บทที่ 69 ทหารรับจ้าง (3)
มีรถม้าทั้งหมดห้าคันและบรรทุกคนทั้งหมด 40 คนซึ่งประกอบไปด้วยทหารรับจ้างพ่อค้าและคนขับรถม้า
จำนวนรถม้ามีขนาดเล็กแต่นั่นเป็นเพราะพวกเขาสามารถเพิ่มพื้นที่ขนของได้โดยใช้กระเป๋าเวทย์มนต์
เฟรย์นั่งอยู่บนรถม้าคันที่สี่
นี่คือรถม้าที่เขาต้องอยู่ตลอดการเดินทาง
เมื่อเขาพบที่นั่งที่สะดวกสบายและชมทิวทัศน์ที่ผ่านไปเฟรย์ก็รู้สึกได้ว่ามีใครบางคนจ้องมองมาที่เขา
“…”
เธอเป็นหญิงชรารูปร่างหน้าตาอัปลักษณ์
เธอมีใบหน้าที่แก่ก่อนวัยที่มีกะเป็นสีดำ จมูกเหมือนเหยี่ยวผิวหนังเหี่ยวย่นและฟันสีเหลืองคด
จากไม้เท้าในมือของเธอเขาเดาว่าเธอคงเป็นวิซาร์ดอีกคนในการเดินทาง (editor note : วิซาร์ด=พ่อมดเหมือนกันแต่จะให้เรียกผู้หญิงว่าพ่อมดมันก็ดูแปลกๆ)
‘เวทมนตร์ลวงตา’
เธอซ่อนตัวเองแบบเดียวกับที่เขาทำ
คาถาของเธออยู่ในระดับที่ดีทีเดียว แต่เขายังสามารถมองทะลุผ่านมันได้
ชิก
เมื่อเขารวบรวมมานาของเขาเข้าไปในดวงตาของเขารูปลักษณ์ที่แท้จริงของหญิงชราก็ถูกเปิดเผยให้เขาเห็น
เธอกลายเป็นหญิงสาวผมบลอนด์ที่สวยงามพร่างพราวและมีดวงตาสีฟ้า อย่างไรก็ตามเฟรย์ไม่ได้สนใจใบหน้าของเธอ
หูของเธอนั่นยาว....เอลฟ์?
ผมสีบลอนด์และผิวขาวของเธอยังเป็นสัญญาณบอกเล่าว่าเธอเป็นไฮเอลฟ์ที่สูงส่งที่สุดในบรรดาเอลฟ์
เฟรย์รู้สึกแปลกระหว่างที่มองเธอ
‘ไฮเอลฟ์มาทำอะไรที่นี่?’
เขายังสงสัยอีกว่าทำไมเธอถึงมองเขาตลอด
เธอไม่น่าจะสังเกตเห็นภาพลวงตาของเขาได้ ระดับของเธอนั้นยังไม่สูงพอ
เธอสนใจเพียงเพราะเขาเป็นพ่อมดอีกคนหรือเปล่า?
เมื่อเขาคิดเช่นนี้การแสดงออกของเขาก็แปลกไปเล็กน้อย
ในขณะที่เขาพยายามเข้าใจเหตุผลที่เธอจ้องมองอัลคอนก็พูดออกมา
“เคนนายรู้สึกยังไงบ้าง?”
เขายังคงแสดงท่าทีเป็นมิตร
"สบายดี"
"ดีแล้ว นายสามารถพักผ่อนได้ในช่วงสองสามวันก่อนที่เราจะข้ามทุ่งหญ้า จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นจนกว่าเราจะเข้าไปในป่า”
เพื่อไปยังป่าใหญ่พวกเขาต้องผ่านทุ่งหญ้าทอดยาวก่อนที่จะมาถึงป่า
ทุ่งหญ้านั้นราบเรียบและเปิดกว้างทุกด้านดังนั้นจึงสังเกตได้ง่ายว่ามีใครเข้ามาใกล้ แต่ป่าจะทำให้มุมมองของพวกเขาแคบลง
อาจกล่าวได้ว่าการเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดและโจรส่วนใหญ่ที่ตั้งใจจะขโมยสินค้าของพวกเขาเกิดขึ้นในพื้นที่ป่า
“อัลคอนผู้หญิงชราตรงนั้นเป็นใคร?”
