ตอนที่ 10 - พระเจ้าแห่งความมืด
*ก่อนจะอ่านนิยาย โปรดตรวจสอบว่าท่านได้อยู่ในสถานที่ที่มีแสงเพียงพอ หรือถ้าท่านอ่านในความมืดก็อย่าลืมเปิด Night Mode หรือจอส้ม เพื่อป้องกันการปวดหัวและสายตาสั้นด้วยนะครับ*
--------------------------------------------------------------------------------------------
โป๊บเงียบไปพักหนึ่ง.
ที่พื้นนั้นเย็นมากๆและเอมิเลียก็เริ่มตะคริวกินเพราะนั่งคุกเข่าอยู่นานมาก.
เธอคิดว่าโป๊บต้องกำลังโกรธเธออยู่แน่ๆ.
โป๊บพยายามมีเมตตากับเธอซึ่งมันก็ดี แต่ถ้าเธอยอมปล่อยเรื่องนี้ไปโดยไม่แยแสผู้คนที่คู่ควรเหล่านั้นพวกเขาคงจะโกรธเธอมากๆแน่.
แต่ถ้าท่านอยากจะฆ่าแกงชั้นก็รีบๆทำเถอะ อย่าปล่อยให้รอนานแบบนี้ได้มั้ย!
เอมิเลียทนไม่ไหวจึงเงยหน้าขึ้นไปมอง.
โป๊บกำลังจ้องลงมาหาเธออยู่.
เอมิเลียประหลาดใจที่เห็นสายตาของเขาดูอ่อนโยนและเมตตามากๆ เขาดูไม่โมโหเลยแม้แต่น้อย.
“ลุกขึ้นก่อนเถอะ…”
โป๊บพยายามดึงเอมิเลียขึ้นมา เสียงของเขาดูอ่อนลงมากๆ “เราเข้าใจในสิ่งที่ท่านจะบอกแล้ว. เราคิดไม่ถี่ถ้วนเอง เดี๋ยวเราจะจัดการให้ อย่าห่วงไปเลยนะ”
“เดี๋ยวเราจะส่งคนไปคุยเรื่องนี้กับท่านทีหลัง. กลับไปก่อนเถอะนะ” โป๊บดูเหมือนจะมีเรื่องเร่งด่วนบางอย่างที่ต้องทำ. เขารีบพูดแล้วออกไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้เอมิเลียยืนงงอยู่กลางห้องนั่น.
เธอปัดฝุ่นออกจากหัวเข่าแล้วหันไปมองทางที่โป๊บออกไป.
ดูเหมือนเขาจะมุ่งหน้าไปทางโบสถ์อยู่.
เธอไม่รู้ว่าทำไมโป๊บถึงต้องรีบไปที่นั่นขนาดนั้นนะ.
แล้วเธอก็เดินออกไปจากห้อง. ระหว่างทางที่กำลังกลับวังนั้นเธอก็ผ่านโบสถ์นั่นด้วย แล้วเธอก็เห็นคทาที่แสดงถึงความยิ่งใหญ่ถูกวางอยู่บนพื้นพร้อมกับโป๊บที่นั่งคุกเข่า สวดภาวนาอยู่ด้านหน้ารูปปั้นยักษ์ของเทพแห่งแสงอยู่.
ตาของเขากำลังหลับอยู่ ริมฝีปากของเขาก็ขยับไปมาราวกับกำลังสวดอะไรซักอย่างอยู่.
เจ้าดาร์คเอล์ฟโผล่หัวออกมาจากกระเป๋าเสื้อของเอมิเลียแล้วมองตามเธอไป.
มีเสียงสวดภาวนาเบาๆลอยผ่านสายลมมาเข้าหูของเขา.
“...ช่างบริสุทธิ์เสียจริง...โอ...ข้าแต่พระเป็นเจ้า. พระองค์จะต้องพอใจนางแน่ครับ”
เจ้าดาร์คเอล์ฟกล่าวประชดออกมา.
ใครบริสุทธิ์กัน? ตาแก่นั่นหลอนเพราะตาพร่าไปแล้ว.
