ตอนที่ 170 สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าเซลี่
ตอนที่ 170 สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าเซลี่
หลังจากนั้นเนื้อระดับ 4 จำนวนมากก็ถูกส่งมาที่โต๊ะ ซึ่งแน่นอนว่าโต๊ะเดียวไม่เพียงพอจึงต้องของแรงพนักงานชายมาช่วยลากโต๊ะมาเสริมให้กับเขา
ไนเรลเริ่มลงมือย่างและกินอย่างรวดเร็ว เนื้อที่สุกหอมมีร้อยไหม้เล็กน้อยทำใดดูน่ากินเป็นอย่างมาก ด้วยความที่เป็นเนื้อระดับ 4 กลิ่นจึงหอมมากทำเอาลูกค้าหลายคนอิจฉากันเลยทีเดียว
หลังจากนั้นเขาก็นั่งกินอยู่ถึงสองชั่วโมงก็ยังไม่หยุดกิน เนื้อพวกนี้แทบจะเรียกว่ายังไม่ได้ครึ่งหนึ่งของกระเพาะเขาด้วยซ้ำ เพราะพลังงานในเนื้อมันน้อยมากเมื่อเทียบกับระดับของไนเรล
เขากะจะกินจนกว่าร้านปิดเลย เพราะนาน ๆ ที่ได้มานั่งกินหมูกระทะแบบนี้
และแล้วในที่สุดตัดสินใจก็มาถึงพร้อมกับคนคิดตามอีกสองคนที่อยู่ด้านหลัง และก็ไม่ใช่ใครอื่นทั้งสองคือลูกศิษย์ของเซน ดานเต้ชายหนุ่มผู้ได้สืบทอดความสามารถ [ปืนใหญ่วารี S] และนิรินหญิงสาวคนที่ได้สืบทอดความสามารถ [มนุษย์งูยักษ์ S] ไป
ระดับพลังของทั้งสองมาถึงจุดสูงสุดระดับสีเขียวแล้ว คงอีกไม่นานก็จะไปถึงระดับสีน้ำเงิน ซึ่งนั้นเป็นเรื่องที่ดีของสมาพันธ์นักล่า
ไนเรลพยักหน้าด้วยความพอใจ
ทั้งสามคนเห็นไนเรลก็รีบทำความเคารพเขาทันทีตามความเคยชินรีบหยุดไว้และก็บอกให้พวกเขานั่งลง แต่เซนปฏิเสธ เพราะในฐานะพ่อบ้านแล้วมันไม่เหมาะสมจึงได้แต่รักษาท่าทีไว้ ทั้งสองคนด้านหลังคนทั้งสองด้านหลังก็ด้วย
“ฉันปลอมตัวมา ดังนั้นนั่งลงอย่าให้คนรอบ ๆ แตกตื่นไปมากกว่านี้ฉันไม่อยากเป็นจุดสนใจมากนัก” ไนเรลหันไปมองรอบ ๆ
เซนเห็นแบบนั้นก็นั่งลง ส่วนดานเต้และนิรินก็ไปนั่งอีกโต๊ะ
เมื่อทั้งสามคนนั่งลงไนเรลสั่งชุดใหญ่ด้วยเนื้อระดับ 4 ให้กับทั้งสองกินรอไปก่อน
ระหว่างนั้นไนเรลและเซนก็คุยเรื่องที่วินเซนต์สารภาพออกมา
เซนเล่าเรื่องที่ว่า “พวกพาราซัสและจีนาสรู้ตำแหน่งของสถานที่แปลกประหลาดดูเหมือนมันจะเป็นสิ่งที่อารยธรรมระดับสูงทิ้งไว้ พาราซัสพวกนั้นต้องได้กุญแจอะไรสักอย่างมาก่อนถึงจะสามารถเปิดประตูเข้าไปได้ มันเชื่อว่าสถานที่นั้นจะต้อง ช่วยมนุษย์ให้ผ่านวิกฤตซอมบี้ได้อย่างแน่นอน”
ไนเรลฟังก็คิดตามและถามต่อ “รู้ตำแหน่งไหม?”