จากนั้นเธอก็หยุดมองเขาและเริ่มเล่นไม้เท้าของเธอ
อัลคอนลูบคางของเขาขณะที่เขาตอบสนอง
“เธอเป็นวิซาร์ดระดับ 5 ดาวเช่นเดียวกับนายและเธอยังเป็นทหารรับจ้างระดับ A อีกด้วย เธอชื่อไซแอ็กซ์ ฉันไม่รู้นามสกุลของเธอหรอกนะ”
“อืม…”
“ถ้านายถามคนอื่นนายน่าจะได้รับคำตอบแบบเดียวกัน เธอเป็นคนที่ไม่ค่อยเข้าใกล้ใครเพราะเธอมักจะอยู่ในอารมณ์ที่เงียบและดูเศร้าหมอง ฉันจะพูดยังไงดี…เหมือนคุยกับกำแพงยังไงละ”
อัลคอนยักไหล่
“ในบรรดาทหารรับจ้างมีหลายคนที่เป็นแบบนั้น คนที่มีบุคลิกที่แข็งแกร่ง”
“เธอเป็นทหารรับจ้างมานานแล้วหรือยัง?”
“เท่าที่ฉันรู้เธอเป็นมาได้ประมานห้าปีเป็นอย่างน้อย นายสามารถพูดได้ว่าเธอเป็นทหารผ่านศึก เป็นเวลานานแล้วที่ฉันอยู่ที่พิลเล็ตแต่เธอค่อนข้างมีชื่อเสียงที่นี่เธอเรียกตัวเองว่า”กรีนวินไซแอ็กซ์"
เขาไม่แปลกใจเลยที่เธอตัดสินใจซ่อนตัว
ในอดีตการปรากฏตัวของเอลฟ์มักจะเป็นที่ประจักษ์ดังนั้นพวกเขาจึงสวมเสื้อคลุมอยู่เสมอ
‘ตอนนี้เอลฟ์ได้เรียนรู้เวทมนตร์แล้วอาจมีคนอื่นๆซ่อนตัวอยู่บนทวีปเช่นเดียวกับเธอ '
เฟรย์ไม่ได้มองเธอ
บางทีอาจเป็นเพราะเขาคาดหวังให้เธอเข้าหาเขาก่อน
และในเย็นวันนั้นขณะที่กำลังเสิร์ฟอาหารเย็นไซแอ็กซ์ก็เดินเข้ามาหาเขา
เฟรย์จงใจเลือกที่จะนั่งห่างจากคนอื่นๆเล็กน้อยในขณะที่กินซุปของเขา
โชคดีที่อัลคอนกำลังยุ่งอยู่กับทหารรับจ้างคนอื่นๆ
“คุณพอจะมีเวลาไหม?”
เฟรย์เหลือบมองเธอและพยักหน้าอย่างใจเย็น
"ครับ"
"ขอบคุณ ฉันเป็นแค่หญิงชราที่ชื่อไซแอ็กซ์ คุณคงจะเป็น… เคนริกซ์ตันใช่มั้ย?”
เฟรย์รู้สึกแปลกๆที่เห็นไซแอ็กซ์เรียกตัวเองว่าหญิงชรา
นั่นเป็นเพราะในสายตาของเขาไซแอ็กซ์เป็นเพียงสาวสวยวัยเยาว์ที่แสร้งทำตัวเป็นหญิงชรา
สำหรับเขามันเป็นเรื่องแปลกมาก
จากรูปลักษณ์ของเธอไซแอ็กซ์น่าจะเป็นไฮเอลฟ์ที่อายุน้อยกว่า 100 ปี
“ผมชื่อเคนริกซ์ตัน ผมเคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับชื่อของคุณนะกรีนวินไซแอ็กซ์”
"…ก็ มันไม่มีอะไรมาก”
เธอเกาแก้มด้วยความลำบากใจเมื่อได้รับคำชมอย่างโจ่งแจ้ง
เธอไม่ได้มีลักษณะของทหารรับจ้างอย่างแน่นอน
“แล้วคุณมีธุระอะไรกับผม?”
