ตอนที่ 9 - คนร้าย
*ก่อนจะอ่านนิยาย โปรดตรวจสอบว่าท่านได้อยู่ในสถานที่ที่มีแสงเพียงพอ หรือถ้าท่านอ่านในความมืดก็อย่าลืมเปิด Night Mode หรือจอส้ม เพื่อป้องกันการปวดหัวและสายตาสั้นด้วยนะครับ*
--------------------------------------------------------------------------------------------
เอมิเลียเองก็ไม่ผิดเหมือนกัน.
เธอไม่ได้คิดเลยว่าคนร้ายจะเป็นสัตว์ มันไม่ได้หนีไปทางพื้นแต่หนีขึ้นไปบนอากาศต่างหาก. เจ้าดาร์คเอล์ฟเลยไม่รู้สึกว่ามีคนผ่านที่ตรอกนั่นไป.
เจ้าเอล์ฟยังคงโดนพันธนาการไว้อยู่ เขาพยายามพูดออกมาอย่างยากลำบากว่า “เจ้าสุนัขรับใช้!”
เอมิเลียจะทำอะไรได้ล่ะ.
เธอไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมรับว่าตัวเองผิดไป.
เธอร่ายเวทย์มนต์ซ่อมพื้นที่แตกออกที่เหลือให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมและพุ่มไม้นั่นด้วย. จากนั้นเธอก็พยายามหาทางแอบกลับเข้าไปในวังตัวเองอีกครั้งพร้อมกับเจ้าดาร์คเอล์ฟ โดยร่ายเวทย์มนต์ทำให้เขาลอย.
โชคดีที่ตอนนั้นดึกมากแล้วจึงไม่ค่อยมีคน.
เธอเอาเจ้าเอล์ฟกลับไปที่ห้องใต้ดินอีกครั้งเพื่อความปลอดภัยของเขา.
“อย่าโกรธไปเลยน่า” เอมิเลียเริ่มปวดหัวขึ้นมา “ชั้นยอมรับว่าชั้นผิดเอง. ชั้นไม่น่ากล่าวหานายเลย. เดี๋ยวชั้นจะพานายไปส่งที่ด้านนอกเองถ้ามีโอกาส โอเคมั้ย?”
“นายเองก็เห็นแล้วหนิว่าที่โบสถ์มีคนคุ้มกันหนาแน่นมาก. นายห้ามออกไปเด็ดขาด. ขอเวลาชั้นหน่อยแล้วเดี๋ยวจะคิดหาทางพาออกไป โอเคมั้ย?”
เอมิเลียรู้สึกมึนๆ เธอเหมือนกับแม่ที่ต้องเลี้ยงดูเด็กดื้อเลย. เด็กที่ทั้งดื้อและซนจนทำให้อารมณ์เสียแทบจะตลอดเวลา. คนที่เป็นแม่จึงทำได้แค่ใจเย็นๆแล้วพูดกับเขาดีๆเท่านั้น.
และเด็กตัวโตที่อยู่ด้านหน้าเธอนี้ก็กำลังมองเธอด้วยสายตาขยะแขยงและประชดประชันอยู่ราวกับจะบอกว่า ‘เสแสร้ง, เสแสร้งเก่งจริงนะ’
เอมิเลียรู้สึกไม่พอใจ.
แต่เธอก็ต้องอดทนไว้แล้วหันไปจัดผ้าปูเตียงให้แล้วกล่าว “ขอแค่แป๊บเดียวน่า ชั้นขอโทษแล้วไง จะเอาอะไรอีก”
“ฮึ่ม!”
เจ้าเอล์ฟดื้อต่อ. เขาไม่อยากคืนดีกับเธอเลยตอนนี้.
ผมสีเงินของเขาเอียงลงมาที่หน้าอกที่ปิดไว้ครึ่งหนึ่งของเขา.
การเกิดมาเป็นเอล์ฟนั้นทำให้มีรูปร่างที่งดงามจริงๆ ทั้งไหล่ที่กว้างและเอวที่บางจนเธอแทบจะโอบมันได้ด้วยมือเดียวเลย.
เอมิเลียจ้องเขาอย่างใจจดจ่อมากแล้วก็เอาผ้าห่มขึ้นมาปกให้.
ที่ใต้ดินนี่หนาวมาก เธอจึงไม่อยากให้เขานอนตัวสั่นทั้งคืน.
“เอางี้” เอมิเลียพูดกับเขา “ชั้นพอจะนึกวิธีพานายออกไปได้แล้ว เพราะงั้นช่วยเลิกด่าและพูดถ่อยๆกับชั้นซักที ได้มั้ย?”
