ตอนที่ 4
*ก่อนจะอ่านนิยาย โปรดตรวจสอบว่าท่านได้อยู่ในสถานที่ที่มีแสงเพียงพอ หรือถ้าท่านอ่านในความมืดก็อย่าลืมเปิด Night Mode หรือจอส้ม เพื่อป้องกันการปวดหัวและสายตาสั้นด้วยนะครับ*
--------------------------------------------------------------------------------------------
แท็กซี่คนหนึ่งกำลังขับอยู่บนสะพานชุนโฮ.
ชาเยจินั่งมองโดจุนที่นั่งอยู่ข้างๆเธอ.
โดจุนกำลังพึมพำอะไรซักอย่างขณะมองดูกองเอกสาร.
เธอกำลังพยายามเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อ20นาทีก่อนอยู่
******
“หา? นายไม่ต้องฝืนหรอก คุณโดจุน”
ควอนฮยุกซูยิ้มให้.
ตะกี้นี้โดจุนยังหาโต๊ะทำงานตัวเองไม่เจอเลย จะไปจัดการงานแบบนี้ได้ยังไงกัน.
ยิ่งกว่านั้นใครมันจะบ้าส่งคนที่เพิ่งประสบอุบัติเหตุร้ายแรงเมื่อวานเข้าริฟต์ได้กันเล่า ต่อให้เป็นริฟต์คลาส-F ก็เถอะ.
“ชะ-ใช่ๆ โดจุน. คิดซะว่าค่อยๆเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้นแล้วกันนะ. อีกอย่างฮันเตอร์คนนั้นก็เพิ่งได้รับคำสั่งมาให้ย้ายไปทำงานกับพี่ฮยุกซูที่ศาลากลาง”
โดจุนมองไปรอบๆ.
พนักงานในแผนกนี้ทุกคนรวมถึงหัวหน้าต่างพากันมองมาหาเขา.
บางคนหันไปกระซิบกันแล้วแกล้งทำงานบังหน้าขณะแอบฟัง.
“ผมเข้าใจครับว่าพี่อาจจะคิดว่าผมไม่น่าไว้ใจ. คนเราจะคิดแบบนั้นมันก็เป็นเรื่องปกติแต่ครั้งนี้ช่วยเชื่อในตัวผมเถอะนะครับ”
“.....”
“ขอให้ผมกลับมาเป็นส่วนหนึ่งของทีมอีกครั้งเถอะนะครับ”
พอเขาพูดคำนั้นเสร็จ
ควอนฮยุกซูที่เงียบมาตลอดก็ยิ้มให้.
จากนั้นเขาก็เดินไปทางตู้แล้วหยิบเอกสารออกมาแล้วยื่นให้โดจุน.
<ปฏิบัติการสำรวจริฟต์>
“เห้ย! ควอนฮยุกซู! ทำอะไรน่ะ?”
“หัวหน้าครับ….เขาเองก็เป็นส่วนหนึ่งในทีม จริงมั้ยครับ?”
“อะ-เออ ก็ใช่”
“ผมเข้าใจนะครับว่าพี่เป็นห่วง, ในฐานะหัวหน้าของแผนกนี้พี่ต้องรับผิดชอบหลายอย่างมาก. แถมเราทุกคนก็ทำงานกันตาแตกเวลามีเรื่องด่วนหรืออุบัติเหตุเกิดขึ้นด้วย. แต่ผมว่านะ, เรามาคุยกันตรงๆเลยดีกว่า….”
ควอนฮยุกซูมองหน้าทุกๆคน.
“มีใครบ้างที่คิดว่าโดจุนเป็นสมาชิกของทีมจริงๆน่ะ?”
ทุกๆคนเลี่ยงสายตาเขาหมด.
คังชึลซูเริ่มหน้าแดงขึ้นแล้วขึ้นเสียง.
“เห้ย….แก! หงะ-แหงสิ! เขาเด็กสุดในทีมเราเลยนะ!”
