ตอนที่ 15 หุบเขาไร้ตะวัน
ตอนที่ 15
หุบเขาไร้ตะวัน
ดวงอาทิตย์อัสดงเปล่งประกายทอแสงสีส้มอมแดงสว่างไสวบริเวณหน้าผาขนาดใหญ่ที่มีหนึ่งศิษย์หนึ่งอาจารย์กำลังยืนพลางใช้สายตาทั้งสองมองต่ำลงไปด้านล่างหน้าผาที่มีแต่ความมืดไร้ที่สิ้นสุด
สถานที่แห่งนี้คือหุบเขาไร้ตะวันที่เป็นที่อยู่ของหมอเทวะผู้เลื่องชื่อภายในยุทธภพ ตอนนี้เพราะเหตุว่าลู่หานต้องการค่ายกลจ้าวพฤกษาเพื่อเร่งการเจริญเติบโตของพืชพันธุ์ที่เขาปลูก จึงต้องเดินทางมาที่แห่งนี้ตอนนี้คัมภีร์ค่ายกลพฤกษามันอยู่ในมือของหมอเทวะ
ยามแรกลู่หานคิดจะตัดใจไปแล้วเกี่ยวกับเรื่องค่ายกลชนิดนี้แต่เมื่อผู้เป็นอาจารย์ของเขาบอกว่าจะช่วยเหลือลู่หานก็เริ่มมีความหวังขึ้นมา
นักเขียนเคยบรรยายเกี่ยวกับหุบเขาไร้ตะวันเอาไว้ว่าเมื่อมองจากด้านบนมืดมิดไร้แสงสว่างจะส่องถึงแต่ด้านล่างสว่างไสวราวกับยามกลางวัน
เมื่อมาพบเห็นกับตาลู่หานก็ไม่รู้เหมือนกันว่าด้านใต้มันจะสว่างไสวเหมือนสิ่งที่นักเขียนได้อธิบายเอาไว้หรือเปล่า แต่มองจากด้านบนเขาไม่เห็นแสงสว่างเลยสักนิด
“ที่แห่งนี้คือหุบเขาไร้ตะวันจริงงั้นรึขอรับท่านอาจารย์” ลู่หานได้ใช้สายตามองต่ำลงไปด้านล่างก็หันไปถามผู้เป็นอาจารย์ที่อยู่ด้านหลัง
“ไม่ผิด!!! ไม่ผิด!!!! สถานที่แห่งนี้คือหุบเขาไร้ตะวัน เอาละลงไปกันเถอะเจ้าแปด” หวังเซียนฉิงไม่รีรอที่จะจับคอเสื้อศิษย์ของตนเองอีกครั้งแล้วพากันกระโดดลงไปด้านล่างอย่างรวดเร็ว
ร่างของหนึ่งศิษย์หนึ่งอาจารย์จมดิ่งสู่ความมืดอันไร้ที่สิ้นสุด ใบหน้าของลู่หานบัดนี้เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกเขาทำอันใดไม่ได้มองไม่เห็นอันใดรู้สึกเพียงแต่ว่าร่างกายของตนเองกำลังตกลงไปด้านล่างอย่างรวดเร็วก็เท่านั้น
ความรู้สึกรักตัวกลัวตายเขาก็มีอยู่หรอกแต่เมื่ออยู่กับท่านอาจารย์ของเขาที่เป็นถึงมหาปราชญ์แห่งยุคผู้อยู่มานานหลายแสนปีเขาก็วางใจได้ระดับหนึ่งว่าชีวิตของเขาจะไม่จบลงตรงนี้
ร่างของทั้งสองนั้นพุ่งผ่านม่านความมืดลงไปด้านล่างอย่างรวดเร็ว และแล้วความมืดด้านบนมันก็เหมือนกับม่านลวงตาที่ปรากฏขึ้นจริงๆ
ตอนนี้ดวงตาทั้งสองข้างของลู่หานมองเห็นอันใดบางอย่างแล้ว ด้านล่างของเขาเริ่มมีแสงจากบางอย่างสว่างไสวขึ้นมา
ฟิ้ว!!! ตูม!!! เสียงนั้นดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งใต้หุบเขาอันเงียบงันแห่งนี้ ใบหน้าของลู่หานบัดนี้เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกเขาคิดว่าเขาจะไปโลกหน้าแล้วเสียอีก
เสียงเมื่อครู่มันดังขึ้นเรากับเสียงระเบิดแต่ต้นตอของเสียงนั้นมันคือฝ่าเท้าทั้งสองของชายชราที่สวมใส่อาภรณ์สีดำทมิฬประหนึ่งขนอีกากระทบลงสู่พื้นดินอย่างรุนแรง
แขนข้างนึงยกร่างของศิษย์เอาไว้เหนือพื้นเพียงเล็กน้อยเพื่อไม่ให้ศิษย์ของตนเองบาดเจ็บ สองเท้าของมหาปราชญ์แห่งยุคกระทบลงที่พื้นดินด้วยความรุนแรงเกิดเป็นหลุมขนาดใหญ่รอบกาย
หวังเซียนฉิงปล่อยร่างของศิษย์ตนเองในมือลงไปกับพื้น ครั้งนี้ลู่หานนอนนิ่งมีเม็ดเหงื่อมากมายไหลซึมออกมาบนใบหน้าบัดนี้ราวกับว่าเขานั้นได้ก้าวผ่านพ้นความตายมาเมื่อครู่
“ลุกขึ้นได้แล้วเจ้าแปด..”