เจ้าเอล์ฟค่อยๆลืมตาขึ้นมาแล้วจ้องไปหาเธอผ่านขนตายาวๆนั่นแล้วร้องหึออกมา.
ตาแก่นี่.
สายตาแบบนั้น, เอมิเลียพยายามกัดฟันไว้แล้วพูดกับเขา “ชั้นเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง มันบอกว่ามีเวทย์มนต์ที่สามารถทำให้คนตัวเล็กลงเท่ากับฝ่ามือได้ด้วย. พอร่ายเวทย์นั้นเสร็จชั้นจะเอานายใส่กระเป๋าแล้วพาออกไป. แต่เวทย์มนต์นี้มันร่ายยากมาก ชั้นเคยเห็นมาแค่แว่บเดียวเอง”
“แล้วเธอมั่นใจรึไงว่ามันจะได้ผล?”
เจ้าดาร์คเอล์ฟหรี่ตาลงแล้วมองดูผู้หญิงผมบลอนด์ที่นั่งอยู่บนพื้น, เธอกำลังอ่านหนังสือแล้วก็เขียนรูนตรงพื้นอย่างเบี้ยวๆ.
เอมิเลียพูดโดยไม่ยกหัวขึ้นมา “พ่อหนุ่ม อย่าถามมากได้มั้ย ใช้ๆไปเหอะน่า”
มันจะ...ได้ผลจริงเหรอ?
พอมองดูวงกลมเบี้ยวๆนั่นแล้ว เจ้าดาร์คเอล์ฟก็อดสงสัยไม่ได้.
ไม่นานเอมิเลียก็ตบมือให้ฝุ่นปลิวออกแล้วยืนขึ้น “เอาล่ะ เสร็จแล้ว. มาสิ มาลองดู”
“ไม่เอาโว้ย. ลองเองสิ!”
ถึงเจ้าเอล์ฟจะปฏิเสธแต่เธอก็ไปลากเจ้าเอล์ฟที่ขยับตัวไม่ได้ลงมาบนพื้นจากนั้นก็เริ่มร่ายเวทย์มนต์ใช้งานวงแหวนนั่น.
เจ้าเอล์ฟ: !!!!!
มีแสงสว่างจ้าขึ้นมา.
เจ้าเอล์ฟสุดหล่อขายาวและตัวสูงหายไปแล้ว.
กลับกันเขากลายเป็นเอล์ฟจิ๋วไปแล้ว เขาดูเหมือนเดิมแต่แค่มีขากับแขนที่เล็กลง และขนาดตัวที่เท่ากับฝ่ามือ. เหมือนกับที่ในหนังสือบอกเปี๊ยบ.
สิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างเดียวก็คือที่หลังเขามีปีกคู่หนึ่งงอกออกมาดูราวกับปีกของจั่กจั่นเลย.
รูปร่างของปีกนั่นดูเหมือนปีกของผีเสื้อที่มีลายสีทองตัดผ่านพื้นหลังสีดำ. ปีกของเขาโบกสะบัดกับสายลมพร้อมกับส่งประกายแสงอ่อนๆออกมา.
เจ้าเอล์ฟลืมตาขึ้นด้วยความประหลาดใจแล้วหันหลังกลับไปดูปีกของเขา แก้มของเขาดูยุ้ยและน่ารักกว่าเดิม.
เอมิเลียดูชอบใจมาก เธอหยิบเจ้าเอล์ฟขึ้นมาบนฝ่ามือ “ดูสิ ถึงมันจะพลาดไปหน่อยแต่ก็ได้ผลนะ. นายกลัวอะไรเล่า?”
เจ้าเอล์ฟกัดฟันจนเสียงฟังชัดมาก “ข้าจะฆ่าเจ้า เจ้าสุนับรับใช้!”
แม้แต่เสียงของเขาเองก็นุ่มนวลลง.
เอมิเลียยกมือขึ้นมากันเจ้าเอล์ฟตี. คนที่เป็นคนคิดเวทย์มนต์นี้สุดยอดจริงๆ. ทั้งคนตัวเล็ก ทั้งความน่ารักรวมกันอยู่ในที่เดียว.
รัก..รักเลย.
จากนั้นเอมิเลียก็ไม่ไปพบทีมลาดตระเวนอีกเลย. ไม่กี่วันหลังจากนั้นก็มีข่าวมาว่าพวกเขาจับตัวคนร้ายเหตุสังหารหมู่ได้แล้ว.
เอมิเลียไม่ได้ไปดูด้วยตัวเองแต่ก็ได้ยินมาว่ามันเป็นเหยี่ยวยักษ์ที่ดุร้าย ดูไม่ต่างกับมนุษย์ด้วยแต่แค่มันมีปีกเท่านั้น สิ่งที่ทำให้มันดูต่างจากมนุษย์ก็คือมือของมันเป็นปีก.