“ตอนคุณโดจุนบาดเจ็บหนักน่ะ! ตอนที่เขาไม่ได้สติน่ะ…..เคยมีคนพูดตอนกินข้าวกลางวันไม่ใช่เหรอว่าเราน่าจะจ้างพนักงานใหม่มาแทนซะ? ตอนนั้นมีใครโกรธแทนบ้างมั้ย? ทุกๆคนก็เห็นด้วยในใจหมดเลยไม่ใช่เหรอ?”
คำพูดของควอนฮยุกซูทำให้บรรยากาศรอบๆหม่นลง.
จากนั้นพนักงานหญิงคนหนึ่งก็ลุกขึ้นมาตะโกน.
“ไม่ใช่นะคะ คุณฮยุกซู. พูดแบบนั้นออกมาได้ยังไง? เราคิดอะไรแบบนั้นตอนไหน…?”
“พูดมาตรงๆเลยดีกว่า! เรา…”
ควอนฮยุกซูขึ้นเสียงจนแผนกอื่นๆได้ยินหมด. พวกพนักงานแผนกอื่นลุกจากเก้าอี้ขึ้นมามองด้วยความสงสัย.
“ตอนที่คุณโดจุนเข้ามาใหม่ๆน่ะ พูดตรงๆเลยว่าผมรำคาญเขามากๆ. ผมคิดว่าเขาเป็นภาระ. ทำไมคนแบบนี้ถึงเข้ามาทำงานที่นี่ได้? ผมเกลียดแผนกบุคคลก็เพราะแบบนั้น! เวลาจะคุยโทรศัพท์ผมก็ต้องมานั่งสอนเขานู่นนี่จนฟังโทรศัพท์ไม่รู้เรื่อง! เขาดูไม่พยายามเลยด้วยซ้ำและพอเพื่อนๆคนอื่นๆทำงานอยู่ หมอนี่ดันกลับบ้านเวลา6โมงตรงเป๊ะอีก!”
ไหล่ของควอนฮยุกซูสั่นไปมาขณะที่เขากล่าว.
จากนั้นเขาก็เสยผมแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆก่อนจะด่าต่อ.
“จนกระทั่งตอนนี้ผมก็ยังเกลียดเขาอยู่. เพราะเขาดูไม่เปิดใจเลยแต่มันกำลังจะไปเลี่ยนไปแล้ว. ตอนนี้เขาพยายามสุดตัว ถ้าพวกเรายังทำกับเขาแบบเดิมอยู่อย่างงี้มันก็จะเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆนั่นแหละ”
โดจุนรับเอกสารจากควอนฮยุกซูมาแล้วถือไว้ในมือ.
“โดจุนรับหน้าที่แทนผมแล้ว. หัวหน้า,ไม่สิ,ทุกคน. ผมจะรับผิดชอบทั้งหมดเอง. เพราะฉะนั้นขอแค่ครั้งเดียว….ช่วยเชื่อใจเราสองคนซักครั้งเถอะครับ”
ควอนฮยุกซูก้มหัวลง.
ต่อก ต่อก.
โดจุนเดินมาข้างๆควอนฮยุกซูแล้วก้มหัว90องศาด้วยอีกคน.
พอเห็นแบบนี้คังชึลซูจึงหัวเราะออกมา.
“ไปสิ ลีโดจุน”
ผ่านไปหลังจากนั้น
โดจุนก็ไปที่ศาลากลางพร้อมกับชาเยจิแล้วก็ออกออฟฟิศไป.
“นี่ควอนฮยุกซู!”
พอได้ยินเสียงเรียกของคังชึลซู ควอนฮยุกซูก็รีบโดดออกจากเก้าอี้แล้ววิ่งไปหาเขา.
“ครับหัวหน้า”
“เจ้าบ้าเอ๊ย! นายก็รู้นี่ว่าตอนนั้นชั้นพูดไปก็เพื่อตัวนายทั้งนั้น. คุณซูยอนรู้สึกเสียใจให้นายเลยนะ”
“...ขอโทษครับ”
“มันผ่านไปแล้ว. จะมาร้องทีหลังก็ไม่มีประโยชน์หรอก. มารอดูกันว่าสิ่งที่เราหวังไว้จะดีขึ้นหรือเปล่า”
****
ฟุ่บ.
