ร้อยเอ็น เล่นรัก ... เรื่องที่ 9 หนุ่มบ้านนา ... ตอนที่ 1. นอนเฝ้าควาย
ร้อยเอ็น เล่นรัก - ร้อยเรียงเรื่องเล่า....
เรื่องที่ 9 หนุ่มบ้านนา
ตอนที่ 1. นอนเฝ้าควาย
ย้อนไปกว่าครึ่งศตวรรษ ณ จังหวัดหนึ่งทางภาคเหนือ ในตอนนั้นยังไม่มีไฟฟ้าใช้ ถนนหนทางก็ลำบาก ไม่ได้เป็นคอนกรีตลาดยางเช่นตอนนี้ การเดินทางแค่ข้ามตำบลต้องใช้เวลาเป็นวันเพราะต้องเดินเท้า หากบ้านไหนมีฐานะหน่อยก็จะใช้ควายเทียมเกวียนร่นเวลามาหน่อย แต่ก็ยังใช้เวลาค่อนข้างมากอยู่เช่นเคย สัตว์สองเขาจึงนับเป็นสมบัติอันล้ำค่าของเจ้าของ บางครอบครัวขายข้าวเปลือกได้ไม่กี่สิบกี่ร้อย ก็ตัดใจลงทุนซื้อควายมาเลี้ยงเพื่อแบ่งเบาภาระ ทั้งการไถนา ขนของหนักและเดินทางไปโน่นมานี่
ในชนบทที่ห่างไกลเช่นตอนนั้นหากไม่ใช่แหล่งชุมชนที่มีบ้านเรือนปลูกอยู่พอให้เห็นหลังคาล่ะก็ รอบๆอาณาบริเวณก็เป็นป่าเขา ลำนำแมกไม้ครึ้มหนาชวนให้วังเวงแม้ยามกลางวัน คนยามนั้นจึงต้องรีบตื่นเช้ามาใช้ชีวิตและปิดบ้านกันแต่หัวค่ำ ส่งผลให้มีลูกหัวปีท้ายปีแทบทุกหลังคาเรือน ช่วงกลางคืนมืดมิดไร้สรรพเสียง จึงมีโจรออกมาปล้นหรือลักทรัพย์ชาวบ้านชุกชุม โดยเฉพาะสัตว์เลี้ยงที่เป็นดุจทองคำเช่น ฝูงควาย จนเดือดร้อนไปหมด บ้านไหนมีหลายตัวก็ยังพอทำใจ แต่ถ้าบ้านไหนมีแค่ตัวเดียวแล้วโดนโจรลักไป ก็เหมือนสิ้นเนื้อประดาตัวเลยก็ว่าได้
เหตุการณ์ลักขโมยมีข่าวลือเล่าอ้างกันมาเป็นทอดๆ ดังคำว่าปากคนยาวกว่าปากกา มีการแต่งเติมเสริมต่อไปมากมาย บ้างก็ว่าเป็นโจรป่า มากันเป็นร้อย บ้างก็ว่าเป็นคนมีของ ใช้คุณไสย์นำร่องหรือไม่ก็ใช่ผีสาง ชาวบ้านตาดำๆที่ไร้การศึกษาก็พากันตื่นกลัวกันยกใหญ่ จะเอาควายเข้าไปนอนในเรือนก็ใช่ที เพราะตัวมันทั้งใหญ่และหนัก บ้านไม้เก่าโทรมมีหวังพังลงมาเป็นแน่หากเอาขึ้นไปไว้บนนั้น หลังจากได้ยินข่าวลือและเกิดเรื่องกับหมู่บ้านข้างเคียง ผู้ใหญ่บ้านจึงนัดประชุมเพื่อหาข้อสรุปว่าจะเอาควายของบ้านแต่ละคนมาไว้รวมกันและจัดเวรยามเฝ้า ชาวบ้านก็พากันเบาใจนอนหลับเต็มอิ่ม