“ถึงว่าล่ะหน่วยลาดตระเวนหาตัวมันไม่เจอซักที คดีนี้เป็นคดีที่แปลกประหลาดจริงๆ”
ริต้ากำลังนั่งอยู่ข้างเอมิเลียพร้อมกับโบกพัดขนนกในมือไปมาเบาๆ สีหน้าของเธอก็ยังคงดูหยิ่งและเฉยชาดังเดิม “ชั้นได้ยินมาว่าท่านโป๊บมอบงานนี้ให้เธอจัดการ โชคดีที่ทีมลาดตระเวนยังพอมีประโยชน์อยู่บ้าง เธอเลยไม่เสียเวลามากมาย”
(ท่อนนี้ผมให้ริต้ากลับมาพูดกับเอมิเลียแบบเพื่อนเหมือนเดิมนะครับ เพราะคิดว่าเอมิเลียมีตำแหน่งหัวหน้า ไม่ใช่โป๊บเลยไม่ต้องสุภาพมาก)
ตั้งแต่ที่เธอมาให้เอมิเลียช่วยครั้งก่อน ริต้าจึงไปรวบรวมหลักฐานและรายชื่อของพวกบิช้อปที่รับเงินใต้โต๊ะให้สภาจัดการ จากนั้นเธอก็ไปคุกเข่าต่อหน้ารูปปั้นพระเจ้าแห่งแสงตลอด3วัน3คืนเพื่อไถ่บาปของเธอ.
พอเธอหมดสติไปตรงนั้น โป๊บก็ให้อภัยเธอและอณุญาตให้เธออยู่ต่อได้ในฐานะเซ็นต์.
หลังจากเหตุการณ์นี้ ริต้าดูจะเปลี่ยนไปหน่อยๆ, เธอดูไม่ทำตัวเด่นเหมือนเดิมและไม่สนใจคนอื่นๆด้วย.
พอได้ยินที่เธอพูด เอมิเลียก็รู้สึกอายหน่อยๆ “ไม่หรอก ชั้นแค่ไปตรวจตรานิดเดียวเอง. พวกเขาต่างหากที่ทำหน้าที่ได้ดี ชั้นควรไปขอบคุณพวกเขา”
“ทำไมล่ะ?” ริต้าเอาพัดมาบังสีหน้าประหลาดใจของเธอไว้แล้วกล่าวต่อ
“เธอเป็นหัวหน้าเซ้นต์นะ! เธอต้องคิดถึงสถานะตัวเองบ้างสิ ไม่เห็นจะต้องลงทุนไปขอบคุณอัศวินพวกนั้นเลย พวกนั้นก็แค่ขี้ข้านะ! พวกเขาทำงานให้เธอก็ถูกแล้วหนิ ถึงเธอจะไม่ค่อยได้ทำอะไรก็ตาม ถ้าไม่มีเธอคอยคุมล่ะก็ พวกเขาจะจับฆาตกรได้เร็วขนาดนี้ได้ยังไงกัน?”
เอมิเลียคิดในใจ “ชั้นไปคุมอะไรตอนไหน???”
เธอพูดไม่ออกไปซักพัก.
เจ้าดาร์คเอล์ฟที่คดตัวอยู่ในกระเป๋าเธอก็ขยับตัวแล้วหันมาประชดใส่.
‘ดูซิๆ นี่น่ะหรอพวกมือถือสาก ปากถือศีล’
ยัยผู้หญิงคนนี้จะเป็นคนแบบไหนก็ช่าง มันไม่เกี่ยวอะไรกับเขาอยู่แล้วหนิ.
เจ้าดาร์คเอล์ฟหลับตาลงต่อ.
เสียงหัวใจเต้นอย่างช้าๆของผู้หญิงคนนั้นดังก้องหูเขาไปหมดเพราะความสามารถในการได้ยินที่เยี่ยมยอดของเขา.
ร่างกายของเขาแนบชิดกับตัวของเอมิเลียมาก มีแค่ผ้าบางๆกั้นไว้เท่านั้น. เขารู้สึกถึงความร้อนจากตัวเธอได้ด้วยซ้ำ พร้อมๆกับกลิ่นหอมของผู้หญิง.
“ฮัดเช้ย!”
เจ้าเอล์ฟจามออกมาแล้วเอามือป้องจมูกไว้.
แค่อยู่ใกล้นางก็เหม็นมากๆแล้วนี่ยิ่งมีกลิ่นฉุนหอมๆอีก กลิ่นหอมและเหม็นมันปนกัน แย่หนักกว่าเดิมอีก.
