Chapter 41: ท่านหญิงมู่หลง
“เจ้าจิ้งจอกน้อย ข้าอนุญาตให้เจ้าพูดเรื่องนึง ข้าขอถามหน่อย.... ในห้องโถงนี้ใครมีอนาคตที่ดีที่สุด?”
เฉินเฉินถามด้วยสีหน้าผิดหวัง
“เจ้า”
อสูรจิ้งจอกลดเสียงของมันแล้วตอบกลับ ในตอนที่มันพูดออกมา มือที่จับคอมันอยู่ก็คลายลงเล็กน้อย
“เจ้ามีสายตาที่เฉียบแหลมดีนี่ เจ้าอาจจะเป็นอสูร แต่ก็ซื่อสัตย์อยู่นะ”
เฉินเฉินคลายมือออกอย่างเต็มที่ รอยยิ้มของเขาสดใส
หลังจากนั้นซักพัก จางจีก็เดินขึ้นมาพร้อมกับกาน้ำที่ดูหรูหรา และพนักงานบริการของหอลมใบไม้ผลิเองก็เริ่มเสิร์ฟอาหาร
ชุดอาหารราคาสองพันตำลึงนั้นโดดเด่นจริงๆ จางจีตกตะลึงเมื่อได้เห็นความงดงามของทุกจานอาหาร
แม้กระทั่งเฉินเฉินก็ยังรู้สึกทึ่งอยู่ในใจ
เขาไม่เคยเห็นชุดอาหารระดับนี้มาก่อน แม้กระทั่งในชีวิตก่อนของเขา
อำนาจซื้อสำหรับสองพันตำลึงเงินในโลกนี้มันระดับเดียวกับหลายล้านในชีวิตก่อนของเขาเลย
เขาคงจะตัวสั่นถ้าเขาได้เห็นชุดอาหารราคาหลักล้านในชีวิตก่อนของเขา
…
เวลาล่วงเลยไปได้ซักพักแล้ว พวกที่คอยประจบก็เกือบจะแยกย้ายไปหมดแล้ว และพวกเขาก็เริ่มรับประทานอาหารของตัวเอง ท่านหญิงมู่หลงเองก็มีสีหน้าที่ผ่อนคลายขึ้น
ณ ตอนนี้ ชั้นล่างของหอลมใบไม้ผลิเริ่มวุ่นวายขึ้นมา เฉินเฉินมองไปแล้วเห็นว่ามีเวทีขนาดยักษ์ถูกจัดเอาไว้ที่ด้านล่าง มีสัตว์จำพวกเสือ หมีที่ถูกจับยัดเอาไว้ในกรงเริ่มถูกทยอยนำขึ้นไปบนเวที
“มีละครสัตว์ด้วยหรอ?”