“แม่ง ทำไมคืนนี้จะต้องเป็นกูกับมึงด้วยวะ” นายมี ชาวนาหนุ่มวัย 20 ที่เพิ่งอกหักมาหมาดๆเพราะสาวคนรักที่ตามเขียนจดหมายไปหาดันไปแต่งงานกับ นายมา คู่อริที่ไม่กินเส้นกันมาตั้งแต่เด็ก
“มึงไม่อยากมาก็กลับไปสิวะ” นายมา เจ้าบ่าวที่เพิ่งเข้าหอไปเมื่อเดือนที่แล้วส่งเสียงท้าทาย สองคนที่ไม่ถูกกันต้องมานอนเฝ้าควายในคืนนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะน้องชายของตนท้องเสีย ป่านนี้ก็คงได้นอนกกเมียรักใต้ผ้าห่มอุ่นๆแล้ว
เนื่องจากลานหมู่บ้านนั้นไม่มีที่กว้างพอสำหรับควายหลายสิบตัวเช่นนี้ คนหนุ่มเลยช่วยกันล้อมคอกตอกไม้กั้นพื้นที่ท้ายหมู่บ้านที่ต้องข้ามแม่น้ำเส้นหลัก ที่ดินแปลงใหญ่ทำเลเหมือนจะดี เพราะด้านหลังเป็นเขา คนปกติคงไม่เดินอ้อมเขามาเพื่อลักควายและเดินกลับทางเดิมเป็นแน่
“มึงพูดเองนะ กูไปแน่” นายมีทำท่าจะลุก แต่เสียงหมาหอนทำให้นายมาคู่อริรีบพุ่งมาจับแขนไว้แน่น
“ย่ะ อย่าสิวะ กูพูดเล่น” แม้ในใจจะบอกว่าพูดจริง แต่ความกลัวมันมีมากกว่า ถึงแม้คอกควายจะโล่ง แต่ใช่ว่าถนนหนทางจะเป็นเช่นนั้น ต้นไม้ใหญ่แผ่ใบครึ้มปกปิดจนความสว่างของตะเกียงของบ้านเรือนไม่อาจทะลุส่องถึง เสียงสัตว์น้อยใหญ่ร้องระงมชวนหลอนไม่น้อย ในหน้าหนาวยามนี้ยิ่งชวนให้ขนลุก น้ำค้างและหมอกปกคลุมเหมือนม่านที่เอาไว้บดบังสรรพสิ่ง นกกา นกแสกนกฮูกและอีกสารพัดที่จะนึกออกก็บินว่อนไปมาแถมส่งเสียงชวนหลอกหลอน ยิ่งเสียงหมาหอนมาผสานอีก ต่อให้เป็นคนจิตแข็งแค่ไหนก็ไม่รอด
“นึกว่าจะแน่” นายมานั่งลงบนเก้าอี้เตี้ยที่ทำจากไม้ที่คนเหนือเรียกติดปากว่าก้อม เอาไว้นั่งทำงานหรือไม่ก็ผิงไฟเช่นคืนนี้ ฟืนไม้ขนาดใหญ่กว่าขาคนติดไฟไล่ความหนาวไปได้บ้าง ปกติแล้วจะต้องมีคนมาเปลี่ยนเวร แต่คืนนี้สองหนุ่มจะต้องยิงยาว เพราะมีคนป่วยไข้หลายคนเพราะโดนไอหนาวหรือไม่ก็โดนยุงกัด บ้างก็บอกว่าเป็นไข้ป่า ในยุคสมัยที่สาธารณสุขยังเข้าไม่ถึงเช่นนี้กว่าจะหายก็ใช้เวลากันหลายวัน
