Ep.905 - แบ่งเค้ก
2/5
Ep.905 - แบ่งเค้ก
คราวก่อนฉินเฟิงถูกเหอเทียนสิงบีบให้ต้องจากมา ประจวบกับเขาต้องไปร่วมงานประลองลูกรักของพระเจ้าที่เมืองหลวงมังกร ทำให้เรื่องราวในมิติธารโลหิตต้องล่าช้าออกไป ถูกปล่อยทิ้งไว้เป็นเวลานานกว่าสองเดือน กระทั่งไป๋หลีก็ไม่ได้ไปเฝ้ารักษาการที่นั่น แต่ด้วยเทคโนโลยีจักรกลที่ทรงประสิทธิภาพ กลุ่มเฟิงหลีย่อมไม่ถูกกลั่นแกล้ง หรือขับไล่ออกมาอีก
แน่นอน เหตุผลที่สำคัญที่สุด ก็คือเหอเทียนสิงไม่ได้อยู่ที่นั่นอีกต่อไป!
“ทำไมจู่ๆคลิฟส์ถึงยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดกันนะ?”
ในฐานะผู้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากมิติธารโลหิต หากคลิฟส์ยึดครองมิติธารโลหิตแบแบนี้ต่อไปเรื่อยๆ อีกฝ่ายจะสามารถยกระดับขึ้นเป็นเลเวล S ได้
เห็นๆกันอยู่ว่ามิติแห่งนี้สำคัญต่อเขาขนาดไหน ยิ่งเป็นเรื่องหยิบฉวยผลประโยชน์ คลิฟส์ไม่เป็นสองรองใคร แล้วทำไมจู่ๆถึงใจดีคิดใช้สันติวิธี?
แต่จะยังไงก็ช่าง เพราะฉินเฟิงกวาดสมบัติไปเยอะแล้วในช่วงแรก แม้สุดท้ายถูกขับไล่ออกมา ดังนั้นเมื่อซูซิงฝูเอ่ยเตือนเขา ฉินเฟิงก็ตัดสินใจว่าจะไป
ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ว่า ด้วยสถานะของเขาในตอนนี้ ไม่ควรเข้าร่วมงานสวนล่าใบไม้ผลิของพวกเด็กๆอีก ประจวบกับตามความทรงจำของเขา ในเร็วๆนี้ยังไม่มีเหตุการณ์สำคัญใดๆเกิดขึ้น
“งั้นผมจะลองแวะไปดูแล้วกัน” ฉินเฟิงกล่าว
หลังจากนั้น ฉินเฟิงร่วมเดินทางไปกับกองทัพกลุ่มเฟิงหลี มุ่งหน้าสู่มิติธารโลหิต
คลิฟส์เชื้อเชิญทุกคนไปยังฐานที่เขาสร้างขึ้น ที่นี่เต็มไปด้วยป้อมปราการเสริมเหล็กที่ทำจากดิน กลายเป็นตึกรามที่ยอดเยี่ยมที่สุดในตอนนี้
ยังไงก็ตาม ไม่ได้มีเลเวล S มาเข้าร่วมประชุมที่นี่ คลิฟส์ออกปากเชิญเฉพาะผู้ใช้พลังเลเวล A แม้มิติธารโลหิตจะเต็มไปด้วยสมบัติล้ำค่าดั่งทองคำ แต่เลเวล S ไม่มีความคิดประจำการอยู่เป็นเวลานาน เพียงทิ้งลูกน้องเลเวล A ไว้เบื้องหลัง
ฉินเฟิงมาถึงหน้าทางเข้า พบว่ายามเฝ้าประตูเป็นถึงผู้ใช้พลังเลเวล B วันนี้มีคนเข้าๆออกๆที่นี่เยอะมากๆ แต่สังเกตได้ชัดว่าเลเวล B ลงไปไม่มีสิทธิ์เข้ามาที่นี่ ฉินเฟิงสามารถยกระดับขึ้นเป็นเลเวล A ได้แล้ว บวกกับตราบนอกเขา ทำให้ช่วยประหยัดเวลาอธิบายได้มากโข
เมื่อถึงเวลาเที่ยงตรง ผู้ใช้พลังเลเวล A ทั้งหมดก็มารวมตัวกัน
“ปิดประตูได้!” คลิฟส์สั่งการ
ผู้ใช้พลังระดับสูงมักจะไม่ทำอะไรตามอำเภอใจเพียงเพราะพวกเขามีความแข็งแกร่งกว่าคนอื่นๆ ตรงกันข้าม พวกเขารักษาเวลาเป็นอย่างมาก ส่วนหนึ่งเพราะเวลาของตัวเองมีค่าเช่นกัน
คนที่คลิฟส์เชิญมา เมื่อถึงเวลานัดหมาย ทั้งหมดได้มาอยู่ที่นี่แล้ว แน่นอนว่าคนที่ไม่ได้รับเชิญ ก็มาอยู่ที่นี่เช่นกัน
คลิฟส์ยืนอยู่บนเวที อ้าปากป่าวประกาศ “ครั้งนี้ที่ฉันเชิญทุกท่านมา ฉันเชื่อว่าทุกท่านคงรู้อยู่แล้วว่าฉันต้องการจะบอกอะไร ยังมีสถานที่อีกหลายจุดในมิติธารโลหิตที่ยังตกสำรวจ ไม่มีใครเป็นเจ้าของ แต่พวกเราในที่นี้ กลับเข่นฆ่าแย่งชิงอาณาเขตกันเอง ถ้าอีกฝ่ายเป็นกองกำลังมืดก็คงไม่เป็นไร แต่เมื่อเร็วๆนี้ ฉันพบว่าหลายคนในกลุ่มพันธมิตรมนุษย์ เริ่มต่อสู้เข่นฆ่ากันเอง นี่มันจะเลวร้ายเกินไปแล้ว!”