เอมิเลียดันหัวเขากลับเข้าไป “มองอะไรของนายน่ะ? อย่าออกมานะ เดี๋ยวก็มีคนเห็นหรอก”
เจ้าสุนัขน่ารำคาญ!
ตอนที่เขาใกล้จะร่วงลงไปในกระเป๋า สายตาเขาก็กวาดไปเห็นรูปปั้นแห่งแสงสว่างนั่น.
‘แคร่ก!”
มีเสียงแตกหักดังออกมา.
รูปปั้นของเทพเจ้าแห่งแสงนั้นได้มีรอยปริแตกออกอย่างลับๆ.
พอกลับมาถึงห้อง เอมิเลียก็รีบโยนเจ้าเอล์ฟออกมา “นายช่วยหยุดขยับไปมาซักทีได้มั้ย มันจั้กจี้นะ ไม่รู้เหรอ?”
“เออ เรามีเรื่องต้องคุยกัน”
เจ้าดาร์คเอล์ฟยืนขึ้นด้วยท่าทางแสยะ, ร่างจิ๋วๆสุดน่ารักของเขาตระหง่านอยู่บนพื้นจากนั้นก็เปลี่ยนกลับมาเป็นร่างตัวโตสุดหล่อดังเดิม “เธอตัวเหม็นมากๆ หัดอาบน้ำก่อนจะออกไปไหนบ้างสิ”
“ห้ะ?”
เอมิเลียตากว้างออกเพราะไม่อยากจะเชื่อ “เหม็นบ้าบออะไร? ชั้นใช้น้ำหอมที่แพงที่สุดเลยนะ. จะตัวเหม็นได้ยังไง? จมูกนายเพี้ยนต่างหาก!”
“บอกว่าเหม็นก็เหม็นสิ ต่อให้เธอเอาน้ำหอมมาฉีดขนาดไหน เธอก็ซ่อนกลิ่นตัวไม่ได้อยู่ดี” เจ้าเอล์ฟนั่งลงอย่างเอื่อยๆ, ปกคอเสื้อของเขาอ้าออกจนเห็นหน้าอกผิวสีน้ำผึ้ง.
เจ้าดาร์คเอล์ฟที่เคยใส่ชุดขาดๆอยู่นั้นตอนนี้ได้เปลี่ยนมาใส่ชุดดีๆแล้ว ถึงมันจะเป็นชุดที่เอมิเลียไปแอบขโมยมาจากทีมลาดตระเวนก็เถอะ.
ชุดของอัศวินนั้นมีสีขาวและด้ายสีทองประดับอยู่, มีเข็มขัดรัดอยู่ที่เอวบางๆของเจ้าเอล์ฟจนเห็นเอวได้ชัด. กระดุมที่หน้าอกของเขานั้นไม่ได้ติดกันทุกเม็ด กล้ามของเขาเลยออกมาโต้กับลม.
เอมิเลียบอกให้เขาติดกระดุมดีๆหลายรอบแล้ว แต่เจ้าเอล์ฟก็ไม่ยอมฟังจนสุดท้ายเธอก็ปล่อยเขาไป.
ถึงยังไงคนที่จะเป็นหวัดก็ไม่ใช่เธอหนิ.
“นายว่าไงนะ!”
เอมิเลียโมโหขึ้นมา. ผู้หญิงคนไหนก็ไม่ชอบถูกหาว่าตัวเหม็นหรอก.
“เหม็น” เจ้าดาร์คเอล์ฟพูดช้าๆใส่สีหน้าโกรธเกรี้ยวของเอมิเลีย พร้อมๆกับทำสีหน้าไปด้วย ราวกับเธอเหม็นมาแต่ไกล.
เอมิเลียนึกในใจ “ชั้นจะฆ่านายๆๆๆๆ”
ความโกรธของเธอเริ่มเดือดขึ้นมาแต่จากนั้นเธอก็ใจเย็นลงพร้อมกับยิ้มบางๆ ด้วยสายตาอำมหิตแล้วพูดว่า “คืนนี้นายนอนที่พื้นไปนะ”
ทันทีที่เธอพูดจบ เจ้าดาร์คเอล์ฟที่กำลังเอาคางไปพิงกับเก้าอี้อย่างเอื่อยๆอยู่ก็ร่วงลงบนพื้นพร้อมกับขาแขนที่ถูกมัดไว้.
