Ep.899 - คุมขังมารกระดูก
3/4
Ep.899 - คุมขังมารกระดูก
มารกระดูกเดิมเป็นเลเวล S เมื่อเทียบกับสัตว์เทวะแล้ว ยังถือว่ามีบางจุดที่โดดเด่นยิ่งกว่า แต่หลังจากฉินเฟิงทำลายดาวเคราะห์พลังสมาธิของมันแหลกเป็นเสี่ยงๆ แม้ร่างของมารกระดูกยังคงมีความแข็งแกร่งทางกายภาพเลเวล A แต่ก็อยู่แค่ในระดับทหารเท่านั้น ระดับเพียงแค่นี้ จัดอยู่ในจำพวกใช้แทนตัวบังกระสุนเท่านั้น
ยังไม่พอ พลังสมาธิของมารกระดูกปัจจุบัน ไม่ดีไปกว่าคนทั่วไปเลย
จิตสำนึกของมารกระดูกถูกไป๋หลีเข้ายึดครองในชั่วพริบตา
มารกระดูกหวาดกลัวสุดแสน ภายใต้การสอบปากคำของฉินเฟิง สิ่งต่างๆที่มันรู้ เริ่มถูกเผยออกมาทีละนิด ทีละนิด
ในมิติของมารกระดูก เห็นได้ชัดว่าประวัติศาสตร์การปลุกพลังนั้นยาวนานกว่ามิติของฉินเฟิงมาก แต่ในแง่ทรัพยากรมิได้มั่งคั่ง การดำเนินชีวิตของประชาชนธรรมดาไม่ค่อยพบกับอันตรายใดๆ ขณะเดียวกัน ผู้ใช้พลังมีจำนวนน้อยมาก แต่หากผู้ใดได้เป็น จะมีสถานะสูงส่ง สามารถเพลิดเพลินไปกับการปรนนิบัติเช่นเดียวกับพวกขุนนาง มารกระดูกเองก็เป็นหนึ่งในนั้น เพียงแต่ว่าขีดจำกัดความแข็งแกร่งสูงสุดแมีแค่เท่านี้
ซึ่งเทียบเท่ากับว่า มิติของมารกระดูกไม่เหมือนกับพวกเผ่ามังกร สามารถบุกเข้าไปบดขยี้ได้เลย
ในส่วนของศิลานรกที่มารกระดูกพูดถึง มารกระดูกบอกว่ามิได้มาจากมิติตน หากแต่เป็นมิติอื่น
“กระดูกตนนี้อยู่มานานถึง 800 ปีแล้ว บางทีอาจมีหลายเรื่องที่เขารู้ ขังเขาไว้ก่อน แล้วค่อยสอบปากคำอย่างช้าๆในภายหลัง” ฉินเฟิงกล่าว
เห็นได้ชัดว่าสนามรบแห่งนี้ไม่เหมาะสมที่จะค่อยๆสอบปากคำ
“รับทราบ งั้นขังเขาไว้ในมิติของฉันแล้วกัน”
ไป๋หลีเป็นเจ้าของมิติลับที่กระแสการไหลของเวลาเป็นไปอย่างรวดเร็ว ที่นั่นปลูกสมุนไพรล้ำค่าไว้มากมาย แน่นอนที่นั่นไม่สามารถปล่อยให้มารกระดูกเข้าไปได้ แต่ไป๋หลีมีความสามารถในการแบ่งมิติ มิติที่ทุกอย่างดำสนิท ไม่มีอะไรอยู่เลย เว้นเสียแต่ว่าผู้ถูกขังจะก้าวไปถึงระดับสัตว์เทวะเลเวล A มิฉะนั้นอย่าหวังทำลาย