โดจุนปิดเอกสารแล้วเอามันเก็บไว้ในกระเป๋า.
หลังจากอ่านผ่าน5รอบแล้ว เขาก็เข้าใจงานของตัวเองอย่างรวดเร็ว. หน้าที่หลักของเขาคือเก็บรวบรวมข้อมูลในริฟต์.
ตามเดิมแล้วนั้นงานนี้ทางสมาคมฮันเตอร์จะต้องเป็นคนจัดการเองแต่ทางรัฐบาลได้สอดแทรกเข้ามาทำเองเพราะมีปัญหาด้านการฉ้อโกงรวมไปถึงการปลอมแปลงเอกสารข้อพิพาทเรื่องผลประโยชน์ระหว่างกิลด์ใหญ่ๆทั้งหลาย.
“จะว่าไปแล้ว เรายังไม่ได้แนะนำตัวกันอย่างเป็นทางการเลยนะครับ. ผมชื่อลีโดจุนครับ”
“ชะ-ชั้นชื่อชาเยจิค่ะ! อายุ21ปี”
“ขอโทษเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ด้วยนะครับ.
“อ๋อ.ไม่ค่ะ ไม่เป็นไร!”
สายตาของโดจุนเหลือบไปมองกระเป๋าชุดสูทตรงเท้าของชาเยจิ.
“นั่นอะไรหรอครับ?”
“อ๋อนี่หรอคะ? มันคือ <กระเป๋าสูท> ค่ะ. เกราะกับอาวุธของชั้นอยู่ในนั้น. มันเป็นไอเท็มที่ต้องมีเวลาสู้กับมอนส์เตอร์น่ะค่ะ”
เอี๊ยด
แล้วแท็กซี่ก็มาถึงจุดหมาย.
เป็นสวนสาธารณะแปลกตาในย่านมยองอิล เขตกังดง.
นี่คือที่ที่ริฟต์คลาส - F โผล่ออกมา.
ซุบซิบ ซุบซิบ.
มีคนกลุ่มใหญ่อยู่แถวนั้น.
พนักงานจากสมาคมฮันเตอร์หนึ่งคน, ทหารและตำรวจกำลังควบคุมคนกลุ่มนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้ชาวเมืองทั่วไปเผลอเข้าริฟต์.
ตุ่บ.
ชาเยจิวาง <กระเป๋าสูท> ของเธอลงกับพื้นแล้วหยิบของด้านในออกมา.
ข้างในนั้นมีดาบอยู่เล่มหนึ่งกับลูกแก้วเล็กๆหนึ่งลูก.
ชาเยจิหยิบลูกแก้วออกมาแล้วเอาไปทาบไว้ที่หน้าอกเธฮ.
จากนั้นสูทที่ถูกเก็บไว้ในลูกแก้วก็โผล่ออกมาหุ้มทั่วร่างเธอ.
มันเป็นชุดแนบเนื้อทั้งตัวที่ดูเหมือนซิลิโคน สีขาว.
มันเป็นชุดสูทที่เหล่าฮันเตอร์ใช้ต่อสู้.
“ว้าวว”
โดจุนร้องออกมาเพราะของแปลกตานั่น.
ชุดแบบนั้นออกมาจากลูกแก้วเล็กๆได้ไงกันน่ะ?
“แหะแหะ. คุณไม่เคยเห็นของแบบนี้มาก่อนหรอคะ?”
“ใช่ครับ สุดยอดเลยนะ”
“มันเป็นชุดสูทระดับต่ำสุดที่หาได้จากโรงงานน่ะค่ะแต่ราคาก็ตั้ง3ล้านวอนเชียวนะ. แพงโคตรเลยใช่มั้ยล่ะคะ?”
“ครับ. แล้วดาบคุณล่ะครับ?”
“นี่คือดาบคลาส-D จากนักรบโครงกระดูก. อันนี้ไม่ค่อยแพงค่ะน่าจะประมาณ 250,000วอน? มีเรื่องเล่าว่านักรบโครงกระดูกใช้กระดูกของตัวมันเองทำดาบนี่. มันค่อนข้างคมและมีพลังแทงที่ดีเลยล่ะค่ะ.