อีกแล้วเหรอ!
เจ้าดาร์คเอล์ฟพยายามโงหัวขึ้นมาแล้วจ้องไปทางเอมิเลียอย่างแรง. “มาสู้กับข้าแบบแฟร์ๆสิวะ เจ้าหมารับใช้!”
เอมิเลียสะใจมาก.
ทุกๆครั้งที่เจ้าดาร์คเอล์ฟด่าเธอหรือกวนเธอ เธอก็จะบุลลี่เขาแบบนี้แหละ. เธออยากจะทำให้เขาร้องไห้ออกมา แต่คงจะได้แค่ฝันล่ะนะ.
จากนั้นเอมิเลียก็เดินไปทางโต๊ะแล้วเปิดหนังสือออกมาอ่าน.
ช่วยไม่ได้นี่นา. พรุ่งนี้ก็มีวิชาปฏิบัติแล้ว. ต้องรีบหาความรู้ไว้จะได้ไม่ยืนอายพรุ่งนี้.
ทั้งห้องเงียบไปอยู่พักหนึ่ง มีแต่เสียงเปิดหน้าหนังสือเท่านั้น.
เจ้าเอล์ฟที่กำลังนอนอยู่บนพื้นนั้นก็พูดเสียงแข็งออกมา “รูปปั้นนั่นคือ...พระเจ้าแห่งแสงของแกหรอ?”
เอมิเลียกำลังปวดหัวกับหนังสืออยู่จึงตอบเขาส่งๆไป “ใช่, ทำไมล่ะ? ชอบหรอ?”
เธอพูดล้อไปงั้นๆแต่ก็ไม่นึกว่าจะโดนสวนกลับมาแรง “จะบ้ารึไง! ก็เหมือนแกนั่นแหละ ชั้นไม่ชอบของกากๆ!”
หมายความว่าไงเหมือนชั้น? ชั้นดูเหมือนกากงั้นหรอ?
เอมิเลียหยุดอ่านหนังสือแล้วหันมาจ้องใส่เขา “ไม่อยากขยับอีกแล้วใช่มั้ยชีวิตนี้น่ะ?”
เจ้าดาร์คเอล์ฟโก่งคิ้วขึ้นมา เขาจ้องกลับไปหาเธอแล้วประชดใส่ “สมแล้วที่เป็นหมารับใช้ ชั้นแค่ด่ารูปปั้นเทพแสงนั่น แกก็หัวร้อนซะแล้ว”
เอมิเลียขี้เกียจอธิบายให้เขาฟังจึงหันกลับไปอ่านต่อ.
ผ่านไปพักหนึ่งเจ้าเอล์ฟก็เปิดปากพูดแบบอายๆว่า “นี่! เธอรู้จักพระเจ้าแห่งความมืดรึป่าว?”
มีคำอยู่3คำนี้ที่ฝังลึกอยู่ในวิญญาณเขา ถึงเขาจะจำอะไรไม่ได้และไม่รู้อะไรเลย แต่ทุกครั้งที่เขาพยายามนึกว่าตัวเองคือใคร เขาก็นึกออกแค่3คำนี้เท่านั้น.
เจ้าเอล์ฟเริ่มสงสัย.
เขา….เขาคงไม่ใช่พระเจ้าหรอกเนอะ?
ภายใต้คำสั่งของศาสนาแห่งแสง หนังสือทุกเล่มที่เกี่ยวกับพระเจ้าแห่งความมืดนั้นได้ถูกเผาทำลายไปหมดสิ้นแล้ว. ใครก็ตามที่เอ่ยนามหรือกล่าวสิ่งที่เกี่ยวข้องกับในหนังสือพวกนั้นออกมา จะถูกจับกุมทันที.
