ตอนที่แล้วEp.887 - รับรางวัล
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปEp.889 - ความยากลำบากในการยกระดับ

Ep.888 - ประชุมหลังสงคราม


4/4

Ep.888 - ประชุมหลังสงคราม

หลังจากเหตุการณ์โห่ร้องยินดีของชาวเมือง มิใช่งานเฉลิมฉลองด้วยการร้องรำทำเพลงแต่อย่างใด ตรงกันข้าม มันคือการช่วยเหลือซ่อมแซมผลพวงจากหายนะที่เพิ่งผ่านพ้นไป

มีกระทั่งผู้คนที่ต้องการค้นหาศพญาติและมิตรสหายใต้ซากปรักหักพัง เมื่อนำไปประกอบพิธีค่อยมีการสร้างอนุสรณ์สถานในภายหลัง เห็นได้ชัดว่าเมืองหลวงมังกรใส่ใจผู้คนเป็นอย่างมาก

ฉินเฟิงในฐานะวีรบุรุษในครั้งนี้ ตัวเขาได้รับรางวัลเกียรติยศขึ้นเป็นจอมพล และหลังจบการต่อสู้ รางวัลที่มีค่ายิ่งกว่า มากเกินจะจินตนาการกำลังรอเขาอยู่

ภายในคฤหาสน์บนชั้น 10 ของเมืองหลวงมังกร เลเวล S ทั้งห้าคนที่รวมกันสู้ในสงครามครั้งล่าสุด ได้มารวมตัวกัน ส่วนที่เหลืออีกสองคน เป็นผู้ใช้พลังเลเวล A ฉินเฟิงกับไป๋หลีนั่นเอง

ด้วยความแข็งแกร่ง และผลงานของฉินเฟิงในศึกนี้ เพียงพอแล้วที่จะให้เขาเข้าร่วมประชุม

“อะแฮ่ม! ท่านเจ้าเมือง รีบประชุมเถอะ อาการบาดเจ็บของฉันค่อนข้างร้ายแรง ต้องรีบกลับไปพักผ่อน” หวันชิชางกล่าวพลางยกฝ่ามือลูบวนๆบนหน้าท้องตัวเอง

แน่นอน แม้แสดงท่าทีเช่นนี้ แต่สายตาของเขา กลับจับจ้องไปยังของเจ็ดสิ่งบนโต๊ะที่รายล้อมไปด้วยผู้คนมากมายอย่างตะกละตะกลาม

บนโต๊ะคือของเจ็ดชิ้นที่มีรูปลักษณ์แตกต่างกันออกไป ทว่าอัญมณีที่ฝังไว้บนทุกชิ้นมีลักษณะเหมือนกัน

เป็นอัญมณีขนาดเท่าไข่ไก่ เปล่งแสงสีเทาเงิน แม้ให้ความรู้สึกคลุมเครือ แต่ทุกคนต่างทราบดีว่าสิ่งนี้คืออะไร

--ศิลามิติ!

อย่างไรก็ตาม ศิลามิติของฉินเฟิงและคนอื่นๆ ในเรื่องขนาดไม่สามารถเทียบเปรียบกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้เลย ศิลามิติเหล่านี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้กันเฉพาะในเผ่ามังกร จากทั้งร่างของเผ่ามังกรเจ็ดตน ค้นพบเพียงสิ่งนี้เท่านั้น

หรืออีกความหมายนึงก็คือ ภายในศิลามิติแต่ละก้อน จะต้องมีพื้นที่มิติใหญ่มากแน่ๆ

แล้วข้างในจะมีสมบัติอะไรอยู่? เรื่องนี้แม้ยังไม่มีใครพูด แต่พวกมันจะต้องถูกนำมาเป็นสินสงคราม

แต่หลงถิงกลับยังไม่รีบร้อนแจกจ่ายให้ทุกคน เธอหันมาเอ่ยถามบางคำถามกับฉินเฟิง

“พวกเผ่ามังกรที่บุกมาก่อนหน้านี้ ทำไมพวกมันถึงปรากฏตัวขึ้นบนยอดหอคอยประตูมังกร?”

ฉินเฟิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เอาจริงๆเขาค่อนข้างมีความสัมพันธ์ที่ดีกับหนานกงชิ แต่เรื่องที่หนานกงเฟยหยางก่อในครั้งนี้ ถือเป็นหายนะครั้งใหญ่ ต่อให้เขาคิดปกปิดมัน เกรงว่าจะไม่สามารถทำได้

ด้วยเหตุนี้ ฉินเฟิงเลยบอกเล่าเล็กน้อยเกี่ยวกับเรื่องราวของหนานกงเฟยหยาง

สีหน้าของทุกคนเริ่มหนักอึ้งจริงจัง กระทั่งหวันชิชางที่ขอตัวจากไปในตอนแรก ยังไม่เร่งเร้าอีกต่อไป

ฉินเฟิงเห็นสีหน้าของทุกคน ก็เอ่ยบอกสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจ “ปีที่แล้วตอนผมเดินทางเข้าไปในดินแดนล่มสลายของเผ่าวิญญาณ ผมเคยพูดคุยกับลูกรักของพระเจ้าเผ่าพันธุ์ต่างมิติมาบ้างเหมือนกัน และพวกมันต้องการจับตัวผม เพื่อให้ผมเปิดเผยพิกัดมิติ แต่สุดท้ายพวกมันทั้งหมดถูกผมฆ่าตาย ... ผมเลยอยากจะรู้ ว่ามิติของพวกเรา มี ‘จ้าวเหนือหัว’* อยู่ไหม และเขาสามารถปกป้องเราได้รึเปล่า?”

*ในที่นี้หมายถึงคนที่แข็งแกร่งที่สุดในมิติ

สีหน้าของหลงถิงแปรเปลี่ยนไป เธอไม่นึกเลย ว่าในปีที่แล้วจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น

“เรื่องเกี่ยวกับจ้าวเหนือหัว …” หลงถิงจริงๆแล้วไม่อยากคุยเรื่องนี้กับฉินเฟิง แต่ด้วยความแข็งแกร่งอันน่าตกใจของอีกฝ่าย ใช่ว่าเขาจะไม่มีสิทธิ์ล่วงรู้ความลับนี้

“จ้าวเหนือหัว ไม่ใช่อะไรที่จะบอกคนทั่วไปได้ง่ายดายขนาดนั้น!” จู่ๆหลี่เซียวก็แทรกขึ้นมาอย่างกะทันหัน สองตาหรี่แคบลง จับจ้องฉินเฟิง ปรากฏร่องรอยของความเป็นปรปักษ์ที่แทบไม่อาจสังเกตได้ในแววตาของเขา

“ยังไงก็ตาม ในการต่อสู้ที่ผ่านมา ฉันได้เห็นว่ากำลังภายในของจอมพลฉินเปลี่ยนสถานะเป็นของแข็งแล้ว … กำลังภายในของจอมพลฉินได้มาถึงเลเวล S แล้วใช่ไหม!”

การศึกครั้งนี้ เป็นเรื่องไม่คาดฝัน ทั้งหากพลาดพลั้งจะเกิดหายนะใหญ่ขึ้น ดังนั้นฉินเฟิงจำต้องระเบิดพลังทั้งหมดที่เขามี ต่อให้ทุกคนไม่เห็นดวงดารามาก่อน , ต่อให้คนในที่นี้ไม่ใช่ผู้ใช้วรยุทธโบราณเลเวล S หรือต่อให้พวกเขาไม่รู้ว่ากำลังภายในที่เปลี่ยนสถานะเป็นของแข็งคืออะไร แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ ในฐานะตัวตนทรงอำนาจเลเวล S ทุกคนรู้สึกได้ถึงความผิดปกติจากฉินเฟิง

ฉินเฟิงไม่คิดปกปิดมัน พยักหน้ายอมรับโดยตรง “ใช่ครับ”

คนอื่นๆพอได้รับคำยืนยัน แม้พวกเขาจะเตรียมใจมาแล้ว แต่ก็ยังอดทึ่งไม่ได้

กำลังภายในเปลี่ยนสถานะเป็นของแข็ง เทียบเท่ากับตัวตนทรงอำนาจเลเวล S แต่ตอนนี้ฉินเฟิงอายุเท่าไหร่กัน?