สองหนุ่มนั่งผิงไฟมองหน้ากันไปมาคนละฝั่งเหมือนหมาสองตัวที่แยกเขี้ยวใส่กันแต่ก็ไม่มีใครกล้าเริ่มกัดใครก่อน ความเงียบ มืดและวังเวงเช่นนี้ควรรักษาคู่หูไว้มากกว่าจะออกแรงชกต่อยกัน มันไม่ใช่แค่ความวิเวกของความเป็นบ้านนอกเท่านั้นที่ทำให้กลัว ที่น่ากลัวยิ่งกว่าก็คือ ถัดไปอีกไม่ถึงสามร้อยเมตร ทางด้านทิศตะวันตก เป็นป่าช้าของหมู่บ้านที่เพ่งไปก็เห็นแต่ความมืด แค่นี้จินตนาการก็ทำงานอย่างแข็งขันแล้ว สองหนุ่มจึงต้องรักษาระยะห่างไว้ไม่ให้ต้องอยู่คนเดียวในค่ำคืนนี้
ด้วยความที่ดึกและน้ำค้างตกเป็นหยดจนหัวเปียก สองหนุ่มจึงตัดสินใจเดินไปนอนในกระท่อมเล็กๆที่ปลูกไว้ตรงทางเข้าไร่ ฝูงควายเงียบสงบน่าจะหลับไหลเบียดเสียดกันแล้ว กองไฟในคอกมีกลุ่มควันพวยพุ่งเพราะไม่มีใครขยับฟืนให้เข้าหาประกายไฟอีก มีแค่กองไฟที่อยู่ใกล้กับกระท่อมเท่านั้นที่ยังปะทุ
แสก แสก แสก.... นกแสกส่งเสียงร้องจนสองหนุ่มผวาแทบกระโดดกอดกันรอมร่อ ยังดีที่ฉุกคิดได้ว่าไม่ถูกกันอยู่ ด้วยความที่อายุเท่ากัน เห็นกันมาตั้งแต่เด็ก แทนที่จะชอบพอเป็นเพื่อน แต่กลับมาแข่งขันกันจนกลายมาเป็นไม่ถูกกันเช่นวันนี้
“มึงจะขยับมาเบียดกูทำไมนักหนาวะ” นายมีบ่นเสียงดังจนควายในคอกส่งเสียงเหมือนตกใจ
“ก็กูหนาว” นายมานอนตัวงอ เสื้อผ้าที่ใส่นอนที่บ้านช่างไม่เหมาะกับที่นี่ กระท่อมน้อยที่ผนังทั้งสี่ทำมาจากต้นไผ่ตัดเป็นเส้นแล้วเอามาสานทำให้มีรอยโหว่ให้ลมหนาวพัดกรูเข้ามาไม่ขาดสาย จึงไม่แปลกที่หลายต่อหลายคนที่มานอนเฝ้าควายจะล้มป่วยตามๆกัน
“หนาวก็ห่มผ้าสิวะ จะมาเบียดกูทำไม”
“ผ้าห่มก็บางแค่นี้ มันจะช่วยอะไรกูได้วะ” สองหนุ่มถกเถียงกันไม่ลดละ แต่สุดท้ายก็ยอมให้เอาผ้าห่มทั้งสองผืนมาซ้อนกันโดยมีร่างหนาๆของทั้งคู่สอดอยู่ข้างใน
“ตัวมึงแม่งโคตรเย็น”
“เชื่อรึยังล่ะว่ากูหนาวจริงๆ” นายมาขยับไปมาเพื่อหาไออุ่น จนลืมตัวไปว่าไม่ถูกกับคนที่นอนหันหลังให้อยู่
“อย่าดิ้นสิวะ” นายมียังไม่หยุดโวยวาย
“มึงอย่าใจแคบสิวะ กูหนาว”
“มึงหนาวแล้วทำไมไม่เอาเสื้อกันหนาวหนาๆมา ผ้าห่มที่เอามาก็บางยังกะผ้าแพร”