ดังนั้นเอมิเลียจึงไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพระเจ้าแห่งความมืดเลย.
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะมั่วไม่ได้ “พระเจ้าแห่งความมืดงั้นหรอ, รู้ดิ, ชั้นเคยเห็นบันทึกเกี่ยวกับเขามาก่อน. ชั้นได้ยินมาว่าเขามี4แขน8ขา หน้าเหมือนค้างคาวและมีดวงตาที่เชื่อมกันแล้วทั่วตัวของเขาก็ปกคลุมไปด้วยขนยาวหนาสีดำด้วย. คงทำให้คนนึกถึงสิ่งที่น่ากลัวที่สุดออกมาได้เลยมั้ง.”
เจ้าดาร์คเอล์ฟคิดภาพตามเธอบอก.
น่าเกลียดเกิ๊น.
เขายอมรับหน้าตาดั้งเดิมตัวเองไม่ได้ จึงโยนความคิดนั้นทิ้งไป.
“จู่ๆถามขึ้นมาทำไม?” เอมิเลียกล่าวโดยไม่หันไปมอง.
แน่นอนว่าเจ้าเอล์ฟไม่ยอมบอกเธอ เขาลงไปนอนกับพื้นอีกครั้งแล้วพูดกำกวม “ไม่ใช่เรื่องของแกหนิ”
เอมิเลียกลอกตาแล้วเลิกคุย.
เวลาเดินไปจนเริ่มดึกหน่อยๆแล้ว.
เอมิเลียก็เริ่มสัปหงกคาหนังสือ. ในตอนนั้นเองขณะที่เธอกำลังจะหลับคาหนังสือก็มีเสียงดังขึ้นมาเบาๆจากด้านหลัง
“อัลฟอนโซ”
“ชื่อของข้า...น่าจะเป็นอัลฟอนโซ”
****
พอเธอตื่นขึ้นมาในเช้าถัดไป เอมิเลียที่กำลังสะลึมสะลืออยู่นั้นก็เผลอเหยียบหน้าเจ้าเอล์ฟที่อยู่บนพื้นเข้า.
“เมื่อคืนชั้นลืมปล่อยนายหรอ?” เธอพูดเนือยๆพร้อมขยี้ตา “กลับไปนอนที่เตียงห้องใต้ดินเองซะ. วันนี้ชั้นจะไม่พานายออกไปด้วย”
เวทย์มนต์ก็ถูกปลดออกแล้วเจ้าเอล์ฟก็ยืนขึ้น เขาจ้องมาที่เธอด้วยดวงตาสีแดงก่ำที่เคียดแค้น. “เจ้าหมารับใช้ แกจะเอาอะไรจากชั้นอีก? ชั้นหนีออกไปตอนนี้ซะเลยดีมั้ย?”
ตอนนี้เวลาเริ่มกระชั้นชิดเข้ามาแล้ว เอมิเลียจึงรีบล้างหน้าแล้วแต่งตัวด้วยเวทย์มนต์ จากนั้นเธอก็ไปก้มหาหนังสือที่ชั้นวางรกๆนั่น “นายไม่ได้นอนทั้งคืน ถ้าจะไปก็ไปสิใครห้ามล่ะ”
เขายืนเงียบอยู่ด้านหลัง.
เอมิเลียหาหนังสืออยู่นานมากกว่าจะเจอ พอกำลังจะออกไปเธอก็รู้สึกว่าที่กระเป๋ามีอะไรหล่นลงมา.
เธอก้มลงแล้วเห็นเจ้าเอล์ฟกำลังนอนคดตัวอยู่ด้านใน. เธอเงยหน้าขึ้นแล้วปิดกระเป๋าไป.
เอมิเลียเอามือทาบอก.
ถ้าไม่ติดเรื่องนิสัยของเจ้าเอล์ฟนี่ล่ะก็ เขาก็ดู….น่ารักดี?
เหล่าเซ้นต์นั้นมีห้องทรมาณเล็กๆเป็นของตัวเอง. ในมุมหนึ่งของห้องนั้นมีสิ่งมีชีวิตแห่งความมืดตัวเล็กๆถูกขึงไว้ตลอดทั้งปีเพื่อเอาไว้สอนเหล่าเซ็นต์หรือทดลองเวทย์มนต์อยู่.