ดวงตาของเฉินเฉินเปล่งประกายขึ้นและเขาก็ดูสนใจ
พูดตามตรง ในโลกฝึกตนนี้มันมีกิจกรรมบันเทิงน้อยมาก ในหมู่บ้านหิน เขาทำได้แค่เล่นกับดิน ความบันเทิงขั้นสูงอย่างละครสัตว์นั้นเป็นเรื่องแปลกหูแปลกตาสำหรับเด็กในหมู่บ้านหิน
เมื่อเห็นคนในเมืองสายลมสีครามตรงมาที่นี่ พวกคุณหนูในห้องโถงก็ไปรวมตัวกันที่ราวบันไดแล้วพูดเกี่ยวกับพวกเขา
“นายหญิง เห็นลูกหมาที่ชายคนนั้นอุ้มอยู่ไหมคะ? มันน่ารักมากเลย”
“ใช่ มันน่ารักจริงๆ แต่ข้าคิดว่ามันน่าจะใช่หมานะ มันดูเหมือนจิ้งจอกมากกว่า”
ที่อีกด้านนึง ท่านหญิงมู่หลงกับสาวใช้ของเธอที่กำลังถูกประจบได้มองมาทางเฉินเฉิน ในเวลาเดียวกันนั้นเอง พวกเขาก็สังเกตเห็นอสูรจิ้งจอกในอ้อมแขนของเฉินเฉิน
“หืม ท่านหญิงมู่หลงคนนี้ฉลาดใช้ได้เลยนะเนี่ย”
เมื่อได้ยินคำพูดของเธอ เฉินเฉินก็ชื่นชมในใจ จากคนมากมายที่เจอมานี้ ในที่สุดก็มีคนที่สามารถบอกได้ว่าตัวที่เขาอุ้มอยู่นั้นเป็นจิ้งจอกไม่ใช่สุนัข
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เหนือความคาดหมายก็คือพนักงานบริการที่เคยคุยกับเขาก่อนหน้านี้รีบเข้าไปแก้ความเข้าใจผิดให้พวกเธออย่างรวดเร็ว
“ท่านหญิงมู่หลง นั่นก็ยังไม่ถูกซะทีเดียวหรอกครับ ที่แขกท่านนั้นกำลังอุ้มอยู่ก็คือสุนัขศักดิ์สิทธิ์อักกราอิสโร มันเป็นสิ่งที่มีค่าอย่างมากเลยครับ!”
“ช่างมีพรสวรรค์อะไรอย่างนี้!”
เฉินเฉินพึมพำ เขาเกือบจะลืมชื่อที่เขาคิดขึ้นมาเมื่อก่อนหน้านี้ไปแล้ว แต่พนักงานคนนี้กลับจำมันได้ทุกคำจริงๆ
ก่อนที่เขาจะหยุดพึมพำ พวกผู้ชายก็ตรงมาหาเขาเหมือนกับฉลามที่ได้กลิ่นเลือด
“ท่านครับ ข้าขอซื้อสุนัขของท่าน 1,000 ตำลึง! เพื่อนำไปให้ท่านหญิงมู่หลง!”
“ข้าให้ 2,000 ตำลึงเลย!”
“สี่พันตำลึง!”
“หมื่นตำลึง!”
ในขณะที่พวกผู้ชายกำลังเปิดประมูลกันอยู่นั้น สาวใช้ของท่านหญิงมู่หลงก็อดเย้ยหยันกับภาพนี้ไม่ได้ และเผยรอยยิ้มที่มีเลศนัยออกมา
นายหญิงของเธอคือความภาคภูมิใจของสวรรค์ ชายหนุ่มทุกคนในห้องโถงต่างก็คอยมาห้อมล้อมนายหญิงของเธอ ยกเว้นคนกลุ่มนี้ที่ดูไม่แยแสอะไร ซึ่งมันทำให้เธอหงุดหงิดจริงๆ
ตอนนี้ คนกลุ่มนี้น่าจะตระหนักได้ถึงเสน่ห์ของนายหญิงของเธอแล้วใช่ไหม!?
…
ปัง!
ในตอนนั้นเอง เฉินเฉินก็ทุบโต๊ะอย่างรุนแรงแล้วลุกขึ้น เขาจ้องมองทุกคน “มาเปิดประมูลกันต่อหน้าข้าแบบนี้หมายความว่ายังไงกัน? ข้าดูเหมือนคนที่ต้องการเงินขนาดนั้นเลยรึไง?”
ทุกคนพากันเงียบกริบ
มันใช้เวลาพักใหญ่ๆกว่าจะมีคนเอ่ยปากพูดขึ้นมา “ท่านครับ ในเมื่อท่านไม่ได้ต้องการเงิน ทำไมท่านไม่มอบสุนัขตัวนี้ให้ท่านหญิงมู่หลงซะหล่ะครับ?”