เขายังเยาว์วัยนัก นับตั้งแต่ฉินเฟิงปลุกพลังจนถึงปัจจุบัน ทุกอย่างเพิ่งผ่านพ้นไปสามปีเท่านั้น

ยังเป็นวัยรุ่นอายุ 19 ปีอยู่เลย

“สำหรับเรื่องนี้ ฉันหวังว่าทุกคนที่นี่ จะเก็บมันเป็นความลับ ฉินเฟิงคืออนาคตของหัวเซี่ยของฉัน นอกจากนี้ยังเป็นดวงดาวที่โดดเด่นในอนาคตของมิติทั้งหมดทั้งมวล ฉันไม่ต้องการให้เขาประสบวิกฤตใดๆระหว่างกำลังก้าวเดินอยู่ในเส้นทางแห่งการเติบโต ”

“เรื่องนั้นแน่นอนอยู่แล้ว เพราะฉันเองก็มีทัศนคติที่ดีกับเพื่อนตัวน้อยฉิน คอยจับตาดูเขามาตั้งนานแล้ว” หลงหยุนอี้กล่าว

หวันชิชางหัวเราะ “ฉินเฟิง ฉันยังติดหนี้บุญคุณคุณ แต่ขอเวลาพักฟื้นสักนิด เอาไว้อีกไม่กี่วันให้หลัง ฉันจะพาคุณไปดูห้องสมบัติของฉัน พร้อมอนุญาตให้คุณหยิบอะไรก็ได้ออกไปได้เลยชิ้นหนึ่ง!”

หลี่เซียวหรี่ตาลงเล็กน้อย แต่ไม่กล้าเปิดเผยจิตสังหารออกมา

นั่นเพราะหลี่เซียวมีแนวโน้มเป็นไปได้สูง ที่จะกลายเป็นการดำรงอยู่ที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างจ้าวเหนือหัว ไม่เพียงแค่นั้น แม้ทางเมืองหลวงมังกรจะทราบถึงความทะเยอทะยานของตระกูลหลี่ แต่ก็ยังคงมอบทรัพยากรให้กับหลี่เซียวเพื่อส่งเขาถึงตำแหน่งจ้าวเหนือหัว

ทว่าตอนนี้ จู่ๆกลับมีขุมกำลังใหม่อย่างฉินเฟิงโผล่ออกมา เกรงว่านับจากนี้ไป คนอื่นๆจะหันมาใส่ใจฉินเฟิงมากขึ้น

กระทั่งนักธุรกิจอย่างหวันชิชาง ยังไม่ยึดติดกับผลกำไรอีกต่อไป เชื้อเชิญอีกฝ่ายหยิบฉวยสมบัติของตนอย่างยินดี

คุณสามารถจินตนาการดูได้ ว่าฉินเฟิงกลายเป็นที่นิยมชมชอบขนาดไหน

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องจริงที่ว่าทุกคนในที่นี้ ทั้งหมดล่วงรู้เรียบร้อยแล้ว ว่ากำลังภายในของฉินเฟิง มิใช่ดาราเพียงดวงเดียว แต่มีมากกว่าหนึ่ง ก็แค่ในการต่อสู้ครั้งก่อน พวกเขาไม่มีเวลามากพอที่จะตรวจสอบมันก็เท่านั้นเอง แต่สำหรับเรื่องนี้ หลี่เซียวไม่มีความคิดที่จะเอ่ยถาม

ความลับนี้ ฉินเฟิงก็ไม่คิดเอ่ยปากเช่นกัน แม้ทุกคนจะรู้ว่าฉินเฟิงมีดวงดารามากกว่าหนึ่ง ก็แล้วไง? พวกเขาสามารถทำอะไรได้? ตรงกันข้าม ยิ่งทำให้หลงถิงลำเอียงมากขึ้นเท่านั้น