เมื่อเฟรย์ถามคำถามอย่างห้วนๆไซแอ็กซ์ที่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็ยอมเปิดปาก
“คุณเป็นนักเวทย์วิญญาณหรือเปล่า?”
"ฮะ?"
“ฉันรู้สึกถึงพลังวิญญาณของคุณ นั่น…เป็นพลังงานประเภทหนึ่งที่หายากมาก”
'อา'
จากนั้นเฟรย์ก็รู้ว่าทำไมไซแอ็กซ์ถึงสนใจเขา
เธอสังเกตเห็นว่าเขาได้เซ็นสัญญากับวิญญาณแห่งความมืด ‘ดาร์กมิง’
ไฮเอลฟ์มีความสัมพันธ์ที่ดีกับวิญญาณ สมาชิกที่มีความสามารถโดยเฉพาะในหมู่พวกเขายังสามารถทำสัญญาราชาวิญญาณซึ่งถือได้ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่เหนือธรรมชาติ
บางทีเธอเองก็มีพลังวิญญาณ
ด้วยเหตุนี้เธอจึงเห็นได้ง่ายว่าเขาได้เซ็นสัญญากับวิญญาณ
มันไม่ใช่สิ่งที่เขาสามารถซ่อนได้
“คุณไซแอ็กซ์เองก็เป็นนักเวทย์วิญญาณด้วยหรือ?”
“…จะพูดแบบนั้นก็ได้”
“ผมมีวิญญาณที่ได้ทำสัญญาด้วย แต่ผมไม่ใช่นักเวทย์วิญญาณโดยตรง”
ไซแอ็กซ์โบกมือเล็กน้อยและสีหน้าของเธอก็เปลียนไป
“วิญญาณไหนที่คุณทำสัญญาด้วยละ?”
“ผมไม่สามารถบอกคุณได้ว่า แต่คุณไซแอ็กซ์ รู้ได้อย่างไรว่าผมมีวิญญาณละ?”
“…”
คำถามนี้ทำให้การแสดงออกของไซแอ็กซ์ดูแปลกไปเล็กน้อย
ดูเหมือนว่าเธอจะถามอย่างหุนหันพลันแล่นก่อนที่จะคิดหาข้อแก้ตัว
เฟรย์ถอนหายใจเข้าข้างใน
เขารู้ว่าเธอเป็นเอลฟ์อยู่แล้วดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องถามเธอต่อไป
“ถ้าคุณไม่สามารถบอกเหตุผลได้ก็ไม่เป็นไร”
"ขอบคุณ"
“ผมขอถามคำถามอื่นได้ไหม?”
“แน่นอนฉันจะตอบถ้าหากทำได้”
“ผมอยากรู้ว่าทำไมคุณไซแอ็กซ์ถึงได้รับภารกิจนี้”
“…”
ไซแอ็กซ์ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
เป็นคำถามที่ตอบง่ายมาก เธอสงสัยว่ามีความหมายพิเศษอยู่เบื้องหลังนี้มั้ย
“ฉันกังวลเกี่ยวกับปีศาจที่โผล่มาในป่า”
“พวกอันเดด?”
"ใช่ เป็นเรื่องผิดปกติที่อันเดดจะปรากฏตัวใกล้ป่าใหญ่ มันไม่ได้เกิดขึ้นในช่วงหนึ่งพันปีที่ผ่านมา ”
เฟรย์หัวเราะเบา ๆ
"หนึ่งพันปีเลยหรอ!"