“ก็กูไม่รู้ว่ามันจะหนาวขนาดนี้นี่หว่า ปกติกูนอนกับเมียไม่ต้อง...” นายมาเงียบเมื่อนึกขึ้นได้ว่านายมีก็เป็นคนหนึ่งที่อกหักจากเมียคนสวยของเขา
“ทำไมคนแบบมึงถึงโชคดีนักวะ”
“คนแบบกูนี่แบบไหนวะ” นายมาถามเหมือนโกรธ
“ก็ไอ้คนไม่เอาไหน การงานก็ทำบ้างไม่ทำบ้าง ดีที่ว่ามีเงินมีที่นามีควายเยอะ” นายมีตอบ แต่เหมือนจะบ่นเรื่องวาสนาของตนมากกว่า ฐานะของครอบครัวนายมาสามารถจ้างคนมานอนเฝ้าแทนก็ได้ แต่ก็อย่างที่รู้กันว่าตอนนี้คนป่วยไข้กันเยอะ เลยอับจนหนทางเลี่ยงไม่ได้ ครั้นจะให้พ่อมาก็ใช่ที แก่จนผมขาวไปทั้งหัวแล้ว จะให้วิ่งไล่ตามโจรก็คงไม่ทัน
“กูต้องตอบว่าไงวะเนี่ย”
“ช่างเหอะ” นายมีขดตัว ถึงแม้เสื้อผ้าจะหนากว่าแต่ก็ไม่ได้คลายหนาวมากนัก หน้าหนาวของภาคเหนือมันกรีดลึกถึงขั้วหัวใจ แต่แผ่นหลังอุ่นๆของผู้ชายอีกคนมันก็พอจะช่วยให้อบอุ่นมาได้บ้าง
ท่าทางผู้ชายวัยหนุ่มๆของหมู่บ้านจะพร้อมใจกันป่วย หลังจากผลัดเวรในคืนก่อน สองหนุ่มมีกับมาก็โคจรมาเจอกันอีกครั้ง แต่คราวนี้ดูเหมือนดีกรีความไม่ถูกชะตากันจะลดลงเล็กน้อย เพราะไม่มีการพูดจากกระแทกแดกดันกันแล้ว มีแค่ความมึนตึงใส่กันนิดๆตามประสาคนมีทิฐิ ทั้งคู่ทะเลาะกันมายาวนานจนไม่รู้แล้วว่าพวกเขาโกรธกันเรื่องอะไร
“กูว่าเรื่องที่มึงแย่งหนังยางกู” นายมาเป็นคนตั้งข้อสังเกต สมัยก่อนการเล่นยิงหนังยางเป็นกิจกรรมยอดนิยมสำหรับกลุ่มเด็กๆ มันเป็นหนังยางที่เอาไว้รัดของ หรือถุงใส่ของต่างๆ แต่เด็กๆก็จะเก็บเงินไปซื้อ มีขายเป็นพวงประมาณ 50 เส้น ราคาก็ไม่เกิน 25 สตางค์ ใครมีเงินมากหน่อยก็จะซื้อได้เยอะ แล้วก็เอามาแข่งกันแล้วแต่ว่าจะมากหรือน้อย
กติกาของการยิงหนังยางคือ จะหาไม้เล็กๆขนาดไม่เกินนิ้วก้อยปักที่พื้นดิน เอาหนังยางวางไว้เหมือนให้เหมือนแขวนกับตะปูห้อยตัวลงมา ผู้เล่นจะเลือกลงกันว่ากี่เส้นต่อรอบ แล้วจะมีหนังยางอันโปรดที่เอาไว้ใช้ยิงนั่นแหละเอามาโยนให้ออกห่างจากจุดยิง ใครไกลกว่าได้ยิงก่อน บางวงก็ไม่ได้กำหนดเขตขั้นต่ำว่าจะต้องโยนไปไกลแค่ไหน แต่บางวงก็กำหนดเพื่อไม่ให้คนอื่นโยนใกล้เกินไป เพราะถ้าคนโยนไกลยิงพลาด คนอยู่ใกล้ย่อมมีสิทธิ์มากกว่า