อีกอย่างมารกระดูกไม่จำเป็นต้องกินอะไรอยู่แล้ว แค่จับยัดลงไปในมิติก็น่าจะพอ
ไป๋หลีดำเนินการทันที คว้าตัวมารกระดูกขึ้นมา แล้วจับโยนเข้าไปในมิติปิดกั้นของตัวเอง
หลังกำจัดศัตรูผู้รุกรานได้แล้ว ฉินเฟิงก็หันไปมองแซด
สีหน้าของแซดเวลานี้เต็มไปด้วยความซับซ้อน เขาไม่คาดคิดเลย ว่าฉินเฟิงจะสามารถปลดปล่อยความแข็งแกร่งออกมาได้ถึงขนาดนี้
ยังไม่พอ ฉินเฟิงกำลังย่างสามขุมพร้อมดวงดาราทั้ง 9 เข้ามาหาเขา นี่ทำให้แซดรู้สึกกดดันเป็นอย่างมาก
“แซด ความแข็งแกร่งของคุณ ผมไม่เคยดูถูกมันเลย จิตวิญญาณนักรบแข็งแกร่งมากจริงๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า อาชีพผู้ใช้วรยุทธโบราณและผู้ใช้อบิลิตี้จะไร้พลัง เพราะถ้าไม่มีสองสิ่งนี้ ลูกน้องของคุณคงไร้กำลัง ไม่มีเรี่ยวแรงมาทำงานวิจัยได้ แต่ถ้ายังไม่เชื่อ งั้นพวกเรามาสู้กัน วัดกันว่าใครจะแข็งแกร่งกว่า”
ฉินเฟิงต้องการทดสอบอีกครั้ง ว่าปัจจุบัน ช่องว่างความแข็งแกร่งระหว่างเขากับแซดยังเหลืออีกมากขนาดไหน
ตัวตนทรงอำนาจคนละอาชีพ จะมีความแข็งแกร่งแตกต่างกันซักเท่าไหร่เชียว?
ต้องขอยอมรับว่าตอนแรกฉินเฟิงเองก็หวั่นไหวกับคำโน้มน้าวของแซดเหมือนกันใน แต่ตอนนี้ เขาตัดสินใจแล้วว่าจะไปเข้ารับการทดลอง
เพียงแต่ว่า การทดสอบนี้ แซดไม่ต้องการมัน
“นายเก่งกว่าที่ฉันคิดไว้มากจริงๆ ก้าวหน้าได้รวดเร็วสุดๆ เกินความคาดหมายของฉันไปมาก!”
ฉินเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “และเอาจริงๆ ความแค้นที่ผมมีต่อคุณ มันจางหายไปแล้ว เรื่องราวในอดีตที่เกิดขึ้น ขอให้แล้วกันไปเถอะ ยังไงก็ตาม เรื่องระหว่างคุณกับไป๋หลี ผมจะไม่มีทางปล่อยไป!”