เขาคิดว่าควรจะบอกเธอให้ถูตัวก่อนจะออกไปไหนมาไหนซะบ้าง. เขาบีบจมูกอย่างแรงรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออกเลย.
จากนั้นเธอก็ลุกขึ้นแล้วรีบเดินอย่างรวดเร็ว จนเจ้าเอล์ฟในกระเป๋าเด้งขึ้นลง.
เธอเดินอยู่นานมาก พอหยุดลงเจ้าเอล์ฟก็รู้สึกโมโหขึ้นมา.
ตรงนี้กลิ่นเหม็นของแสงสว่างยิ่งแรงขึ้นไปอีก ราวกับว่าเขาถูกเวทย์มนต์แห่งแสงล้อมไว้เลย.
เจ้าดาร์คเอล์ฟปิดประสาทกับรับกลิ่นของตัวเองลงแล้วปล่อยจมูกแดงๆนั่นออก.
“ฝ่าบาท, ดิชั้นมาเพื่อรายงานการดำเนินงานค่ะ”
“เรื่องเหตุสังหารหมู่ที่ตลาดทาสนั้น ทีมลาดตระเวนได้พบตัวคนร้ายแล้วค่ะ”
“เราได้ข่าวแล้วล่ะ เอมิเลีย” ชายชราคนนั้นแตะไหล่เอมิเลียพร้อมกับเสียงที่อ่อนโยนขึ้นเรื่อยๆ.
“เธอทำได้ดีมาก, งานแรกนี้เธอทำได้ดีจริงๆ ไขคดีหดหู่ได้เร็วแบบนี้ ความดีความชอบเป็นของเธอทั้งหมดเลย. คราวหน้าเธอคงไปไหนมาไหนและทำอะไรได้สะดวกมากว่าเดิมแล้วล่ะนะ”
“แล้วเหล่าทีมลาดตระเวนล่ะคะ? พวกเขาจะได้รับรางวัลด้วยหรือไม่?” เสียงของเธอเริ่มสั่น.
“แน่นอน, อีกไม่กี่วันพวกเขาจะได้รับเงินพิเศษเพิ่ม”
แค่เงินโบนัสเองหรอ?
เอมิเลียเม้มปาก. เธอรู้ดีว่าเหตุสังหารหมู่ภายใต้การมองดูของพระเจ้านี้ส่งผลกระทบมากแค่ไหน. ผู้ใดที่สะสางมันใดย่อมต้องได้รับการยกย่องว่าเป็นวีรชนอย่างแน่นอน.
และเธอก็รู้ด้วยว่าคนในหน่วยลาดตระเวนเสียชีวิตไปแค่ไหนเพื่อที่จะจับเจ้านกบ้านั่น.
หลายๆคนอาจจะถูกมันกลืนลงท้อง แม้แต่ศพก็หาไม่ได้.
โป๊บยกความดีความชอบทั้งหมดให้เธอ ขณะที่อัศวินผู้กล้าหาญยอมตายเพียงเพื่อจะได้เงินพิเศษเพิ่มเนี่ยนะ. ชื่อของพวกเขาไม่แม้แต่จะถูกจารึกไว้ในศิลาความดีเลย, ไม่แม้แต่พวกชาวบ้านจะรู้ด้วย.
เหล่าอัศวินที่ยอมตายเพื่อคนอื่นๆก็จะตายไปอย่างเงียบๆแค่นั้นหรอ.
เอมิเลียยอมรับไม่ได้.
ดังนั้นเธอจึงสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วกล่าวอย่างองอาจ “ขอเดชะฝ่าบาท, หม่อมชั้นขอคัดค้านเพคะ”
“ในคดีนี้นั้นกระหม่อมเพียงแค่ไปตรวจตาเท่านั้น. การสืบหาตัว,ออกลาดตระเวนและจับกุมคนร้าย ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นผลงานของทีมลาดตระเวน. หม่อมชั้นมิได้มีความชอบแต่อย่างใดเลย, ไม่แม้แต่จะยื่นมือเข้าช่วยเหลือด้วยซ้ำ. โดยเฉพาะอัศวินที่เสียชีวิตเหล่านั้น พวกเขาคือวีรบุรุษที่แท้จริงเพคะ”
“เกล้ากระหม่อมขอพระองค์ทรงเมตตา พระราชทานเกียรติยศให้แด่ผู้ที่สมควรจะได้รับ มิใช่เกล้ากระหม่อมที่มีสถานะสูงกว่าด้วยเถิด”
เอมิเลียคุกเข่าลง.
เธอก้มตัวไปข้างหน้าและหัวใจของเธอก็เต้นรัวจนแทบจะชนกับเจ้าดาร์คเอล์ฟ.