เมื่อเสียงของผู้เป็นอาจารย์เอ่ยดังขึ้นมาลู่หานที่นั่งนอนอยู่ที่พื้นก็พยายามจะตั้งสติของตนเองแล้วลุกขึ้นจากพื้น
เมื่อลุกขึ้นมาสองตาก็กวาดมองรอบกายสถานที่แห่งนี้มันคือใต้หุบเขาไร้ตะวันจริงๆงั้นรึ ความมืดมิดที่มันควรจะคงอยู่ใต้หุบเขานี้กลับหายไปหมดเพราะแสงจากหิ่งห้อยเล็กๆมากมายสว่างไสวราวกับดวงดาวมากมายที่ล่องลอยอยู่ภายในอากาศ
มันเป็นทัศนียภาพที่ช่างงดงามด้านใต้นี้สว่างไสวราวกลับด้านบนจริงๆตามที่บทนิยายได้บรรยายเอาไว้ ทัศนียภาพรอบกายมันงดงามมากเสียจนลู่หานต้องมองซ้ำหลายครั้งต่อหลายครั้ง
แต่หลังจากกวาดสายตามองไปรอบๆก็พบเข้ากับบ้านหลังนึงที่มีขนาดไม่ใหญ่มากนัก มันเป็นบ้านที่โดยรอบมีต้นไม้ขนาดใหญ่และแปลงพืชพันธุ์สมุนไพรวิญญาณถูกปลูกเอาไว้จนใหญ่โต
เมื่อเห็นลักษณะและพื้นที่ของบ้านหลังนั้นลู่หานนั้นล่วงรู้ได้ทันทีว่าบ้านหลังนั้นเป็นบ้านของท่านหมอเทวะ หม่าซุนเยี่ย
ภายใต้หุบเขาไร้ตะวันแห่งนี้มันมีเพียงหมอเทวะผู้เดียวเท่านั้นที่อาศัยอยู่ เขาเป็นผู้ฝึกยุทธสายการแพทย์ผู้หนึ่งที่เก่งกาจในด้านการหลอมยาและรักษาคนจนดินแดนทั้งสามของเผ่ามนุษย์ยอมรับให้ขึ้นกลายเป็นหมอผู้เก่งกาจที่สุดภายในดินแดนมนุษย์
“เอาละเข้าไปกันเถอะ..” หวังเซียนฉิงเดินนำหน้าศิษย์ของตนเองไปอย่างรวดเร็ว ลู่หานเองก็รีบเร่งฝีเท้าของตนเองตามไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน
เมื่อเดินไปถึงบริเวณบ้านของท่านหมอเทวะ บริเวณนี้เต็มไปด้วยพืชพันธุ์และสมุนไพรหายากมากมาย เมื่อเห็นเช่นนี้ลู่หานก็ไม่ประหลาดใจเลยสักนิดที่นี่คือบ้านของหมอผู้เก่งกาจที่สุดในดินแดนมนุษย์จะไม่ให้มีของหายากมากมายเช่นนี้ก็กระไรอยู่
หนึ่งศิษย์หนึ่งอาจารย์เดินผ่านสวนสมุนไพรขนาดใหญ่ไปหยุดอยู่ตรงหน้าประตูบ้านหลังเล็กๆของหม่าซุนเยี่ย
“ตะโกนเรียกไหมขอรับท่านอาจารย์” ลู่หานเอ่ยถาม การจะมาเรือนผู้อื่นก็ควรจะตะโกนเรียกก่อนจะย่างกายเข้าไปตามมารยาท