“ระหว่างฉันกับเธอ?” แซดสับสนเล็กน้อย มองไปที่ไป๋หลี
ไป๋หลีเองก็ผงะตกใจ หันมามองฉินเฟิง
‘ที่รัก สุดท้ายคุณก็คิดหาเรื่องเขาอยู่ดี แถมยังใช้ฉันเป็นเบี้ย?’ ไป๋หลีถ่ายทอดคำพูดผ่านพันธสัญญา
ฉินเฟิงตอบกลับไป๋หลี ขณะเดียวกันสนทนากับแซด
“เมื่อสี่ปีก่อน ผมค้นพบห้องทดลองมนุษย์กลายพันธุ์ในสังกัดของคุณ และในหลุมขยะ ผมบังเอิญเจอกับไป๋หลีในสภาพแรกเกิด แม่ของเธอถูกพวกคุณจับทดลองจนตาย สำหรับมนุษย์ ถึงบางทีสัตว์ร้ายอาจเป็นศัตรู แต่ตอนนั้นผมเลือกช่วยเหลือลูกของเธอโดยไม่สนใจเหตุผล และตอนนี้ ไป๋หลีได้กลายมาเป็นครอบครัวของผม!” ฉินเฟิงสาธยาย
แซดพยักหน้า รับฟังเรื่องราวตั้งแต่จุดเริ่มต้นจนจบ
ในความเป็นจริงเมื่อคุณยืนอยู่บนจุดสูงสุด ย่อมมีโอกาสพบเจอเรื่องราวอะไรแบบนี้เป็นธรรมดา ห้องทดลองคือสิ่งที่เขาต้องการสร้าง พวกนักวิจัยก็รับงานต่ออีกทีนึง บุคคลที่พวกเขาล่วงเกิน บุคคลที่พวกเขาลักพาตัวมา มีนับไม่ถ้วน
ซึ่งเอาจริงๆเรื่องนี้แซดไม่สนใจแม้แต่น้อย กระนั้น หากผู้ที่ลูกน้องเขาล่วงเกินเป็นผู้ที่สามารถปีนป่ายสู่จุดสูงสุดเช่นฉินเฟิง แซดคงไม่สนใจไม่ได้อีกต่อไป
“โอเค งั้นคุณหนูไป๋พอจะบอกได้ไหม ว่าเธอต้องการให้ชดใช้ยังไง?”
อย่างไรก็ตาม เวลานี้ไป๋หลีหันมามองฉินเฟิง บังเกิดอารมณ์ที่มิอาจอธิบายวนเวียนอยู่ในใจของเธอ
บางที นี่คงเป็นความรู้สึกอยากระบายใช่หรือไม่!?
ในมุมมองของสัตว์ร้าย การให้กำเนิดเป็นเพียงสัญชาตญาณการสืบพันธุ์เท่านั้น
ซึ่งหลังคลอด พวกมันแทบไม่สนใจดูแลลูกน้อย ไม่มีความพูกพันธ์อะไรมากมายเหมือนมนุษย์
ยิ่งไปกว่านั้น ทันทีที่ไป๋หลีถือกำเนิดขึ้น คนแรกที่มันพบคือฉินเฟิง และนั่นนำไปสู่เหตุการณ์ที่ว่า ฉินเฟิงเป็นทั้งเจ้านาย และมีบทบาทเป็นพ่อ
ในตอนนี้ ฉินเฟิงต้องการทวงความยุติธรรมให้แก่เธอ
ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว เรื่องพวกนี้ไป๋หลีไม่เคยเก็บมาคิดมากเลย แต่อาจเป็นเพราะความห่วงใย ฉินเฟิงจึงเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา ยอมกระทั่งล่วงเกินตัวตนทรงอำนาจเลเวล S
“ฉันต้องการให้ชดใช้ยังไงน่ะหรอ … ก็ง่ายๆ พวกเรามาสู้กัน แน่นอน ฝั่งฉันสองคน ฝั่งคุณคนเดียว!”
สิ้นเสียง ยังไม่ทันให้แซดเอ่ยปากตอบรับ ไป๋หลีก็ลงมือแล้ว
“ฉันเหม็นหน้านายมานานแล้ว ขอใช้ประโยชน์จากจุดนี้ ทุบตีนายให้สาแก่ใจหน่อยเถอะ!”
