WS บทที่ 70 อาณาจักรแบล็กมูน PART 3
เมื่อทหารยามของป้อมปราการเรเวนเห็นเมอร์ลินและคนอื่น ๆ ยืน พวกเขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
“ที่นี่คือป้อมปราการเรเวนแห่งอาณาจักรแบล็กมูน หากคุณอยากจะเข้ามาที่นี่ก็ต้องทำตามกฎระเบียบของพวกเรา ขนาดคนที่อ้างตัวเองว่าเป็นเจ้าชายกับเจ้าหญิงก็ยังต้องยอมจ่ายเหรียญทองให้พวกเราแต่โดยดีเลย เลือกเอาจะผ่านไปโดยไม่มีม้าหรือจะยอมจ่ายเหรียญทองให้พวกเรา!”
เลห์แมนกับบารอนเพอร์แมนได้ยินอย่างนั้นก็โมโหมาก พวกเขาจ้องมองไปที่ทหารยามอย่างดุเดือด แต่พวกเขาก็คุมอารมณ์ไว้ไม่ให้ตัวเองชกหน้าทหารยาม
แม้พวกเขาจะมีกองกำลังนับพันแต่ก็คงไม่อาจสู้กัป้อมปราการที่มีการคุ้มกันที่แน่นหนาได้
เมอร์ลินได้เข้าไปกระซิบเลห์แมนว่า
“ท่านพ่อ เราถอยกลับไปตั้งหลักกันก่อน เราจำเป็นต้องพูดคุยหารือหาทางออกในเรื่องนี้”
เลห์แมนพยักหน้าเห็นด้วย จากนั้นพวกเขาก็ถอยกลับไป
เมื่อถึงที่หมาย เมอร์ลินได้พูดขึ้นมาว่า “ดูเหมือนเจ้าหญิงเชอรีสจะยอมจ่ายไปเพื่อให้สามารถนำม้าเข้าผ่านป้อมปราการเรเวนได้ พวกเราคงไม่มีทางเลือกอื่นคงต้องรวบรวมเหรียญทอง 120,000เหรียญทอง ไปจ่ายพวกเขา...”
เลห์แมนได้เข้ามากระซิบว่า “เมอร์ลิน พ่อได้ใช้จ่ายเงินภาษีที่พ่อได้มาเกือบหมดแล้ว พ่อสามารถให้ได้มากสุด 40,000เหรียญทองเท่านั้น”
เมอร์ลินขมวดคิ้วเล็กน้อย รายได้ของตระกูลวิลสันนั้นได้มาจากการเรียกเก็บภาษีจากดินแดนเท่านั้นและกว่าครึ่งได้ถูกไปใช้กลับการฝึกกองอัศวินเกราะเหล็ก ดังนั้นจึงทำให้ทรัพย์สินของตระกูลจึงมีไม่มากนัก
“บารอนเพอร์แมน ท่านพอจะให้ได้เท่าไหร่” เมอร์ลินหันไปถามเขา
บารอนเพอร์แมนได้ฝืนยิ้มออก
“ข้าสามารถให้ได้เพียง 60,000เหรียญทอง ซึ่งยังไม่พออยู่ดี”
“เราจะทำยังไงดี”
เมอร์ลินคิดไม่ตกจริง ๆ หากพวกเขาสามารถหากเหรียญทองมาให้พวกเขาได้แต่หลังจากที่พวกเขาออกจากป้อมปราการเรเวนไปล่ะ พวกเขาจะเอาเงินที่ไหนมาดูแลคนกว่าสองพันคน พวกเขาจะใช้ชีวิตอยู่กันอย่างไร
หากพวกเขายอมทิ้งม้าไป พวกเขาจะเดินทางช้ามากและจะมีปัญหามากมายตามมา
ส่วนความคิกที่จะบุกโจมตีป้อมปราการเรเวนนั้นทิ้งไปได้เลย แม้แต่อัศวินชั้นยอดนับหมื่นคนก็ยังไม่สามารถฝ่าป้อมปราการที่น่ากลัวแห่งนี้ได้ นับประอะไรกับกองอัศวินของเลห์แมน
“ถ้าไม่มีทางเลือกอื่นจริง ๆ พวกเราอาจต้องกลับไปยังเส้นที่พวกเราจากมา ผมอาจจะต้องแลกเปลี่ยนเหรียญทองกับคีนโดยใช้โครงสร้างเวทมนต์อันอื่น”
เมอร์ลินรู้สึกอับจนหนทางมาก นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกตกต่ำขนาดนี้ ถึงขนาดต้องแลกโครงสร้างเวทมนต์กับโจรเพื่อแลกกับเหรียญทอง
“เดี๋ยวจัดเราเรื่องนี้ ท่านควรรอที่นี่สักสองสามวัน ผมจะกลับไปหาพวกโจร...”