กระนั้นบนใบหน้าของหวังเซียนฉิงก็ปรากฏรอยยิ้มอันมีเลศนัยออกมา ก่อนที่ขาข้างหนึ่งของมหาปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่จะยกขึ้นแล้วออกแรงถีบเข้าไปที่ประตูเบื้องหน้าที่ปิดอยู่อย่างรุนแรง
ปั้ง!!! เพียงแรงถีบพาให้ประตูนั้นกระเด็นหลุดเข้าไปด้านใน
“เข้าไปกันเถอะเจ้าแปด” หวังเซียนฉิงเดินนำศิษย์ของตนเองเข้าไปอีกครั้งแต่ครั้งนี้ลู่หานไม่ปล่อยโอกาสที่จะได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างชัดเจนเขารีบย่างกายเข้าไปตามผู้เป็นอาจารย์ทันที
เมื่อเข้าไปก็พบเห็นกลับร่างชายชราผู้หนึ่งที่มีร่างกายอวบอิ่มกำลังดีสวมใส่อาภรณ์สีขาวที่เป็นสีเดียวกับผมและหนวดเครา ชายชราผู้นั้นกำลังจดจ่ออยู่กับเตาหลอมยาเบื้องหน้าเมื่อได้ยินเสียงบางอย่างดังลั่นขึ้นมามันก็หันมองด้านหลังด้วยความตระหนก
ลู่หานที่มองเห็นใบหน้าและท่าทางของชายผู้นั้นเขาก็รู้ได้ทันทีว่าชายชราผู้นี้คือ หม่าซุนเยี่ย ท่านหมอเทวะที่เขาตามหา
ใบหน้าของหม่าซุนเยี่ยตื่นตระหนกทันทีเมื่อเห็นชายชราที่สวมใส่อาภรณ์สีดำทมิฬประหนึ่งขนของอีกาย่างกายเข้ามาภายในเรือนของมันอย่างไม่ได้รับอนุญาติ ปากของมันนั้นเปิดออกมาพลางเปล่งเสียงดังลั่น “ตาแก่หวังมาได้เยี่ยงไร!!!!”
หม่าซุนเยี่ยและหวังเซียนฉิงรู้จักกันพอสมควรการที่หม่าซุนเยี่ยจะเรียกมหาปราชญ์แห่งยุคว่าตาแก่ก็ไม่แปลกอันใดเพราะเมื่อลองนับจากอายุแล้วทั้งสองมีอายุห่างกันร่วมแสนปี แม้ว่าใบหน้าและท่าทางมันออกจะเป็นคนรุ่นเดียวกัน
ชายชราที่สวมใส่อาภรณ์สีดำประหนึ่งผลของอีกาที่ย่างกายเข้ามาเมื่อเห็นร่างของหม่าซุนเยี่ยอยู่ห่างออกไปสุดสายตาก็เคลื่อนกายมุ่งเข้าไปอย่างรวดเร็วพร้อมกลับใช้ฝ่ามือฟาดเข้าไปที่ศีรษะของหม่าซุนเยี่ยอย่างรุนแรง
ผัวะ!!! เสียงฝ่ามือของมหาปราชญ์แห่งยุคฟาดเข้าไปที่ศีรษะของหม่าซุนเยี่ยอย่างรุนแรงทำให้หน้าของหมอเทวะที่เป็นที่เคารพของดินแดนมนุษย์พุ่งลงไปติดอยู่กับพื้น ตึง!!!