“มึงขี้โกงนี่หว่า ขว้างไปแค่ก้าวนึง แถมตอนกูจะยิงมึงก็ทำกูเสียสมาธิ” นายมีเหมือนจะนึกออกถึงเรื่องที่ผิดใจกัน แค่หนังยางไม่กี่เส้นก็ตีกันแทบตาย แถมยังมีทิฐิลูกผู้ชายไม่มีที่จะยอมเอ่ยขอโทษก่อน
“เรื่องขี้ปะติ๋วโคตรๆ” พวกเขาพากันหัวเราะ เหมือนกันว่าเสียดายเวลาเขม่นกันมาตั้งเกือบ 10 ปี
มอออออออออออออ
“เห้ย อะไรวะ” สองหนุ่มผุดออกจากที่นอนเมื่อฝูงควายพากันส่งเสียงดังลั่น ความมืดมิดทำให้มองไม่เห็นเท่าไรนัก แม้แสงจากตะเกียงก็ไม่ช่วยให้มองภาพได้ชัด ทั้งคู่เลยพากันเดินไปอย่างรีบร้อน ฟางแห้งส่งเสียงกรอบแกรบตามจังหวะถูกย่ำ
“เสียงมาจากไหนวะ” แม้จะมืดมิด แต่ก็ไม่มีคนหรือสัตว์อื่นๆมากร้ำกรายในคอก
“มึงๆ ทางนี้” นายมาเป็นคนลากแขนคู่หูไปทางต้นเสียง
“แม่งเอ๊ย จะตกลูกอะไรตอนนี้วะ” น้ำคร่ำของแม่ควายแตก ท้องกลมโตใกล้คลอดมาหลายวันก็ไม่ยอมออกลูก ดันมาร้องครวญครางคืนนี้
“ควายใครวะเนี่ย” นายมาส่องไฟดูชื่อเจ้าของที่ใช้สีเขียนไว้ “ของลุงกูนี่หว่า”
“ของลุงมึง มึงก็ดูแลไปนะไอ้มา”
“เชี่ย มึงก็ช่วยกูด้วยสิวะ” เมื่อเห็นท่าเหมือนจะโดนทิ้ง นายมาต้องรีบส่งเสียงขอร้อง ถึงแม้จะรู้ว่านายมีจะเข้าไปที่กระท่อมไม่ไกลมากนัก แต่การถูกปล่อยให้อยู่คนเดียวกลางคืนมืดๆวังเวงและใกล้ป่าช้าเช่นนี้คงไม่เป็นเรื่องน่ายินดี
“ทำไมกูต้องช่วยด้วยวะ”
“เออน่ามึง กูขอร้อง มึงอยากได้อะไรเดี๋ยวกูให้” นายมารีบตัดบท สองหนุ่มเลยต้องมาเฝ้าแม่ลูกอ่อนจนมันตกลูกสำเร็จ
“เสื้อผ้าแม่งเปียกไปหมดละ” ยังดีที่พวกเขาถอดเสื้อกันหนาวออก แต่คราบเลือดน้ำคร่ำก็ติดตามตัวจนเปียกอยู่ดี
“เออ เดี๋ยวกูซักให้” นายมาเสนอ “แถมเอารกให้มึงด้วย”
“จริงดิ” รกวัวรกควาย เป็นอาหารชั้นยอดของคนเหนือเลยก็ว่าได้ ยิ่งได้สดๆแบบนี้ยิ่งดีใจใหญ่
“เออ ถอดเสื้อมา” นายมีถอดเสื้อด้วยสภาพหนาวสั่น ปล่อยให้เพื่อนคู่อริจ้วงเท้าไปที่แม่น้ำในยามค่ำมืดอย่างไม่ทัดทาน ถึงแม้จะอยู่ในวัยหนุ่มแน่น แต่อากาศที่หนาวยะเยือกเช่นนี้ก็คงไม่อยากจะทนอยู่เฉยได้