เอมิเลียมาสายเล็กน้อย. พอเธอมาถึง เซ้นต์ส่วนใหญ่ก็มารอกันที่หน้าห้องทรมาณแล้ว พวกเขากำลังยืนคุยซุบซิบกันอยู่.
นี่เป็นงานใหญ่ครั้งแรกในฐานะหัวหน้าของเธอ. หลายๆคนจึงตั้งตารอดูเธอ, พอเธอมาถึงปุ๊บทุกๆคนก็จ้องไปทางเธอทันที.
ใจกลางกลุ่มคนนั้นเดบราก็กำลังหัวเราะคิกๆอยู่ เธอจ้องไปหาเอมิเลียบ่อยครั้งดูไม่มีมารยาทเลย.
เอมิเลียเม้มปากเบาๆ.
ดูเหมือนว่าทุกคนยังอยากจะให้เดบราทำหน้าที่มากกว่า. เธอเหมาะกับงานนี้มากกว่า, ใช่ ชั้นก็คิดงั้นแหละ.
เอมิเลียพยายามปลอบตัวเองแล้วหยิบกุญแจออกมาเพื่อไปเปิดห้องทรมาณ.
เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้สัตว์ด้านในหลุดออกมา ห้องทรมาณจึงไม่มีหน้าต่างและมีโล่เวทย์มนต์บังช่องว่างทุกที่ไว้หมด. พอพวกเขาเข้าไปในห้อง มันจึงมืดมากๆแทบไม่เห็นอะไรเลย.
พอแสงเวทย์มนต์สว่างขึ้นที่กำแพงทั้งสองฝั่ง ก็มีเด็กหญิงสองคนถูกขึงไว้กับโครง. พวกเธอเริ่มตัวสั่นกัน.
เซ้นต์คนหนึ่งมองมาจากด้านหลังเอมิเลียแล้วกล่าว “โอ้ะ นี่มันแม่มดที่เพิ่งจับมาได้นี่นา. แถมมีตั้งสองคนด้วย ได้ปลาตัวใหญ่เลยแบบนี้”
ปลาตัวใหญ่, นี่หล่อนหมายถึงเด็กผู้หญิงสองคนนี้รึไง?
มือที่เอมิเลียจับกุญแจอยู่นั้นเริ่มสั่นเบาๆ. เธอพยายามสงบใจไว้ไม่ให้เซ้นต์คนอื่นๆสังเกตุเห็น. เธอพยายามฝืนยิ้มเหมือนคนอื่นๆ.
“นี่เธอเอาหนังสือมาด้วยรึป่าว? ชั้นน่าจะเอาค้อนแม่มดมาด้วยรู้งี้”
มีคนบ่นขึ้นมา.
“ไม่ได้เอามาน่ะสิ. ตอนแรกชั้นก็นึกว่าเป็นแค่สัตว์ตัวเล็กๆเลยไม่ได้เอามาด้วย. ชั้นจำในหนังสือไม่ได้ด้วยสิ เธอจำได้มั้ย?”
สีหน้าของเดบราอ่อนโยนขึ้นแล้วพูดปลอบทุกคน “ไม่ต้องห่วง ชั้นจำในหนังสือได้หมดแล้ว ถามชั้นได้นะ”
“สมแล้วที่เป็นเดบรา!”
“ใช่เลย ถ้าเธอจำหนังสือหนาๆนั่นได้หมด จะเป็นเซ้นต์อันดับหนึ่งก็ไม่แปลกนะ”
พวกเขาเริ่มไปล้อมเดบรากันจนเหมือนจะลืมหัวหน้าตัวจริงตรงนั้นไป.
เดบรายิ้มเบาๆแล้วค้อนไปมองเอมิเลียที่ยืนเงียบๆตัวแข็งอยู่ตรงนั้น.
ดูซะ นี่แหละอำนาจของราชินีไร้มงกุฎที่แท้จริง.