โดจุนพยักหน้า.
แต่พูดตรงๆแล้ว เขาไม่ค่อยสนใจมันมากนักหรอก.
ไม่ว่าสูทเธอจะแพงขนาดไหนหรือใช้ดาบอะไรก็ช่าง.
เธอก็เป็นแค่ฮันเตอร์ที่จ้างมาให้โดจุนเท่านั้น.
ไม่มากหรือน้อยไปกว่านั้น.
“เอาล่ะไปกันเถอะครับ”
“โอเคค่ะ. โอ๊ะ แล้วจะให้ชั้นเรียกคุณว่าอะไรดีคะ?”
“ตามใจเลยครับ ผมไม่ว่า”
โดจุนหยิบบัตรเจ้าหน้าที่ของตัวเองออกมาแล้วเดินไปหาเจ้าหน้าที่ที่ควบคุมประตูอยู่.
ชาเยจิที่วิ่งตามโดจุนมานั้นกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า.
“งั้นชั้นขอเรียกคุณว่าผู้จัดการนะคะ เพราะคุณจัดการเรื่องริฟต์นี่นา”
“อืมม ไม่ว่าครับ”
พนักงานจากแผนกควบคุมฮันเตอร์ดูบัตรของโดจุนแล้วเอานิ้วโป้งของเขาไปทาบกับเครื่องสแกนนิ้วมือ.
[แผนกควบคุมริฟต์, เจ้าหน้าที่ลีโดจุน. ยืนยัน]
“เชิญเข้าได้เลยครับ”
พนักงานคนนั้นยิ้มให้แล้วยื่นมือไปทางริฟต์.
ชาเยจิกลืนน้ำลายขณะที่มองไปทางริฟต์ที่ดูสูงประมาณ10เมตรจากพื้น.
มันอาจจะเป็นคลาส-F แต่ถึงอย่างงั้นนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เธอเข้าริฟต์ด้วยตัวคนเดียว.
แน่นอนว่าพวกเขามากันสองคนรวมโดจุนด้วยแต่เธอไม่นับเพราะเธอคิดว่าเขาเป็นแค่คนธรรมดา.
และในตอนนั้นเอง…
“เอ้า เอ้า เอ้า ดูซิใครเนี่ย”
มีเสียงทุ้มของชายคนหนึ่งดังมาจากด้านหลัง.
ชาเยจิไหล่กระตุกหน่อยๆตอนที่ได้ยิน.
มันเป็นเสียงของคนที่เธอไม่อยากจะเจอเลย.
พอเธอหันกลับมาก็เห็นชายคนหนึ่งเดินมาพร้อมกับเพื่อนของเขา.
ชาเยจิก้มหัวให้.
“ไม่เจอกันนานเลย เนอะ? ชั้นนึกว่าเธอจะยอมแพ้เรื่องเป็นฮันเตอร์แล้วซะอีก. แต่สงสัยชั้นจะเข้าใจผิดไป?”
ชายคนนั้นใส่ชุดสูทที่มีทองระยิบระยับและใส่แว่นกันแดดอยู่ เขามายืนต่อหน้าชาเยจิแล้วยิ้มให้ จากนั้นก็เขาก็เอียงหัวตอนที่เห็นโดจุนยืนอยู่ข้างชาเยจิ.
“เธอได้เข้ากิลดิ์แล้วงั้นเหรอ?”
“คะ-ค่ะ”
“โอ๋? ยังมีที่ที่รับเธอเข้าอยู่ด้วยงั้นหรอ? เธอใช้มานาไม่ได้ด้วยซ้ำ”
ชายคนนั้นมองโดจุนตั้งแต่หัวจรดเท้า.
โดจุนมองชาเยจิแล้วพูดว่า.
“คุณรู้จักเขาหรอครับ?”
“...ค่ะ. พวกเรามาจากสถาบันเดียวกัน...แล้วก็ได้มาเป็นฮันเตอร์พร้อมกันค่ะ…”
ขณะเธอพูดอยู่นั้น ชายคนนั้นก็เห็นบัตรเจ้าหน้าที่ของโดจุนที่ห้อยคอเขาอยู่.