ก่อนที่เมอร์ลินจะพูดจบ ดวงตาของเขาสังเกตเห็นอัศวินจำนวนมากปรากฎตัวนอกป้อมปราการเรเวน พวกเขามาประมาณหนึ่งพัน ทุกคนสวมใส่อุปกรณ์ที่ดีเยี่ยม พวกเขากำลังค่อย ๆ เคลื่อนพลไปในป้อมปราการเรเวน
เหล่าทหารยามได้ออกมาข้างนอกเพื่อแสดงความเคารพ
“ท่านเคานต์ขอรับ ท่านเคานต์เตสเพิ่งจะส่งคนนำข้อความมาให้ท่าน ดูเหมือนว่ามันจะเป็นเรื่องเร่งด่วนให้ท่านเคานต์กลับไปโดยเร็วขอรับ”
“เข้าใจแล้ว”
เมอร์ลินสังเกตเห็นว่าพวกทหารยามให้ความสำคัญต่อผู้มาเยือนใหม่มาก ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นคนสำคัญของป้อมปราการเรเวน
“บางที นี่น่าจะได้ผลนะ...” ดวงตาของเมอร์ลินได้พลันสว่างขึ้น จากนั้นเขาก็หันมาพูดกับเลห์แมนกับบารอนเพอร์แมนว่า
“รอผมอยู่ที่นี่ก่อนนะครับ เดี๋ยวกลับมา ผมหวังว่านี่จะเป็นทางออกของพวกเรา”
หลังจากพูดเมอร์ลินก็ตรงไปที่ ๆ มีอัศวินจำนวนมาก
“กระผมขอแสดงความนับถือ ท่านเคานต์ผู้ทรงเกียรติ” จู่ ๆ เมอร์ลินก็ได้ปรากฏตัวขึ้นมา
เหล่าอัศวินได้หันไปทางต้นเสียงอย่างรวดเร็ว ส่วนเคานต์ได้ขมวดคิ้วและถามไปว่า
“เจ้าเป็นใคร”
เมอร์ลินได้เงยหน้าขึ้นไปมองอย่างไม่เกรงกลัว “ท่านเคานต์ผู้ทรงเกียรติ กระผมเมอร์ลิน วิลสัน ผมเป็นขุนนางเล็ก ๆ ที่หลบหนีจากอาณาจักรแห่งแสงพร้อมครอบครัวของผม แต่อย่างไรก็ตามมีปัญหาติดขัดเล็กน้อยที่ป้อมปรามแห่งนี้ หากท่านเคานต์ผู้ทรงเกียรติมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยพวกเรา ผมจะไม่ลืมน้ำใจนี้จากท่านเลย”
“หึ! ไมตรีจากขุนนางผู้ตกอับ มันจะมีประโยชน์อะไรกับข้า”
เคานต์ได้หัวเราะเยาะพลางมองกองกำลังของเลห์แมนที่อยู่ไกล ๆ และคิดว่าพวกเขาเป็นขุนนางที่พยายามหลบหนีจากอาณาจักรแห่งแสงซึ่งเขาเห็นอะไรทำนองนี้มาสักพักแล้ว
“มีประโยชน์แน่นอนครับท่านลอร์ด เพราะขุนนางผู้ตกอับคนนี้เป็นนักเวทย์” เมอร์ลินกล่าวพลางวางมือบนหน้าอกและโค้งคำนับเล็กน้อย เขาแสดงท่าทีที่สงบตามปกติ
“นักเวทย์งั้นเหรอ?”
สีหน้าของเคานต์ได้แข็งค้างขึ้นมาทันที เขาได้หรี่ตามองเมอร์ลินและคคิดว่าชายหนุ่มตรงหน้าพูดพล่ามอะไรไร้สาระ เขากำลังจะจึงทหารให้นำเมอร์ลินออกไปให้พ้นหน้าเขา
*ครึ่ก*
เมอร์ลินไม่รอช้า เขาชิงลงมือก่อนที่เคานต์จะออกคำสั่ง เขาได้ชี้นิ้วไปที่มือของเคานต์ ดาบในมือของเขาได้ถูกน้ำแข็งจับเป็นก้องน้ำแข็งในพริบตา
พวกอัศวินโดยรอบต่างแตกตื่นทันที แสงสีเหลืองได้ปรากฏมารอบร่างกายของพวกเขา สิ่งเหล่านี้บ่งบอกว่า พวกเขาคือนักดาบปฐพี
และแสงออร่าที่เข้มข้น มันบ่งบอกว่าพวกเขาเป็นนักดาบธาตุระดับสาม
“ใจเย็นก่อน ผู้บัญชาการเบน นักเวทย์ท่านนี้เขามาดี” เคานต์ได้สั่งหยุดอัศวินของเขา จากนั้นก็หันมามองเมอร์ลินด้วยรอยยิ้มและพูดว่า “ท่านพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่ผู้ซึ่งมาจากอาณาจักรแห่งแสงอันป่าเถื่อนและมืดมิด เรายินดีต้อนรับท่านเข้าสู่ป้อมปราการเรเวนแห่งอาณาจักรแบล็กมูนที่ซึ่งมีนักเวทย์ผู้แสวงหาความรู้มากมาย”
หลังจากนั้นเขาก็หยุดพูดอยู่พักหนึ่งพร้อมกับมองกองกำลังของเลห์แมนที่อยู่ไกล ๆ และพูดว่า “พ่อมดเมอร์ลิน ข้า เบ็คเคนส์ โฟแมน ข้อขอเชิญท่านและครอบครัวของท่านเข้ามาด้านในด้วยความจริงใจ”
“ขอบคุณท่านเคานต์ด้วยครับ!”
เมอร์ลินรู้สึกโล่งที่วิธีการนี้ได้ผล นี่แสดงให้เห็นว่าตันตนของพ่อมดในอาณาจักรแบล็กมูนนั้นสูงส่งขนาดไหน มันน่าจะเทียบเท่าชนชั้นสูงได้
จากนั้นเคานต์โฟแมนได้พยักหน้าเบา ๆ ให้อัศวินโดนรอบเขาได้รับรู้ นั่นจึงทำให้พวกทหารยามไม่กล้าสร้างปัญหากับเมอร์ลินและคนอื่น ๆ อีกต่อไป
หลังจากที่เลห์แมนและอัศวินคนอื่น ๆ ได้ถอดชุดเกราะและอาวุธเสร็จ พวกเขาก็เดินตามหลังจากอัศวินของโฟแมนและเข้าไปในป้อมปราการเรเวนในที่สุด