“ทำไมข้าต้องยกสัตว์เลี้ยงของข้าให้ด้วย?” ใบหน้าของเฉินเฉินเต็มไปด้วยความสงสัย
ทุกคนถึงกับพูดไม่ออกหลังจากได้ยินประโยคนี้
พวกเขาพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเอาใจท่านหญิงมู่หลงและไม่ได้ผลเลย ซึ่งเด็กคนนี้มีวิธีอย่างเห็นได้ชัด แต่เขากลับไม่สามารถแยกจากกับสุนัขได้
การเปรียบเทียบนี้มันน่าหงุดหงิดเป็นอย่างมาก
แต่ถึงยังไง ที่นี่มันก็ไม่ใช่ดินแดนของพวกเขา เมื่อเห็นว่าเฉินเฉินไม่เต็มใจ พวกคุณชายก็ไม่อยากบังคับเช่นกัน ไม่อย่างนั้นพวกเขาอาจจะสร้างความประทับใจที่ไม่ดีต่อหน้าท่านหญิงมู่หลงได้ และมันก็คงจะไม่คุ้มเลยสักนิด
ในขณะที่ทุกคนกำลังจะพูดอะไรบางอย่างเพื่อล้างความอับอาย ตำรวจในชุดเครื่องแบบคนนึงก็รีบวิ่งขึ้นมาชั้นบนอย่างกระทันหัน
“เรียนทุกท่าน มีข่าวมาจากฝ่ายป้องกันเมืองว่า เจ้าชายเจ็ดองค์ที่มุ่งหน้าไปยังรัฐจี่เมือสองวันก่อนพร้อมกับกลุ่มคน 200 คน ได้หายไปโดยไม่ทราบสาเหตุในตอนที่เดินทางผ่านเนินเขาวัวทมิฬครับ
ถ้าท่านใดอยากไปที่รัฐจี่ ข้าแนะนำให้เลือกใช้เส้นทางอื่นจะดีที่สุด และชวนนักเดินทางคนอื่นไปด้วยจะดีกว่าครับ”
ในทันทีที่คำพูดนี้ออกมา ทุกคนก็มองหน้ากัน ไม่มีใครอยากดูละครสัตว์อีกแล้ว พวกเขาทุกคนเริ่มกังวลเหมือนกับมดที่อยู่บนกระทะร้อนๆแทน
กลุ่มคน 200 คนหายตัวไป... นี่มันหมายความว่ายังไงกัน?
คนพวกนี้เป็นคนมีฐานะทั้งหมด และถ้าพวกเขาทุกคนหายไปโดยไม่มีใครหนีรอดมาได้ ก็แสดงว่าในการจะเดินทางไปนั้นอย่างน้อยก็ต้องมีพลังมากกว่านั้นหลายเท่า
และมันก็ต้องมีการจัดระเบียบและดูแลความเรียบร้อยด้วย
“ต้องเป็นสายลับจากรัฐโจวที่แอบเข้ามาในรัฐจี่ของเราแน่เลย ไม่อย่างนั้นใครจะมีความแข็งแกร่งระดับนั้นได้หล่ะ?”
“ถ้ามีหนอนบ่อนไส้จากสำนักมารอยู่ที่นี่ ทำไมสำนักเทียนหยุนถึงไม่ส่งคนมาช่วย?”
ทุกคนพูดคุยกัน และยิ่งพวกเขาคิดถึงมัน พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกว่ามันมีความเป็นไปได้
หลังจากนั้นซักพัก ทุกคนก็โบ้ยความผิดไปให้สำนักเทียนหยุน
“สำนักเทียนหยุนไม่สนใจพวกเราเลยสักนิด”
“ใครจะไปสนใจสำนักแบบนี้กัน? ไม่เห็นมีความจำเป็นต้องไปเลย ข้าจะกลับบ้านแล้ว ลาก่อนทุกคน!”