วินเซนส่ายหัวเป็นเชิงบอกว่าไม่รู้
“ส่งคนไปสืบมา” ไนเรลคีบเนื้อสามชั้นที่ย่างจนเหลืองกรอบเล็กน้อยจิ่มกับน้ำจิ่มใส่เข้าปากและพูดต่อ “ซีโร่เจาะข้อมูลของพาราซัสค้นหาเบาะแสทุกสิ่งของสถานที่นั้น ส่งเรื่องนี้ไปให้ปู่ฉันด้วย”
ขณะนั้นเองเสียงของคนทะเลาะกันก็ดังจากด้านนอกร้านขัดจังหวะการสนทนาของไนเรลและเซน
ไนเรลมองออกไปมันมาจากถนนฝั่งตรงข้าม มีหญิงสาวอายุประมาณ 17 ปีกำลังยืนขวางกลุ่มนักล่าไว้
“หยุด พวกแกจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น คืนแก่นพลังงานมาซะ”
“บอกแล้วไงว่าพวกเราไม่ได้ขโมยไป”
“อย่าคิดว่าพวกฉันไม่รู้นะ เมื่อกี้ที่เดินชนกันเด็กนั้นล้วงเอาแก่นพลังงานในกระเป๋าฉันไป พวกแกเป็นแก๊งล้วงกระเป๋าใช่หรือไม่” ชายในกลุ่มพยายามเดินเข้าไปคว้าตัวเด็กมาเพื่อจะค้นตัว แต่หญิงสาวเข้าไปขวางไว้
“พี่เซลี่ ผมไม่ได้ขโมยนะ” เด็กชายตัวเล็กพยายามปฏิเสธอย่างสุดเสียง
แต่นักล่ากลุ่มนั้นไม่ยินยอม พยายามจะยื้อแย่งกันอยู่จึงทำให้เกิดคนมุงดูจำนวนมาก แต่ไม่มีใครกล้าเข้าไปช่วย เพราะหนึ่งในนักล่าเป็นมนุษย์ชั้นสูงระดับสีน้ำตาลอยู่ด้วย
ไนเรลมองอย่างสนใจ เพราะหญิงสาวคนนั้นก็คือ เซลี่ที่แยกกันตอนที่ไนเรลตามล่าซอมบี้ระดับ 5
“เซนไปดูหน่อย” ไนเรลสั่งออกไป
เซนมองชายหนุ่มอย่างแปลกใจและคิดว่านายท่านของตัวเองจะชอบหญิงสาวคนนี้
เมื่อเห็นว่าเซนมองแบบนั้น ไนเรลจึงบอก “ฉันรู้จักผู้หญิงคนนั้น อันที่จริงเคยเป็นหนี้พวกเธอนิดหน่อย”
เซนจึงถาม “จะให้พาเธอมาที่นี่ไหม”
“ไม่ต้อง” ไนเรลปฏิเสธไป เพราะเขาเคยบอกกับเซลี่แล้ว ว่าถ้าเธออยากพบเข้าก็ให้มาที่สมาพันธ์นักล่า แต่เธอเลือกมาก็แสดงว่าเธอยังไม่อยากจะมาพบเขา
เซนเขาใจแล้วก็เดินลงไปด้านล่าง
ไนเรลมองดูเซนและกลุ่มคนพวกนั้นคุยกันอยู่สักพัก แต่ดูเหมือนกลุ่มนั้นต้องการให้หญิงสาวชดใช้แก่นพลังงาน
เซนใช้ความสามารถอ่านความคิดทั้งหมดของชายคนนั้นและเด็กน้อยที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นขโมย
จนไปเจอว่าก่อนที่ชายคนนั้นจะเดินชนกับเด็ก มีชายอีกคนที่ตามหลังเขามาตลอด ดูเหมือนชายคนนี้ที่ถือแก่นพลังงานจะไม่รู้เลยแม้แต่น้อย ส่วนเด็กนั้นเพราะมัวแต่สนใจของกินรอบข้างจึงเดินไม่ระวังไปชนกับชายคนนนี้เท่านั้น
“เด็กคนนี้ไม่ได้ขโมย แต่เป็นชายอีกคนที่ขโมย ตอนนี้ขโมยคงหนีไปไกลแล้ว” เซนบอกกับกลุ่มนักล่าอย่างดี ๆ เพราะเขาไม่อยากจะใช้กำลังในการแก้ปัญหา