จากนั้นเขาก็หัวเราะก๊ากออกมา.
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! ตอนนี้เธอเป็นฮันเตอร์รับจ้างงั้นหรอ? แหมชั้นกะแล้วว่าคงไม่มีกิลด์ไหนยอมรับเธอหรอก. เหอะ. ถ้าเธอมาอยู่ที่นี่ก็แปลว่าเธอคงเป็นฮันเตอร์คลาส-F สินะ. ไม่สิ, เธอไม่มีมานานี่ เธอต้องเป็นคลาส-Fแหงๆ.”
“....”
โดจุนเห็นขาของชาเยจิเริ่มสั่น.
แต่ถึงอย่างนั้นเรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขาหนิ.
เขาไม่รู้ซักหน่อยว่าแต่ก่อนสองคนนี้เป็นยังไง หรือต่อให้รู้ โดจุนกับชาเยจิก็เป็นแค่นายจ้างกับลูกจ้าง. ไม่มีเหตุผลจะให้เขาออกหน้าช่วยเธอหนิ….
“พอแล้วมั้งครับ. มันดูไม่ดีนะ”
แต่โดจุนก็ว่าชายคนนั้นออกไป.
เขาขมวดคิ้วขึ้นแล้วจับคอเสื้อโดจุน.
เขาเป็นฮันเตอร์คลาส-D ส่วนศัตรูคนนี้อย่างมากก็เป็นแค่ข้าราชการ.
ไม่เห็นมีอะไรจะต้องกลัวเลย.
“แล้วแกจะทำไม ห้ะ?”
“ผะ-ผู้จัดการ!”
ชาเยจิตากว้างขึ้นแล้วรีบวิ่งเข้าไปหาเพื่อนเก่าเธอ.
- ถ้าแกไม่ปล่อยมือภายใน3วินาที ชั้นจะไม่ยกโทษให้แกแน่.
<คุมเสียง>
ชายคนนั้นสะดุ้งเพราะได้ยินเสียงจากในหัว.
แล้วพอพวกเขาสบตากันเขาก็รีบถอยกลับทันที.
ติ๋ง.
แล้วเขาก็ฉี่รดตัวเอง.
โดจุนปัดเสื้อของเขาแล้วจัดเน็คไทให้เข้าที่.
จากนั้นเขาก็เดินไปหาชายที่นั่งทรุดอยู่กับพื้นแล้วยื่นมือออกไป.
“จู่ๆเป็นอะไรไปน่ะครับ? ลุกขึ้นไหวมั้ย?”
สำหรับคนอื่นๆมันอาจจะเป็นภาพที่น่าประทับใจ. แต่ในสายตาของชายคนนั้นโดจุนเป็นเหมือนกับจอมปีศาจในร่างมนุษย์ที่ไม่สามารถเข้าใจได้เลย.
พอพวกเขาสบตากันอีกครั้ง…
ติ๋ง.
เขาฉี่รดตัวเองอีกครั้ง.
โดจุนยิ้มให้กับภาพน่าสมเพศนั่นแล้วหันกลับไปหาชาเยจิ.
“เราเสียเวลามากแล้วนะครับรีบเข้าไปกันเถอะ”
ชาเยจิมองชายที่นั่งทรุดอยู่กับพื้นแล้วตามโดจุนเข้าไปในริฟต์.
***
“เห้ย! เป็นอะไรวะ!”
“นาฮันจุง ไปกินอะไรผิดมารึป่าว?”
เพื่อนจากกิลด์ของชายคนนั้น, นาฮันจุง, พากันดูงงๆ.
“...ปีศาจ.”
“ห้ะ?”
“ไอ้, ไอ้บ้านั่น! มันเป็นปีศาจ! ใครจะไปกล้าสบตามันวะ….?”
นาฮันจุงคิดว่า,
ถ้าเมื่อกี้เขาถอยมาช้าแม้แต่วิเดียวล่ะก็,
เขาคงตายแน่ๆ.