ไซแอ็กซ์สะดุ้ง
เธอตระหนักว่ากรอบเวลาที่ยาวนานเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์มักใช้
เฟรย์รู้ว่าทำไมไซแอ็กซ์เลือกที่จะหลีกเลี่ยงการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นและอยู่คนเดียว
เธอโกหกได้แย่มากและเธอก็รู้ตัวดี
เธอเลือกที่จะไม่โต้ตอบอะไรเลยดีกว่าจะพูดออกมาแปลกๆโดยบังเอิญ
นี่คือเหตุผลที่เธอเลือกรูปลักษณ์ของหญิงชราที่น่าเกลียด
'นี่อาจเป็นสาเหตุที่เอลฟ์ไม่ชอบโกหกตั้งแต่แรก'
แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ทำมันได้ดีกว่าแต่ก่อน
เธอมีความยืดหยุ่นมากกว่าเอลฟ์เมื่อเทียบกับ 4,000 ปีก่อน
“ซุปของคุณกำลังจะเย็นแล้วนะ”
"…ช่าย"
ไซแอ็กซ์ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและเริ่มกินซุปของเธอ
เฟรย์มองเธอครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะกินต่อ
ดังที่อัลคอนได้โอ้อวดไว้ ตลอดการเดินทางผ่านทุ่งหญ้าดำเนินต่อไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ทหารรับจ้างเริ่มผ่อนคลายและอัลคอนก็ไม่ได้ตำหนิพวกเขา
อย่างไรก็ตามสามวันต่อมาบรรยากาศเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเมื่อพวกเขาเข้าไปในป่า
การแสดงออกที่ผ่อนคลายก่อนหน้านี้ของอัลคอนกลายเป็นจริงจังจนแทบจะกลายเป็นอีกคน
“ตั้งแต่วันนี้ไปคอยสังเกตสภาพแวดล้อมของเรา เราจะแบ่งออกเป็นสามกลุ่มโดยมีทีมลาดตระเวนสองทีม”
อัลคอนตัดสินใจเลือกหัวหน้าทีมและสมาชิกหลังจากพิจารณาคุณสมบัติของทหารรับจ้างทุกคนในการเดินทาง
แต่นี่ไม่รวมเฟรย์หรือไซแอ็กซ์
ไม่เพียงแค่นั้น พวกเขาไม่ต้องช่วยเรื่องของการตั้งค่ายเตรียมอาหารหรือสิ่งอื่นใดในลักษณะนั้น
ดังที่ดอมกิได้กล่าวไว้พ่อมดจะได้รับการปฏิบัติเหมือนกับเหล่าขุนนางในโลกของทหารรับจ้าง
ทหารรับจ้างที่อยู่รอบๆมองพวกเขาด้วยสายตาอิจฉาแต่ไม่มีใครเห็นว่าสิ่งนี้แปลก
แน่นอนว่านอกเหนือจากนั้นเฟรย์ยังให้ความสนใจเป็นอย่างมากกับสภาพแวดล้อมของเขา
การแสดงออกทางสีหน้าของเขาเบื้องหลังภาพลวงตานั้นแข็งกระด้าง
ไม่ใช่เพราะอันเดด
เขาไม่ได้สนใจเรื่องของอันเดดเป็นพิเศษ
กลับเป็นอย่างอื่นที่ทำให้การแสดงออกของเขาดูจริงจัง
เป็นเพราะเขารู้สึกได้ถึงร่องรอยของพลังศักดิ์สิทธิ์ในบริเวณใกล้เคียง
‘ที่นี่มีอัครสาวกอยู่ใช่ไหม?’
เอียเซิกไม่ได้พูดถึงเรื่องนั้น
ลองคิดดูเขาไม่ได้พูดถึงอันเดดเลยด้วยซ้ำ
คนรับใช้ของเดมิก็อดเข้าไปในป่าหลังจากที่เอียเซิกจากไปหรือ?