“เป็นไปไม่ได้ เด็กนี้ต้องขโมยอย่างแน่นอน” ชายคนนั้นไม่เชื่อ
เซนมองอย่างเย็นชาดึงผ้าคลุมใบหน้าออกเผยให้เห็นคริสตัลวิวัฒนาการสีเขียวเข้ม
กลุ่มของนักล่าที่เห็นแบบนั้น โดยเฉพาะคนที่มีระดับสีน้ำตาลรีบขอโทษแทนชายคนนั้นทันทีที่ทำตัวไม่สุภาพก่อนหน้านี้
“เออเรื่องนี้พวกเราเข้าใจผิดเด็กนี่คงไม่ได้ขโมยพวกเรายินดีชดใช้ให้กับเด็กคนนี้”
“ไม่ต้อง” รับนี่ไปแล้วอย่ามายุ่งกับเด็กพวกนี้อีก จากนั้นเซนก็โยนแก่นพลังงานระดับ 3 ไปชิ้นหลังและหันหลังจากไป
เซลี่รีบตะโกนบอกว่า “ขอบคุณค่ะ คุณลุงชื่ออะไรคะ”
“ไม่เป็นไร ผมชื่อเซน คงต้องขอตัวก่อน แต่ขอบคุณมากที่เคยช่วยชีวิตนายท่านไว้” เซนตอบเธอไปอย่างสุภาพและเดินจากไปทิ้งให้เซลี่ยืนงงอยู่แบบนั้น
เธอเห็นเซนขึ้นไปชั้นสองของร้านหมูกระทะตรงข้ามมีชายหนุ่มคนหนึ่งอยู่ เมื่อเธอเห็นก็เข้าใจว่าใครมาช่วย เซลี่ก้มหัวขอบคุณจากนั้นก็พากลุ่มเด็ก ๆ เดินไปต่อ
ขณะที่ไนเรลมองดูเซลี่ก็ให้ซีโร่หาข้อมูลของเธอแล้วว่า เธอพึ่งย้ายเข้ามาที่เมืองหลวงไทกีล่าได้ไม่ถึง สองสัปดาห์ เธอเปิดสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าที่ชื่อว่า “สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าของลุงคิง” รับเลี้ยงเด็กกำพร้าไว้ประมาณ 10 กว่าคน ซึ่งดูเหมือนเธออยากจะทำตามเจตนารมณ์ของคิงที่ช่วยเหลือเด็ก ๆ
ส่วนเงินที่เธอนำมาสนับสนุนก็ได้มาจากการ์ดเงินสดใบสำรองที่ไนเรลเคยให้ไป แต่ดูเหมือนเธอจะใช้มันเท่าที่จำเป็นเท่านั้นจริง ๆ
“ซีโร่ ให้คนของสมาพันธ์ติดต่อไปว่า ทางเราอยากจะเป็นผู้ให้เงินสนับสนุนบ้านเด็กกำพร้าทุกหลังโดยเฉพาะ ‘สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าของลุงคิง’ จัดการขึ้นทะเบียนสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าและทำสถิติไว้ด้วยว่ามีกี่ที่เด็กกี่คน เรื่องนี้ส่งให้ฝ่ายบริหารดูแลด้วย เราจะสนับสนุนเงินทุนให้เด็ก ๆ พวกนั้น”
ไนเรลยังคงพูดต่อ “อีกอย่าง ในเมื่อพวกเราเริ่มพัฒนาเมืองแล้ว ก็ควรจะมีโรงเรียนสอนเด็ก ๆ อย่างน้อยเด็กที่เกิดในยุคนี้จะต้องมีความรู้ติดตัวไว้บ้าง เพื่อเข้ามาเติมเต็มแรงงานที่ไม่เพียงพอ ถ้าให้ดีจัดสวัสดิการให้กับประชาชนที่อยู่อาศัยตามเขตต่าง ๆ ไปตามความเหมาะสม แจ้งเรื่องนี้ให้ทางฝ่ายบริหารทราบด้วย”