ลู่หานที่ยืนอยู่ข้างๆก็ได้แต่อ้าปากค้างแล้วมองการกระทำที่ไม่คาดคิดว่าผู้เป็นอาจารย์จะกระทำเช่นนั้น
“เจ้าแปดเอาเชือกมา!!!” หวังเซียนฉิงที่ฟาดหม่าซุนเยี่ยลงไปนอนกับพื้นเรียบร้อยแล้วก็หันไปสั่งกับศิษย์ของตนเองที่ยืนมองอยู่ไกลๆ
ลู่หานที่กำลังสับสนเมื่อได้ยินเสียงของผู้เป็นอาจารย์ก็ได้แต่ตั้งสติแล้วขานรับกลับไป
“ขอรับ!!!” สองตาของลู่หานมองหาของรอบกายของตนเองทันที หลังจากที่ใช้สายตากวาดมองไปรอบๆสักพักก็พบเห็นเข้ากับเชือกเส้นหนึ่งที่วางเอาไว้
ลู่หานก็ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้เป็นอาจารย์อย่างเคร่งครัดเขารีบวิ่งไปหยิบเชือกเส้นนั้นแล้วนำไปส่งมอบให้กับผู้เป็นอาจารย์อย่างรวดเร็ว
สิ่งที่หวังเซียนฉิงกระทำก็คือการนำเชือกนั้นไปมัดร่างของหม่าซุนเยี่ยเอาไว้
ดวงตาทั้งสองข้างที่พับปิดอยู่ก็เริ่มเปิดขึ้นทีละนิดทีละนิดภาพที่เลือนลางเริ่มชัดเจนขึ้น สิ่งที่หม่าซุนเยี่ยเห็นมันคือใบหน้าของชายชราที่มันพบเห็นก่อนมันจะหมดสติไปอยู่ตรงหน้า
“ตาเฒ่าหวัง!!!!” เมื่อได้เปล่งเสียงเข้มออกมาหม่าซุนเยี่ยก็เริ่มสังเกตเห็นของที่อยู่ภายในมือของหวังเซียนฉิง มันคือถาดพู่กันและน้ำหมึกบัดนี้ใบหน้าของมันถูกเขียนเป็นลวดลายต่างๆตามใจของหวังเซียนฉิงเรียบร้อยแล้ว
“ฮ่าๆๆๆ” หวังเซียนฉิงเปล่งเสียงหัวเราะอันสะใจออกมา ผิดจากหม่าซุนเยี่ยที่ตอนนี้มันกำลังดิ้นไปมาด้วยความหัวเสีย
“ตาเฒ่าหวังแกมาที่นี่ทำอันใด!!!”
“อันใดกันเจ้าแซ่หม่าเดี๋ยวนี้เจ้ากล้าขึ้นเสียงกับข้าเลยงั้นรึ”
“พอดีว่าวันนี้ศิษย์ของข้าอยากจะได้คัมภีร์ค่ายกลจ้าวพฤกษาของเจ้าข้าเลยจะมาขอสักหน่อย” หวังเซียนฉิงเอ่ยถึงจุดประสงค์ของตนเอง
“ไม่ให้!!!” หม่าซุนเยี่ยเอ่ยกลับด้วยความเกรี้ยวกราด
ตอนนี้ลู่หานที่เป็นได้เพียงผู้ชมสนทนาก็ยืนเอามือกุมขมับของตนเองด้วยความหนักใจ ตอนนี้เขากำลังยืนมองคนแก่ทะเลาะกัน และไหนจะการกระทำของผู้เป็นอาจารย์ของเขาอีกผู้ใดกันจะมาขอค่ายกลของอีกฝ่ายแล้วกระทำเช่นนี้
ตอนนี้มันไม่ได้เป็นการขอยืมอีกแล้วมันเป็นการข่มขู่เอามาเลยเสียมากกว่า
“เจ้าไม่ให้ข้าก็จะเอา” หวังเซียนฉิงเอ่ยออกมาอย่างไม่อายปากของตนเอง
“เจ้าแปดไปหาคัมภีร์ค่ายกลทุกซอกทุกมุมของบ้าน”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นลู่หานที่กำลังหนักใจก็กระทำอันใดไม่ได้นอกจากขานรับไปอย่างเอื้อมระอา “ขอรับท่านอาจารย์”
เมื่อลู่หานขานรับด้วยเสียงที่หมดหวังเสร็จเขาก็เดินไหล่ตกไปตามหาคัมภีร์ค่ายกลทันที
“เจ้าเฒ่าหน้าด้าน!!!!” หม่าซุนเยี่ยเริ่มอาละวาดอย่างเกรี้ยวกราดอีกครั้ง
ชายชราที่สวมใส่อาภรณ์สีดำทมิฬประหนึ่งขนของอีกาก็ยกหัวไหล่ทั้งสองข้างขึ้นแล้วทำหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้พลางกับใช้พู่กันที่เปื้อนน้ำหมึกในมือของตนเองเริ่มขีดเขียนไปบนใบหน้าของหม่าซุนเยี่ยอีกครั้ง
“ไม่นะ...หยุดนะตาเฒ่า!!!!”