อันเดดและเดมิก็อด
แวบแรกดูเหมือนพวกเขาจะไม่เกี่ยวข้องกัน แต่ในขณะนั้นเฟรย์ก็นึกถึงคำพูดของเบเนียง
[มีห้าคนที่ลอร์ดไว้วางใจมากที่สุด พวกเขาเป็นคนที่มีความสามารถโดดเด่นแม้แต่ในกลุ่มเดมิก็อด เราเรียกสิ่งเหล่านี้ว่า "อะโพคาลิปส์"]
[พวกเขาไม่แข็งแกร่งเท่ากับลอร์ดก็จริง แต่พวกเขาแข็งแกร่งพอที่จะมีอิทธิพลในหมู่ของเหล่าเดมิก็อด]
[เราได้ระบุพลังของอะโพคาลิปส์ทั้งสามแล้ว พวกเขาคือดาบพิษและความตาย]
‘… เดมิก็อดที่มีพลังแห่งความตาย’
เขารู้ระดับหนึ่งแล้วว่าพลังของเดมิก็อดนั้นเพียงพอที่จะทำลายทีมปราบขนาดใหญ่ได้อย่างง่ายดาย
เขาได้เรียนรู้ข้อมูลนี้หลังจากเข้าร่วมโทร์วแมนริงส์
‘เขาได้รับรู้ว่ามีเดมิก็อดที่มีพลังปล่อยหมอกที่สามารถฆ่าผู้ที่มีความต้านทานต่ำได้ทันทีเพียงแค่สัมผัส ไม่เพียงแค่นั้นเขายังสามารถใช้ศพของคนที่เขาฆ่าเป็นเครื่องมือได้ด้วย ’
เดมิก็อดนั้นเป็นต้นกำเนิดของอันเดดงั้นหรือ?
เขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนั้นเลย
เฟรย์เห็นพวกเขาเป็นผู้ทำลายล้างเท่านั้น อย่างน้อยเฟรย์ก็ไม่เคยเห็นพวกเขาใช้พลังในการสร้าง
‘ถ้าที่นี่มีเดมิก็อดอยู่จริงๆ…’
เขาจะต้องวิ่งโดยไม่หันกลับมามอง
ในระดับปัจจุบันของเขาเขาจะหมดหนทางหากต้องเผชิญหน้ากับเดมิก็อด
แต่เฟรย์รู้ดีว่าอัตราที่จะได้พบนั้นต่ำมาก
‘ถ้ามันเป็นเดมิก็อดจริงๆร่องรอยของพลังศักดิ์สิทธิ์ก็จะไม่เบาบางขนาดนี่’
มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นอัครสาวกหรือผู้ใต้บังคับบัญชาคนอื่นๆของเดมิก็อดแทนที่จะเป็นเดมิก็อดเอง
ถ้าเป็นเช่นนั้นก็จะเป็นโอกาสที่ดีสำหรับเฟรย์
ถ้าเขาสามารถฆ่าอัครสาวกอีกคนและสร้างยาอายุวัฒนะจากคริสตัลของพวกเขาได้ มันจะเป็นก้าวสำคัญในเส้นทางของเขาสู่ระดับ 8 ดาว
เฟรย์กังวลมากขึ้นเกี่ยวกับความจริงที่ว่าผู้สืบทอดของราชานักรบเวทมนตร์ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับป่าใหญ่
เขาไม่ได้คิดลึกเกินไปเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่เขาคิดไม่ออกว่าทำไมผู้สืบทอดถึงต้องอยู่ในป่า
มันอาจเกี่ยวข้องกับเดมิก็อด
‘หรือเขาอาจจะเป็นลูกน้องของเดมิก็อดก็ได้’
เฟรย์รู้สึกว่านั่นเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด
ผู้สืบทอดของราชานักรบเวทมนตร์คาซาจินกลายเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเดมิก็อด?
เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้อย่างยิ่ง
หากเป็นเช่นนั้นเฟรย์จะฆ่าเขาโดยไม่ลังเล
คาซาจินมักจะอ้างว่าหมัดราชาเป็นศิลปะการต่อสู้ชนิดเดียวที่สามารถสังหารเดมิก็อดได้
เฟรย์เคารพคำพูดเหล่านั้น
เขาจะไม่ยอมให้ศิลปะการต่อสู้ของเพื่อนที่เขารักต้องแปดเปื้อน