายอะไรเช่นนี้!
‘พรสวรรค์!’ เฉินเฉินประหลาดใจด้านในตัวเอง ถ้าชายคนนี้ได้รับมอบเจ้าปืนยิงยาสลบแล้ว เขาคงคิดว่าเจ้าคนนั้นมันถูกสิงโดยโคนันแล้วละ
เขานั้นมีคุณสมบัติที่จะเป็นสปายในเมืองจี๋โจวแห่งนี้จริงๆ ทั้งการสังเกตการณ์ของเขาและเหตุผลที่เขาพูดออกมานั้นยอดเยี่ยมมาก
มันทำให้เฉินเฉินมีคำถามอยู่ในหัวว่าสำนักเทียนหยุนได้ส่งคนมาช่วยพวกเขาหรือเปล่า?
“เจ้าแก่ เจ้าคิดว่าเจ้าคงฉลาดสินะ แต่ความจริงแล้วเจ้ามันโง่มาก ข้าสังเกตเห็นทุกสิ่งที่เจ้าทำนั่นแหละ!”
ชายวัยกลางคนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน ผู้อาวุโสของสำนักอสูรที่อยู่รอบเขาต่างมีท่าทางพึงพอใจด้วยเช่นกัน
มันเป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่จะทิ้งคนที่มีพรสวรรค์แบบเขาไว้ในเมืองจี๋โจวเพื่อทำหน้าที่สปายแบบนี้
ในเวลานั้นเอง ชายวัยกลางคนก็เงยหน้าขึ้นไปบนฟากฟ้า เขาก็ตะโกนออกมา “คนของพวกเราได้ล้อมที่นี่ไว้หมดแล้ว ดังนั้นสถานที่ที่สำนักเทียนหยุนจะซ่อนตัวได้มันมีอยู่เพียงที่แห่งเดียวเท่านั้น!”
“ข้าสงสัยว่าข้าคิดถูกไหม? ผู้อาวุโสของสำนักเทียนหยุนซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางมวลเมฆใช่ไหม?”
พอเขาพูดจบ ทุกคนต่างเงยหน้าขึ้นไปบนฟ้า
วินาทีต่อมา เสียงที่ใจเย็นก็ดังก้องไปทั่วผืนฟ้า
“เจ้าพูดถูกแล้วละ แต่เจ้าจะทำอะไรได้อีกกันถ้าข้าอยู่ที่นี่?”
เมื่อได้ยินเสียงของเจ้าสำนัก ชายวัยกลางคนที่ชี้ไปขึ้นบนท้องฟ้าและทำท่าหยิ่งยโสก็ตัวอ่อนทันที เขาเกือบจะล้มลงกับพื้นด้วยซ้ำไป เขาดูเหมือนกับถูกสายฟ้าฟาดเข้าใส่
แม้แต่ผู้อาวุโสของสำนักอสูรยังหน้าซีดเซียวกันทั้งหมด!