คลิฟส์บนเวทีกล่าวด้วยอย่างชอบธรรมว่า “เรื่องแบบนี้ไม่ควรเกิดขึ้น พวกเราควรแข่งขันกันอย่างสันติ ได้รับผลประโยชน์อย่างยุติธรรม ไม่ต้องพูดถึงพวกเราทั้งหมดที่นี่ ต่างมีเจ้านายเป็นผู้ใช้พลังเลเวล S ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลที่เราไม่ควรทะเลาะกันจนเลยเถิด”
คำพูดของคลิฟส์ ทำให้สีหน้าของผู้คนด้านล่างเวทีเปลี่ยนไป หากประโยคเมื่อครู่เอ่ยเพียงท่อนแรก พวกเขาคงหัวเราะเยาะ แต่ประโยคท่อนหลังของคลิฟส์ ได้เอ่ยยกตัวตนทรงอำนาจเลเวล S ขึ้นมา เรื่องนี้บังคับให้คนอื่นๆต้องให้ความสำคัญกับมัน
หากมีตัวตนทรงอำนาจเลเวล S เข้ามาเกี่ยวข้อง เห็นได้ชัดว่าคิดทำอะไร พวกเขาต้องวางแผนให้ดี
“คลิฟส์ นายตั้งใจจะทำอะไรกันแน่”
“นั่นสิ ไม่จำเป็นต้องมาแสร้งทำตัวเป็นคนดีที่นี่ นายคิดอะไร ก็พูดออกมาตรงๆเลย!”
“ถ้ามันสมเหตุสมผล พวกเราจะเห็นด้วยเอง!”
ฝูงชนตะโกนไม่หยุด
คลิฟส์ไม่มีความคิดจะปกปิด หน้าจอยักษ์ถูกฉายขึ้น ในไม่ช้า แผนที่รอบๆสมรภูมิธารโลหิต ห่างไกลออกไปนับพันนับหมื่นกิโลเมตรที่ได้รับการสำรวจคร่าวๆ ถูกปล่อยออกมา
ฝูงชนในปัจจุบันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่คิดว่าคลิฟส์จะครอบครองแผนที่ที่มีรายละเอียดถึงขนาดนี้ แต่นั่นก็สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจน ถึงความทะเยอทะยานของคลิฟส์
“ปัจจุบัน พวกเราในที่นี้ และทุกคนล้วนต้องการเป็นผู้ได้รับส่วนแบ่งจากมิติธารโลหิต แผนที่นี้ ต่อไปจะถูกใช้เป็นแผนที่สาธารณะ มันจะถูกมอบให้กับผู้ใช้พลังทุกคนที่เข้าสู่มิติธารโลหิต ยกเว้นเลเวล S”
“และอีกเรื่อง ในวันนี้ พวกเราจะแบ่งอาณาเขตของตนบนแผนที่ และลงนามทำสัญญาร่วมกัน ใครก็ตามที่ผิดสัญญา จะถูกคนอื่นๆร่วมกันขับไล่!”
“แน่นอน สำหรับคนที่ต้องการเข้าร่วมในภายหลัง ถ้าต้องการเข้ามาครอบครองอาณาเขตใดอาณาเขตหนึ่ง ก็ต้องไม่ไปเหยียบอาณาเขตของคนอื่น ถ้าเรื่องนี้ทำไม่ได้ ข้อตกลงของพวกเราคงยากจะควบคุม”
ทุกคนที่มาร่วมประชุมไม่ใช่คนโง่ อีกอย่างในกลุ่มใหญ่ก็มักเจอเรื่องราวประมาณนี้อยู่แล้ว มันเรียกว่าการตัดแบ่งเค้ก
ปัจจุบัน มีผู้คนในที่นี้มากกว่า 100 คน แม้หลังจากแบ่งเค้กอาจได้พื้นที่ไม่มาก แต่หลังจากวันนี้ไป หากมีคนคิดก้าวเข้าหาตัดหน้าเค้กเพิ่มอีก คนกลุ่มนั้นจะไม่มีทางได้รับเค้กในส่วนที่พวกเขาครอบครอง ต้องไปหาที่ปักหลักในตำแหน่งอื่น สร้างเค้กขึ้นมาเอง แล้วทานเอง
และแน่นอน ว่าหากคิดทำเอง ย่อมไม่ดีเท่าเค้กที่คนอื่นทำไว้ล่วงหน้า
ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ว่า ในมิติธารโลหิต ไม่ใช่ทุกที่จะลงหลักปักฐานได้ มีแนวโน้มเป็นไปได้สูง ว่าอาจเกิดมิติทับซ้อนได้ตลอดเวลา
คนอื่นๆเมื่อเห็นแผนที่ของคลิฟส์ ต่างพากันพยักหน้า ดูเหมือนส่วนใหญ่เห็นด้วยกับแนวทางนี้
แต่ก็ยังมีบางคนตั้งข้อสงสัย
“คลิฟส์ ถึงวิธีของนายมันจะดูโบราณไปบ้าง แต่ก็ยังพอรับได้ ยังไงก็ตาม พวกเราจะใช้วิธีไหนจัดแบ่งอาณาเขตกัน?”