“ไม่!!!!” เสียงร้องโอดครวญนั้นดังก้องกังวานไปทั่วทั้งภายใต้หุบเขาที่เงียบงันมาเป็นเวลานาน
จบตอน
ตอนที่ 15
หุบเขาไร้ตะวัน
ดวงอาทิตย์อัสดงเปล่งประกายทอแสงสีส้มอมแดงสว่างไสวบริเวณหน้าผาขนาดใหญ่ที่มีหนึ่งศิษย์หนึ่งอาจารย์กำลังยืนพลางใช้สายตาทั้งสองมองต่ำลงไปด้านล่างหน้าผาที่มีแต่ความมืดไร้ที่สิ้นสุด
สถานที่แห่งนี้คือหุบเขาไร้ตะวันที่เป็นที่อยู่ของหมอเทวะผู้เลื่องชื่อภายในยุทธภพ ตอนนี้เพราะเหตุว่าลู่หานต้องการค่ายกลจ้าวพฤกษาเพื่อเร่งการเจริญเติบโตของพืชพันธุ์ที่เขาปลูก จึงต้องเดินทางมาที่แห่งนี้ตอนนี้คัมภีร์ค่ายกลพฤกษามันอยู่ในมือของหมอเทวะ
ยามแรกลู่หานคิดจะตัดใจไปแล้วเกี่ยวกับเรื่องค่ายกลชนิดนี้แต่เมื่อผู้เป็นอาจารย์ของเขาบอกว่าจะช่วยเหลือลู่หานก็เริ่มมีความหวังขึ้นมา
นักเขียนเคยบรรยายเกี่ยวกับหุบเขาไร้ตะวันเอาไว้ว่าเมื่อมองจากด้านบนมืดมิดไร้แสงสว่างจะส่องถึงแต่ด้านล่างสว่างไสวราวกับยามกลางวัน
เมื่อมาพบเห็นกับตาลู่หานก็ไม่รู้เหมือนกันว่าด้านใต้มันจะสว่างไสวเหมือนสิ่งที่นักเขียนได้อธิบายเอาไว้หรือเปล่า แต่มองจากด้านบนเขาไม่เห็นแสงสว่างเลยสักนิด
“ที่แห่งนี้คือหุบเขาไร้ตะวันจริงงั้นรึขอรับท่านอาจารย์” ลู่หานได้ใช้สายตามองต่ำลงไปด้านล่างก็หันไปถามผู้เป็นอาจารย์ที่อยู่ด้านหลัง
“ไม่ผิด!!! ไม่ผิด!!!! สถานที่แห่งนี้คือหุบเขาไร้ตะวัน เอาละลงไปกันเถอะเจ้าแปด” หวังเซียนฉิงไม่รีรอที่จะจับคอเสื้อศิษย์ของตนเองอีกครั้งแล้วพากันกระโดดลงไปด้านล่างอย่างรวดเร็ว
ร่างของหนึ่งศิษย์หนึ่งอาจารย์จมดิ่งสู่ความมืดอันไร้ที่สิ้นสุด ใบหน้าของลู่หานบัดนี้เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกเขาทำอันใดไม่ได้มองไม่เห็นอันใดรู้สึกเพียงแต่ว่าร่างกายของตนเองกำลังตกลงไปด้านล่างอย่างรวดเร็วก็เท่านั้น
ความรู้สึกรักตัวกลัวตายเขาก็มีอยู่หรอกแต่เมื่ออยู่กับท่านอาจารย์ของเขาที่เป็นถึงมหาปราชญ์แห่งยุคผู้อยู่มานานหลายแสนปีเขาก็วางใจได้ระดับหนึ่งว่าชีวิตของเขาจะไม่จบลงตรงนี้
ร่างของทั้งสองนั้นพุ่งผ่านม่านความมืดลงไปด้านล่างอย่างรวดเร็ว และแล้วความมืดด้านบนมันก็เหมือนกับม่านลวงตาที่ปรากฏขึ้นจริงๆ
ตอนนี้ดวงตาทั้งสองข้างของลู่หานมองเห็นอันใดบางอย่างแล้ว ด้านล่างของเขาเริ่มมีแสงจากบางอย่างสว่างไสวขึ้นมา
ฟิ้ว!!! ตูม!!! เสียงนั้นดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งใต้หุบเขาอันเงียบงันแห่งนี้ ใบหน้าของลู่หานบัดนี้เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกเขาคิดว่าเขาจะไปโลกหน้าแล้วเสียอีก
เสียงเมื่อครู่มันดังขึ้นเรากับเสียงระเบิดแต่ต้นตอของเสียงนั้นมันคือฝ่าเท้าทั้งสองของชายชราที่สวมใส่อาภรณ์สีดำทมิฬประหนึ่งขนอีกากระทบลงสู่พื้นดินอย่างรุนแรง
แขนข้างนึงยกร่างของศิษย์เอาไว้เหนือพื้นเพียงเล็กน้อยเพื่อไม่ให้ศิษย์ของตนเองบาดเจ็บ สองเท้าของมหาปราชญ์แห่งยุคกระทบลงที่พื้นดินด้วยความรุนแรงเกิดเป็นหลุมขนาดใหญ่รอบกาย
หวังเซียนฉิงปล่อยร่างของศิษย์ตนเองในมือลงไปกับพื้น ครั้งนี้ลู่หานนอนนิ่งมีเม็ดเหงื่อมากมายไหลซึมออกมาบนใบหน้าบัดนี้ราวกับว่าเขานั้นได้ก้าวผ่านพ้นความตายมาเมื่อครู่
“ลุกขึ้นได้แล้วเจ้าแปด..”