…
เมื่อเห็นเพื่อนของพวกเขาออกไป คนอื่นๆก็พากันหวั่นวิตก แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังคงหันไปมองท่านหญิงมู่หลง
เมื่อเทียบกับพวกเขา ท่านหญิงมู่หลงคือศิษย์อัจฉริยะที่สำนักเทียนหยุนให้ความสนใจ และมีเซียนคอยตามมาคุ้มกันเธอด้วย ถ้าพวกเขาอยู่ใกล้กับเธอไว้หล่ะก็คงจะปลอดภัย
ก่อนที่พวกเขาจะตัดสินใจ ท่านหญิงมู่หลงก็พูดขึ้นมา
“ถ้าพวกเจ้ากลัวจะตามข้ามาด้วยก็ได้ในตอนที่เวลามาถึง สำนักเทียนหยุนจะไม่เพิกเฉยต่อความปลอดภัยของทุกคนอย่างแน่นอน”
ในตอนที่ทุกคนได้ยินสัญญาของท่านหญิงมู่หลง พวกเขาก็เกือบจะร้องไห้ออกมา พวกเขาเข้าไปขอบคุณเธอทีละคน จนแทบจะคุกเข่าคำนับอยู่แล้ว
แม้กระทั่งเฉินเฉินก็ยังมองเธอใหม่
จะว่าไปเธอก็เป็นคนที่มีจิตใจดีอยู่นะ
“ทำไมเจ้าไม่มาขอบคุณท่านหญิงกัน? เจ้าจะไม่ไปที่สำนักเทียนหยุนรึไง?” สาวใช้ที่ติดตามท่านหญิงมู่หลงสังเกตเห็นว่าเฉินเฉินยังดูละครสัตว์ด้านล่าง สีหน้าของเธอจึงยิ่งดูรำคาญมากขึ้น
“หา? ข้ากับพี่ใหญ่จะไปที่สำนักเทียนหยุน แต่พวกเราจะใช้เส้นทางอื่น”
จางจีอธิบาย เฉินเฉินได้วางแผนการเดินทางไปรัฐจี่เอาไว้เรียบร้อยแล้ว นั่นก็คือพวกเขาจะเลือกเส้นทางที่มีคนน้อยๆ เพื่อที่จะหาสมบัติได้ง่ายขึ้น
ถ้าพวกเขาไปกับคนจำนวนมากขนาดนี้ พวกเขาก็คงจะไม่เจออะไรเลยในระหว่างทาง!
“เหอะ อย่าแอบตามมาทีหลังก็แล้วกัน!” สาวใช้เอามือเท้าเอว สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความรังเกียจ
“หวนน้อย หยุดพูดเถอะ ในอนาคตพวกเขาอาจจะได้เป็นเพื่อนร่วมสำนักของพวกเราก็ได้นะ”
ท่านหญิงมู่หลงห้ามเธอไม่ให้พูดต่อ
แต่คนที่อยู่รอบๆนั้นแสดงสีหน้าที่ต่างออกไป เพราะท่านหญิงพูดว่า ‘สำนักของพวกเรา’ มันก็หมายความว่าสาวใช้คนนี้เองก็จะเข้าสำนักเทียนหยุนใช่ไหม? หรือว่าเธอได้รับเหรียญของสำนักเทียนหยุนด้วย?
เมื่อคิดได้แบบนี้ สายตาของพวกเขาที่มีต่อสาวใช้ก็เปลี่ยนไปอย่างสมบูรณ์
ในสำนักนั้น พื้นเพครอบครัวไม่ใช่สิ่งที่คู่ควรแก่การเอ่ยถึงเลย ถ้าพวกเขาทุกคนเข้าสำนักเทียนหยุนได้ สาวใช้ก็จะมีสถานะเดียวกันกับพวกเขา
แถมยังมีเรื่องความสัมพันธ์ของเธอกับท่านหญิงมู่หลงอีก สาวใช้คนนี้อาจจะมีอนาคตที่สดใสกว่าพวกเขาทุกคนก็ได้...