คลิฟส์เมื่อได้ยินใครบางคนเอ่ยถาม ในหัวใจก็ร่ำร้องว่าโอกาสดีกำลังมาถึงแล้ว
“ง่ายๆ แค่จัดสรรพื้นที่กันตามกำลังรบของพวกคุณ การที่สามารถเข้ามาในมิติธารโลหิตได้ หมายความว่าทั้งหมดเป็นกลุ่มใหญ่ สำหรับผู้ใช้พลังเลเวล A หนึ่งคนจะได้รับพื้นที่ 100 กิโลเมตร
สำหรับผู้ใช้พลังเลเวล S หนึ่งคนจะได้รับพื้นที่ 1,000 กิโลเมตร แต่ละกลุ่มจะได้รับการจัดแบ่งพื้นที่ตามจำนวนผู้ใช้พลังระดับสูง แต่ถ้าใครก็ตามที่ไม่มีกลุ่ม แต่ต้องการได้รับส่วนแบ่ง คุณต้องรอให้คนที่มีกลุ่มเลือกให้เสร็จก่อน จากนั้นค่อยเลือกอาณาเขตของตัวเอง”
แน่นอน ต่อให้คุณเดินทางมาที่นี่เพียงลำพัง และได้รับอาณาเขต 100 กิโลเมตร แม้มันอาจฟังดูเยอะ แต่สำหรับผู้ใช้พลังเลเวล A 100 กิโลเมตรในหัวเซี่ย พื้นที่ของมันกว้างไม่ถึงระดับภูมิภาคด้วยซ้ำ
ฉินเฟิงไม่ทันเอ่ยปากโต้แย้ง ฝูงชนในที่ประชุมก็ระเบิดเสียงโวยวายออกมา
“ฉันมีความสัมพันธุ์ที่ดีกับเทพร้อยบุปผาลอร์เรน และเทพอัสดงจูหลิง บวกกับเลเวล A ในกลุ่มของฉัน อย่างน้อยควรได้รับอาณาเขตราวๆ 2,700 กิโลเมตร!”
“กล้าพูดว่าความสัมพันธ์ที่ดีงั้นหรอ นายแค่บังเอิญได้พูดคุยกับพวกเขาไม่กี่คำก็เท่านั้น เรื่องนี้ฉันฟังนายโม้มาเป็น 10 ปีแล้ว อย่าคิดยกอ้างเป็นความสำเร็จของตัวเอง!”
“ไร้สาระ! มันน่าภูมิใจนักรึไงแค่ได้คุยกับเลเวล S ด้วยความแข็งแกร่งของฉัน ฉันสามารถโค่นคนในที่นี้ได้ถึง 5 คนด้วยตัวคนเดียว งั้นทำไมฉันถึงไม่ได้ครอบครองพื้นที่ 500 กิโลเมตรเล่า?”
“นี่แกกล้าลบหลู่ท่านผู้ใหญ่เลเวล S อย่างงั้นหรอ ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วรึไง!”
วิธีการจัดสรรเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่เป็นที่พอใจของหลายๆคน
ฉินเฟิงมองคนเหล่านี้โต้เถียง ทะเลาะกันจนหน้าดำหน้าแดง รู้สึกขบขันอย่างบอกไม่ถูก
อย่างไรก็ตาม เรื่องไร้สาระแบบนี้ เกรงว่าต่อให้เถียงกันอีกหลายวันก็ยังไม่ได้ข้อสรุป
แต่ในตอนนั้นเอง ทุกคนพลันสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันน่าสะพรึงโถมกวาดเข้ามา เบื้องหลังคลิฟส์ เงาร่างของบุคคลหนึ่งค่อยๆปรากฏขึ้น
และด้วยกลิ่นอายที่เงาร่างปลดปล่อย บ่งบอกชัดว่าเป็นตัวตนทรงอำนาจเลเวล S!
“หน้าไหนไม่พอใจกับข้อเสนอนี้ ก็ลองก้าวออกมา!” ชายคนนั้นกล่าวเสียงหม่น