เมื่อเสียงของผู้เป็นอาจารย์เอ่ยดังขึ้นมาลู่หานที่นั่งนอนอยู่ที่พื้นก็พยายามจะตั้งสติของตนเองแล้วลุกขึ้นจากพื้น
เมื่อลุกขึ้นมาสองตาก็กวาดมองรอบกายสถานที่แห่งนี้มันคือใต้หุบเขาไร้ตะวันจริงๆงั้นรึ ความมืดมิดที่มันควรจะคงอยู่ใต้หุบเขานี้กลับหายไปหมดเพราะแสงจากหิ่งห้อยเล็กๆมากมายสว่างไสวราวกับดวงดาวมากมายที่ล่องลอยอยู่ภายในอากาศ
มันเป็นทัศนียภาพที่ช่างงดงามด้านใต้นี้สว่างไสวราวกลับด้านบนจริงๆตามที่บทนิยายได้บรรยายเอาไว้ ทัศนียภาพรอบกายมันงดงามมากเสียจนลู่หานต้องมองซ้ำหลายครั้งต่อหลายครั้ง
แต่หลังจากกวาดสายตามองไปรอบๆก็พบเข้ากับบ้านหลังนึงที่มีขนาดไม่ใหญ่มากนัก มันเป็นบ้านที่โดยรอบมีต้นไม้ขนาดใหญ่และแปลงพืชพันธุ์สมุนไพรวิญญาณถูกปลูกเอาไว้จนใหญ่โต
เมื่อเห็นลักษณะและพื้นที่ของบ้านหลังนั้นลู่หานนั้นล่วงรู้ได้ทันทีว่าบ้านหลังนั้นเป็นบ้านของท่านหมอเทวะ หม่าซุนเยี่ย
ภายใต้หุบเขาไร้ตะวันแห่งนี้มันมีเพียงหมอเทวะผู้เดียวเท่านั้นที่อาศัยอยู่ เขาเป็นผู้ฝึกยุทธสายการแพทย์ผู้หนึ่งที่เก่งกาจในด้านการหลอมยาและรักษาคนจนดินแดนทั้งสามของเผ่ามนุษย์ยอมรับให้ขึ้นกลายเป็นหมอผู้เก่งกาจที่สุดภายในดินแดนมนุษย์
“เอาละเข้าไปกันเถอะ..” หวังเซียนฉิงเดินนำหน้าศิษย์ของตนเองไปอย่างรวดเร็ว ลู่หานเองก็รีบเร่งฝีเท้าของตนเองตามไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน
เมื่อเดินไปถึงบริเวณบ้านของท่านหมอเทวะ บริเวณนี้เต็มไปด้วยพืชพันธุ์และสมุนไพรหายากมากมาย เมื่อเห็นเช่นนี้ลู่หานก็ไม่ประหลาดใจเลยสักนิดที่นี่คือบ้านของหมอผู้เก่งกาจที่สุดในดินแดนมนุษย์จะไม่ให้มีของหายากมากมายเช่นนี้ก็กระไรอยู่
หนึ่งศิษย์หนึ่งอาจารย์เดินผ่านสวนสมุนไพรขนาดใหญ่ไปหยุดอยู่ตรงหน้าประตูบ้านหลังเล็กๆของหม่าซุนเยี่ย
“ตะโกนเรียกไหมขอรับท่านอาจารย์” ลู่หานเอ่ยถาม การจะมาเรือนผู้อื่นก็ควรจะตะโกนเรียกก่อนจะย่างกายเข้าไปตามมารยาท