ในตอนแรก แซดไล่ตามฉินเฟิงกับไป๋หลีมา แต่ตอนนี้ เขาปรารถนาจะหนีกลับไป
สำหรับไป๋หลี ก่อนหน้านี้เธอไม่มีโอกาสได้ทุบตีเหอเทียนสิง ดังนั้นในวันนี้ จิ้งจอกน้อยไม่ต้องการพลาดโอกาสอีก
เมื่อได้ข้อสรุปเช่นนี้ ทั้งสามก้าวสู่สมรภูมิ ห้ำหั่นกัน แต่พลังที่ปลดปล่อยออกมาไม่ได้ร้ายแรงอะไร อย่างน้อยก็ไม่เพียงพอที่จะทำลายกำแพงอุปสรรคของชั้นมิติ แต่ขณะเดียวกัน เสียงต่อสู้ก้องกังวานไปไกล สัตว์ร้ายในทุ่งล่า พากันหลบหนีอย่างทุลักทุเล ไม่กล้ารั้งอยู่ต่อ
การต่อสู้ดำเนินไปอย่างน้อยหนึ่งวันหนึ่งคืน
ไป่เทียนหยางกับเจิ้งหยางไม่ทราบว่าฉินเฟิงโค่นมารกระดูกได้ตั้งแต่ช่วงแรก และยิ่งไม่รู้เข้าไปใหญ่ว่าแซดเป็นเลเวล S ของพันธมิตรมนุษย์ เลยพาลคิดว่าการต่อสู้ยังไม่สิ้นสุดลง รู้สึกหวาดกลัวแทบตาย
พวกเขาเร่งส่งคำร้องขอการสนับสนุน แต่ถูกปฏิเสธกลับมา โดยมีใจความสั้นๆว่า ‘แค่ฉินเฟิงคนเดียวก็พอ’
แต่นั่นเป็นแค่ในมุมมองความคิดของพวกระดับสูงเท่านั้น ในมุมมองของไป่เทียนหยาง ศัตรูที่ปรากฏขึ้นอยู่ในกลุ่มเลเวล S แล้วแบบนี้ฉินเฟิงจะสู้คนเดียวได้อย่างไร?
ไป่เทียนหยางรวบรวมความกล้าหาญ ค่อยๆมุ่งหน้าเข้าไปในสนามรบอย่างระมัดระวัง ภูมิทัศน์ของทุ่งล่าในเวลานี้ได้เปลี่ยนไปแล้วอย่างสิ้นเชิง ใจหนึ่งก็กลัวใจหนึ่งก็อดคิดไม่ได้ว่าพลังแบบไหนกันนะที่ทำให้เกิดหายนะเช่นนี้ได้
ทั้งหมดทั้งมวลนี้ มันเกินกว่าระดับความเข้าใจของเขาไปแล้ว
ตูมมมม!
หนึ่งเสียงดังก้องสะท้อนออกมาอีกครั้ง ไป่เทียนหยางที่อยู่ห่างออกมาไกลกว่า 30,000 เมตร รู้สึกหายใจไม่ออก มิกล้าย่างกรายเข้าไปใกล้กว่านี้อีกต่อไป
ในสนามรบ ฉินเฟิงเก็บดวงดาราเบื้องหลังเขา ฝั่งตรงข้าม มังกรดำที่ล้อมรอบนอกกายแซดเริ่มหดกลับคืน
“มีใครบางคนมา” ฉินเฟิงกล่าว
“ไม่ต้องสู้อีกแล้วใช่ไหม? งั้นก็ดีเลย ฉันเสียเวลากับนายมากพอแล้ว จะขอกลับไปทำการทดลองต่อล่ะ!”แซดกล่าว
หนึ่งวันหนึ่งคืน แม้ทั้งสามจะออมมือ แต่ปัจจุบัน แซดรู้แล้วว่าเขาไม่มีทางทำอะไรฉินเฟิงกับไป๋หลีได้อีก
ฉินเฟิงแข็งแกร่งกว่าที่คิดไว้นัก เป็นเรื่องน่าเสียดายยิ่ง ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ แซดขอผิดสัญญา จับตัวฉินเฟิงไปทดลองแต่แรกดีกว่า
“เรื่องที่ผ่านมา ให้มันแล้วกันไป แต่เรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เกรงว่าผมคงต้องเข้าแทรกแซงมัน!” ฉินเฟิงกล่าว
แซดเริ่มไม่พอใจ กล่าวว่า “นายก็แทรกแซงมาตลอด แทรกแซงจนถึงตอนนี้แล้วยังไม่พอใจอีกหรอ?”