ซีโร่ใช้เวลาไม่กี่นาทีร่างเรื่องที่ไนเรลเสนอไปให้ฝ่ายบริหารทันที “แจ้งเรียบร้อยแล้ว”
“อืม...ดีมาก” ไนเรลหันไปหาเซนและบอก “นายเองก็ตามสบาย ยังไงในเร็ว ๆ นี้อาจจะให้นายไปประจำตำแหน่งอะไรสักอย่าง ดีกว่ามาอยู่คอยรับใช้ฉันที่ไม่ได้มีงานอะไรมากนัก”
“นายท่าน ผมยินดีรับใช้ท่าน”
“ยังไงฉันก็คิดว่านายควรจะมีที่ของตัวเองเพื่อให้เหมาะสมกับความสามารถที่มี เอาแบบนี้แล้วกันเดียวฉันตั้งกองกำลังใหม่แล้วติดต่อนายไปแล้วกัน”
“ครับนายท่าน” เซนตอบตกลงไป
หลังจากนั้นเซนและไนเรลก็แยกกันออกไป ทิ้งให้คนในร้านงงกับการกระทำที่ดูลึกลับของพวกเขา ซึ่งแน่นอนว่าคนอื่น ๆ ไม่รู้ว่าชายที่มากินหมูกระทะในร้านธรรมดาแบบนี้จะเป็นถึง ประธานสมาพันธ์นักล่าอย่างแน่นอน เพราะไนเรลปลอมตัวมา!!!!!!
.........
หลังจากไนเรลกลับมาเขาก็เริ่มคิดถึงปัญหาที่เกิดขึ้น เรื่องระเบียบในเมืองหลวงไทกีล่าและเมืองซานติเกีย
จริงอยู่ว่ามีกองกำลังผู้พิทักษ์แล้ว แต่มันก็ควรจะแยกออกจากกันให้ชัดเจน
เพราะกองกำลังผู้พิทักษ์เป็นเหมือนกองกำลังที่ป้องกันของสมาพันธ์นักล่า ดังนั้นควรจะมีกองกำลังที่มารักษาความเป็นระเบียบภายในเมืองเหมือนกับตำรวจ
“ถ้าไม่มีคนค่อยทำหน้าที่จับคนพวกนี้ ต่อไปต้องวุ่นวายมากอย่างแน่นอน เพราะจะให้ฆ่าทิ้งก็ดูจะเสียทรัพยากรมนุษย์เกินไป”
ไนเรลจึงเริ่มร่างแผนสร้างกองกำลังพิพากษาขึ้นมา พร้อมทั้งร่างกฎหมายที่ใช้ กองกำลังนี้เขาคิดว่าไม่ได้สร้างอะไรให้มันซับซ้อนมากนักคนในกองกำลังจะเรียกว่า “ผู้พิพากษา” สามารถตัดสินคดีและบังคับลงโทษตรงนั้นได้เลย โดยใช้ซีโร่เข้ามาช่วยในเรื่องอนุมัติคำพิพากษา
หลังจากการตัดสินใจนี้ ไนเรลก็ส่งเรื่องให้กับคนที่มีความสามารถด้านนี้ โดยย้ำไปว่า “รูปแบบความผิดให้เข้ากับยุควันสิ้นโลกแบบนี้เช่นในเขตเมืองทั้งสองหรือสถานที่อยู่ภายใต้การรับผิดชอบของสมาพันธ์ห้ามสังหารกันเด็ดขาด ส่วนผู้นำกองกำลัง ไม่สิต้องใช้ว่าผู้บัญชาการกองกำลังพิพากษาให้นิเรีย และรองคือเซนก็แล้วกัน”
“หลังจากจัดการเรื่องนี้แล้วทุกอย่างก็คงเป็นระเบียบมากขึ้น”
ไนเรลมองแผนการกองกำลังพิพากษาของตัวเองอย่างพอใจ และต่อไปจากนี้สมาพันธ์นักล่าจะมีกองกำลังผู้พิทักษ์ กองกำลังหมาป่า กองกำลังพยัคฆ์ กองกำลังเวหาและสุดท้ายกองกำลังผู้พิพากษาสุดโหดที่อาชญากรมักจะกล่าวขวัญถึงกันในอนาคต