กระนั้นบนใบหน้าของหวังเซียนฉิงก็ปรากฏรอยยิ้มอันมีเลศนัยออกมา ก่อนที่ขาข้างหนึ่งของมหาปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่จะยกขึ้นแล้วออกแรงถีบเข้าไปที่ประตูเบื้องหน้าที่ปิดอยู่อย่างรุนแรง
ปั้ง!!! เพียงแรงถีบพาให้ประตูนั้นกระเด็นหลุดเข้าไปด้านใน
“เข้าไปกันเถอะเจ้าแปด” หวังเซียนฉิงเดินนำศิษย์ของตนเองเข้าไปอีกครั้งแต่ครั้งนี้ลู่หานไม่ปล่อยโอกาสที่จะได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างชัดเจนเขารีบย่างกายเข้าไปตามผู้เป็นอาจารย์ทันที
เมื่อเข้าไปก็พบเห็นกลับร่างชายชราผู้หนึ่งที่มีร่างกายอวบอิ่มกำลังดีสวมใส่อาภรณ์สีขาวที่เป็นสีเดียวกับผมและหนวดเครา ชายชราผู้นั้นกำลังจดจ่ออยู่กับเตาหลอมยาเบื้องหน้าเมื่อได้ยินเสียงบางอย่างดังลั่นขึ้นมามันก็หันมองด้านหลังด้วยความตระหนก
ลู่หานที่มองเห็นใบหน้าและท่าทางของชายผู้นั้นเขาก็รู้ได้ทันทีว่าชายชราผู้นี้คือ หม่าซุนเยี่ย ท่านหมอเทวะที่เขาตามหา
ใบหน้าของหม่าซุนเยี่ยตื่นตระหนกทันทีเมื่อเห็นชายชราที่สวมใส่อาภรณ์สีดำทมิฬประหนึ่งขนของอีกาย่างกายเข้ามาภายในเรือนของมันอย่างไม่ได้รับอนุญาติ ปากของมันนั้นเปิดออกมาพลางเปล่งเสียงดังลั่น “ตาแก่หวังมาได้เยี่ยงไร!!!!”
หม่าซุนเยี่ยและหวังเซียนฉิงรู้จักกันพอสมควรการที่หม่าซุนเยี่ยจะเรียกมหาปราชญ์แห่งยุคว่าตาแก่ก็ไม่แปลกอันใดเพราะเมื่อลองนับจากอายุแล้วทั้งสองมีอายุห่างกันร่วมแสนปี แม้ว่าใบหน้าและท่าทางมันออกจะเป็นคนรุ่นเดียวกัน
ชายชราที่สวมใส่อาภรณ์สีดำประหนึ่งผลของอีกาที่ย่างกายเข้ามาเมื่อเห็นร่างของหม่าซุนเยี่ยอยู่ห่างออกไปสุดสายตาก็เคลื่อนกายมุ่งเข้าไปอย่างรวดเร็วพร้อมกลับใช้ฝ่ามือฟาดเข้าไปที่ศีรษะของหม่าซุนเยี่ยอย่างรุนแรง
ผัวะ!!! เสียงฝ่ามือของมหาปราชญ์แห่งยุคฟาดเข้าไปที่ศีรษะของหม่าซุนเยี่ยอย่างรุนแรงทำให้หน้าของหมอเทวะที่เป็นที่เคารพของดินแดนมนุษย์พุ่งลงไปติดอยู่กับพื้น ตึง!!!