หลงถิงยังรู้ว่าควรจบหัวข้อสนทนาลงเมื่อไหร่ เอ่ยปากว่า “เอาล่ะ เรื่องนี้ไว้พวกเราค่อยพูดกันอีกทีในภายหลัง”

“การต่อสู้ครั้งนี้ ฉินเฟิงกับมิสไป๋หลีทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ฉินเฟิงสามารถสังหารเผ่ามังกรเลเวล S ได้ถึงสองตัว และยังเป็นคนสกัดกั้นการหลบหนีของเผ่ามังกรตัวสุดท้าย ความดีความชอบนี้ย่อมตกเป็นของเขา”

“และเนื่องจากมิสไป๋หลีช่วยรักษาเสถียรภาพของมิติให้แล้ว ฉันเชื่อว่าแม้เผ่าพันธุ์ต่างมิติอื่นจะยังครอบครองตัวเชื่อมมิติอีกสองชิ้นไว้ในมือ แต่พวกเขาคงไม่สามารถเปิดมิติมายังที่นี่ได้ชั่วคราว”

“พิกัดมิติหากคลาดเคลื่อนเพียงเล็กน้อย อาจเดินทางผิดไปนับพันลี้ ฉันไม่รู้เรื่องเทคโนโลยีของเผ่าพันธุ์อื่น ว่าจะใช้เวลานานแค่ไหนถึงสามารถแกะรอยมิติของพวกเราได้ แต่ยิ่งล่าช้าเท่าไหร่ยิ่งดี  และที่พวกเราสามารถชะลอหายนะเอาไว้ได้ ต้องขอบคุณมิสไป๋หลีที่ซื้อเวลาให้ ดังนั้น … อุปกรณ์มิติทั้งเจ็ดชิ้นนี้ ขอแบ่งเป็นหนึ่งชิ้นต่อหนึ่งคน!”

อันที่จริงแล้ว ผู้คนทั้งหมดในที่นี้ล้วนเป็นเลเวล S เลยเป็นธรรมดาที่พวกเขาจะตระหนักได้ว่าไป๋หลีเป็นสัตว์ร้ายในคราบมนุษย์ แล้วก็รู้อีกเช่นกัน ว่าไป๋หลีมิแคล้วทำพันธะสัญญากับฉินเฟิง ดังนั้น แทนที่จะพูดว่าคนละหนึ่งชิ้น เอาจริงๆควรพูดว่าให้ฉินเฟิงคนเดียวสองชิ้นมากกว่า

และการลำเอียงในครั้งนี้ เป็นแค่การเริ่มต้นเท่านั้น หากคิดเป็นตัวตนทรงอำนาจเลเวล S คุณจะต้องรู้จับควบคุมอารมณ์และอดกลั้น ดังนั้นไม่มีใครคัดค้านเรื่องนี้

ฉินเฟิงไม่ลังเล ในเมื่ออยากให้เขา ฉะนั้นทำไมเขาต้องเกรงอกเกรงใจด้วย!

ฉินเฟิงไม่เพียงไม่เจียมเนื้อเจียมตัว แต่เขายังไม่ยอมเสียเปรียบ!

“ที่รัก เธอเลือกให้ฉันที” ฉินเฟิงพยักพเยิดคางไปทางโต๊ะ

หากเป็นคนอื่นๆ พวกเขาอาจยังไม่ทราบว่ามีอะไรอยู่ในพื้นที่มิติ ดังนั้นไม่เลือกมาก แต่ไป๋หลีเป็นสัตว์ยักษ์มิติ เธอสามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจน ว่าสมบัติมีค่าที่สุดอยู่ในศิลามิติชิ้นใด

“งั้นฉันขอสองก้อนนี้!” ไป๋หลีเหยียดแขน ใช้พลังสมาธิควบคุมสร้อยคอมิติสองเส้น เรียกมันลอยเข้ามาในมือเธอ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด