WS บทที่ 69 อาณาจักรแบล็กมูน PART 2
ป้อมปราการเรเวนเป็นป้อมปราการขนาดใหญ่ตั้งอยู่ในอาณาจักรแบล็กมูน โดยปกติแล้วสถานที่แห่งนี้จะไร้วี่แววของผู้คนแต่เนื่องจากเหตุการณ์ในช่วงที่ผ่านมาทำให้สถานที่แห่งคราคร่ำเต็มไปด้วยผู้คน
คนเหล่านี้เป็นคนที่หลี้ภัยจากอาณาจักรแห่งแสง มีตั้งแต่ประชาชนคนธรรมดา นักธุรกิจและก็พวกขุนนาง
โดยป้อมปราการเรเวนนั้นเป็นทางเข้าเดียวเท่านั้นที่จะผ่านไปยังอาณาจักรแบล็กมูน หากไม่ใช้เส้นทางนี้พวกเขาจะต้องข้ามเทือกเขาที่สูงหลายพันเมตร
ในเทือกเขาแห่งนั้นมีอันตรายหลากหลายรูปแบบ แทบไม่มีใครสามารถข้ามเทือกเขานั้นได้เลย นี่จึงทำให้มันเป็นพรมแดนธรรมชาติระหว่างสองอาณาจักร
แต่อย่างไรก็ตาม การที่จะข้ามไปอาณาจักรแบล็กมูนโดยผ่านป้อมปราการเรเวนก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ทุกคนต้องจ่ายค่าผ่านทางถึงจะได้รับอนุญาตให้ผ่าน ใครที่ไม่มีเงินก็จะถูกไล่กลับไปทันที
“เฮ้! ดูนั่นสิมีกลุ่มอัศวินกลุ่มใหญ่กำลังมาที่นี่ โฮ่! พวกเขาสวมชุดเกราะอย่างดีซะด้วย...ดูเหมือนพวกเขาจะเป็นพวกที่มีเงินนะ ดีมาก! เราจะรีดไถพวกมันเยอะ ๆ ฮ่าๆ”
พวกทหารหลายคนเริ่มสังเกตเห็นขบวนอัศวินจำนวนมากที่กำลังใกล้ ๆ ป้อมปราการเรเวน พวกเขาได้จ้องมองตาเป็นมัน นี่เป็นโอกาสที่พวกเขาจะได้รีดไถพวกคนรวย ในเมื่อพวกเขาอยู่ตรงหน้าและในสถานะที่ได้เปรียบแบบนี้มีหรือที่พวกเขาจะปล่อยให้โอกาสหลุดรอดออกไปได้
เมื่อกองอัศวินเคลื่อนที่มาใกล้ ๆ ป้อมปราการเรเวน จู่ ๆ ชายวัยกลางคนที่นำหน้าขบวนก็ได้สั่งให้พวกอัศวินหยุดเดิน
“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ ท่านพ่อ” เมอร์ลินกระโดดออกมาจากรถม้าและเดินเข้ามาถามเลห์แมน
ภายหลังจากเหตุการณ์ที่กองโจรพายุบุกโจมตีได้สิ้นสุดลง กองอัศวินที่นำโดยเลห์แมนก็ใช้เวลาเดินทางกว่าสามถึงสี่วันกว่าจะมาถึงชายแดนของอาณาจักรแบล็กมูน
เมอร์ลินหันไปมองเบื้องหน้า เขามองเห็นสถานที่แห่งหนึ่ง เขาเดาว่ามันน่าจะเป็นป้อมปราการเรเวน
ตราบใดที่พวกเขาผ่านป้อมปราการนั้นไป พวกเขาก็จะปลอดภัยและไม่ต้องกังวลเรื่องของศาสนจักรอีกต่อไป
เลห์แมนได้ชี้ไปที่ป้อมปราการเรเวนและพูดด้วยเสียงเข้มว่า
“เมอร์ลิน เราจำเป็นต้องถอดชุดเกราะและทิ้งอาวุธของพวกเราเพื่อที่จะเข้าไปในป้อมปราการเรเวนได้ หากทำเราทิ้งอาวุธและชุดเกราะไป พ่อเกรงว่าเราอาจจะตกอยู่สถานการณ์ที่ยากลำบากหากเกิดสิ่งที่ไม่คาดฝันขึ้น”
เมอร์ลินได้มองไปที่ป้อมปราการเรเวน เขาสังเกตเห็นอัศวินหลายนายกำลังถอดชุดเกราะและมอยอาวุธ ก่อนที่จะเข้าไปข้างใน
เขาพอจะเข้าใจว่าทำไมพวกเขาถึงทำอย่างนี้ คงไม่มีผู้ปกครองของอาณาจักรไหนอยากให้กองกำลังติดอาวุธที่ไหนไม่รู้เข้ามาข้างในดินแดนของตัวเอง
“ดูเหมือนเราจะไม่มีทางเลือกอื่นนะท่านพ่อ เราคงต้องยอมพวกเขาไปก่อน ไว้ค่อยหาทางแก้ไขหลังจากที่พวกเราเข้าไปแล้ว” เมอร์ลินได้เสนอความคิดเห็น พวกเขาจำเป็นต้องอดทนเพื่อสิ่งที่ดีกว่า
“อืม เข้าใจแล้ว งั้นเมอร์ลิน บารอนเพอร์แมน พวกเราสามคนลองนำหน้าไปหาข้อมูลก่อนล่ะกัน”
จากนั้นเลห์แมนก็สั่งการแพรต์ดูแลกองอัศวินแทนเขาแล้วมุ่งหน้าไปที่ป้อมปราการเรเวนพร้อมกับเมอร์ลินและบารอนเพอร์แมน
เมื่อทหารยามพวกเมอร์ลินกับคนอื่น ๆ เดินทางเข้ามาใกล้ ๆ พวกเขาก็กรูออกมาและประกาศด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า
“ลงจากหลังม้าและทิ้งมันไว้ที่นี่ ถอดชุดเกราะและทิ้งอาวุธไปแล้วจ่ายคนละสิบเหรียญทองสำหรับค่าเข้า!!”
สีหน้าของเลห์แมนกับบารอนเพอร์แมนซีดลงทันที สำหรับเรื่องค่าใช้จ่ายมันไม่เป็นปัญหาสำหรับพวกเขาแต่การทิ้งชุดเกราะและอาวุธไป โดยเฉพาะม้า มันมากเกินไปสำหรับพวกเขา
‘ถ้าไม่มีม้าแล้ว รถม้าจะเคลื่อนที่ได้อย่างไร จะปล่อยให้ผู้หญิงเดินทางด้วยเท้างั้นหรือ?
นอกจากนี้ ยังส่งผลต่อการเคลื่อนกำลังพลของกองอัศวินด้วย มันจะยิ่งทำให้เวลาเดินทางเพิ่มมากขึ้นและจะมีปัญหายุ่งยากมากมายตามมา’ เมอร์ลินได้เลิกคิ้วขึ้นมา
“แม้แต่ม้าก็ด้วยเหรอ? แล้วทำไมอัศวินก่อนหน้านี้ถือไม่ทิ้งม้าไว้ล่ะ” บารอนเพอร์แมนพยายามกดความโกรธและถามด้วยเสียงต่ำ
ทหารยามได้มองบารอนเพอร์แมนด้วยหางตาและหัวเราะเยาะ “นั่นเพราะเขามาคนเดียว แล้วอีกอย่างเขาเป็นนักดาบธาตุเขาจึงได้รับอนุญาตให้เอาม้าไปด้วยได้”
“งั้นแสดงว่านักดาบธาตุสามารถเก็บม้าไว้กับตัวได้ใช่มั้ย” เมอร์ลินถาม
ทหารยามได้เปลี่ยนความสนใจมาที่เมอร์ลินและพยักหน้า “ถูกต้องแล้ว ไม่เพียงแต่นักดาบธาตุเท่านั้นที่สามารถรักษาม้าเอาไว้ได้ พวกเขายังสามารถนำชุดเกราะกับอาวุธเข้าไปในป้อมปราการเรเวนได้อีกด้วย”
เมอร์ลินกับเลห์แมนได้สบตากันและพยักหน้าเล็กน้อย
ดูเหมือนทางอาณาจักรแบล็กมูนก็ต้องการให้พวกนักดาบธาตุเข้ามาในอาณาจักร เพราะในท้ายที่สุดแล้วอาณาจักรแบล็กมูนก็ยังเป็นศัตรูกับอาณาจักรแห่งแสงอยู่ดีไม่ว่าเปลี่ยนผู้ปกครองไปแล้วก็ตาม
หากพวกเขาสามารถดึงดูดนักดาบธาตุให้มากขึ้น มันจะเป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งไว้พิฆาตอาณาจักรแห่งแสง
แต่ช่างน่าเสียดาย ถึงแม้ว่าเลห์แมนและคนอื่น ๆ จะได้รับอนุญาตให้เขาได้แบบไม่มีเงื่อนไขแต่ไม่ใช่กับอัศวินบางคนที่ไม่ได้เป็นนักดาบธาตุ
“เราสามารถทิ้งชุดเกราะและอาวุธได้ ส่วนเรื่องเหรียญทองก็ไม่มีปัญหาแต่ทางเราขอเก็บม้าไว้ได้หรือไม่ เรามีกองอัศวินจำนวนมาก หากเราทิ้งพวกม้าไป เราเกรงว่าพวกเราจะได้รับความลำบากตอนที่ออกจากป้อมปราการเรเวนไป”
เมอร์ลินพยายามต่อรองกับทหารยามอย่างใจเย็น
ทหารยามได้มองไปที่กองอัศวินที่อยู่ไกล ๆ และมุมปากของเขาได้ยกขึ้นมา
“ก็ได้ ๆ พวกคุณสามารถนำม้าไปได้แต่ต้องจ่ายค่าผ่านทางเพิ่มขึ้นเป็นเป็น 60เหรียญทองต่อคน”
“อะไรนะ 60เหรียญทอง!!” เลห์แมนตะโกนออกมา สีหน้าของเขาเปลี่ยนทันที ในขณะเดียวออร่าสีแดงได้เริ่มส่องประกายรอบตัวเขา
หากพวกเขายอมรับข้อตกลง พวกเขาจะต้องจ่ายค่าผ่านทางถึง 120,000เหรียญทอง แม้ว่าตระกูลวิลสันกับตระกูลเพอร์แมนจะเป็นตระกูลร่ำรวยแต่นี่มันมากเกินไป
“พวกคุณคิดจะทำอะไรน่ะ!”
ด้วยร่างกายที่ใหญ่โตของเลห์แมนก็น่ากลัวเป็นทุนเดินอยู่แล้ว แล้วยิ่งเขาปลดปล่อยออร่าออกมา มันทำให้ทหารยามแสดงท่าทีตื่นกลัวทันที
ด้วยเหตุนี้ทำให้บนกำแพงป้อมปราการเรเวนได้มีทหารยามโผล่ขึ้นมาเต็มด้านบนกำแพงพร้อมกับเล็งหน้าไม้ไปที่เลห์แมน เมอร์ลินและคนอื่น ๆ ทำให้บรรยากาศตึงเครียดขึ้นมาทันที
เมอร์ลินเงยหน้าขึ้นมาเหล่าทหารบนกำแพง เขารู้สึกอับจนหนทางเล็กน้อย ถึงแม้เลห์แมนจะบอกเขาก่อนหน้านี้ว่า นักเวทย์ที่ทรงพลัง พวกเขาสามารถทำลายป้องปราการได้เพียงลำพัง แต่ทว่าเมอร์ลินยังไม่ได้ครอบพลังดังกล่าวในตอนนี้ นอกจากนี้เขายังไม่สามารถรับมือลูกศรจำนวนมากที่ยิงมาจากท้องฟ้าได้