ลู่หานที่ยืนอยู่ข้างๆก็ได้แต่อ้าปากค้างแล้วมองการกระทำที่ไม่คาดคิดว่าผู้เป็นอาจารย์จะกระทำเช่นนั้น
“เจ้าแปดเอาเชือกมา!!!” หวังเซียนฉิงที่ฟาดหม่าซุนเยี่ยลงไปนอนกับพื้นเรียบร้อยแล้วก็หันไปสั่งกับศิษย์ของตนเองที่ยืนมองอยู่ไกลๆ
ลู่หานที่กำลังสับสนเมื่อได้ยินเสียงของผู้เป็นอาจารย์ก็ได้แต่ตั้งสติแล้วขานรับกลับไป
“ขอรับ!!!” สองตาของลู่หานมองหาของรอบกายของตนเองทันที หลังจากที่ใช้สายตากวาดมองไปรอบๆสักพักก็พบเห็นเข้ากับเชือกเส้นหนึ่งที่วางเอาไว้
ลู่หานก็ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้เป็นอาจารย์อย่างเคร่งครัดเขารีบวิ่งไปหยิบเชือกเส้นนั้นแล้วนำไปส่งมอบให้กับผู้เป็นอาจารย์อย่างรวดเร็ว
สิ่งที่หวังเซียนฉิงกระทำก็คือการนำเชือกนั้นไปมัดร่างของหม่าซุนเยี่ยเอาไว้
ดวงตาทั้งสองข้างที่พับปิดอยู่ก็เริ่มเปิดขึ้นทีละนิดทีละนิดภาพที่เลือนลางเริ่มชัดเจนขึ้น สิ่งที่หม่าซุนเยี่ยเห็นมันคือใบหน้าของชายชราที่มันพบเห็นก่อนมันจะหมดสติไปอยู่ตรงหน้า
“ตาเฒ่าหวัง!!!!” เมื่อได้เปล่งเสียงเข้มออกมาหม่าซุนเยี่ยก็เริ่มสังเกตเห็นของที่อยู่ภายในมือของหวังเซียนฉิง มันคือถาดพู่กันและน้ำหมึกบัดนี้ใบหน้าของมันถูกเขียนเป็นลวดลายต่างๆตามใจของหวังเซียนฉิงเรียบร้อยแล้ว
“ฮ่าๆๆๆ” หวังเซียนฉิงเปล่งเสียงหัวเราะอันสะใจออกมา ผิดจากหม่าซุนเยี่ยที่ตอนนี้มันกำลังดิ้นไปมาด้วยความหัวเสีย
“ตาเฒ่าหวังแกมาที่นี่ทำอันใด!!!”
“อันใดกันเจ้าแซ่หม่าเดี๋ยวนี้เจ้ากล้าขึ้นเสียงกับข้าเลยงั้นรึ”
“พอดีว่าวันนี้ศิษย์ของข้าอยากจะได้คัมภีร์ค่ายกลจ้าวพฤกษาของเจ้าข้าเลยจะมาขอสักหน่อย” หวังเซียนฉิงเอ่ยถึงจุดประสงค์ของตนเอง
“ไม่ให้!!!” หม่าซุนเยี่ยเอ่ยกลับด้วยความเกรี้ยวกราด
ตอนนี้ลู่หานที่เป็นได้เพียงผู้ชมสนทนาก็ยืนเอามือกุมขมับของตนเองด้วยความหนักใจ ตอนนี้เขากำลังยืนมองคนแก่ทะเลาะกัน และไหนจะการกระทำของผู้เป็นอาจารย์ของเขาอีกผู้ใดกันจะมาขอค่ายกลของอีกฝ่ายแล้วกระทำเช่นนี้
ตอนนี้มันไม่ได้เป็นการขอยืมอีกแล้วมันเป็นการข่มขู่เอามาเลยเสียมากกว่า
“เจ้าไม่ให้ข้าก็จะเอา” หวังเซียนฉิงเอ่ยออกมาอย่างไม่อายปากของตนเอง
“เจ้าแปดไปหาคัมภีร์ค่ายกลทุกซอกทุกมุมของบ้าน”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นลู่หานที่กำลังหนักใจก็กระทำอันใดไม่ได้นอกจากขานรับไปอย่างเอื้อมระอา “ขอรับท่านอาจารย์”
เมื่อลู่หานขานรับด้วยเสียงที่หมดหวังเสร็จเขาก็เดินไหล่ตกไปตามหาคัมภีร์ค่ายกลทันที
“เจ้าเฒ่าหน้าด้าน!!!!” หม่าซุนเยี่ยเริ่มอาละวาดอย่างเกรี้ยวกราดอีกครั้ง
ชายชราที่สวมใส่อาภรณ์สีดำทมิฬประหนึ่งขนของอีกาก็ยกหัวไหล่ทั้งสองข้างขึ้นแล้วทำหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้พลางกับใช้พู่กันที่เปื้อนน้ำหมึกในมือของตนเองเริ่มขีดเขียนไปบนใบหน้าของหม่าซุนเยี่ยอีกครั้ง
“ไม่นะ...หยุดนะตาเฒ่า!!!!”
“ไม่!!!!” เสียงร้องโอดครวญนั้นดังก้องกังวานไปทั่วทั้งภายใต้หุบเขาที่เงียบงันมาเป็นเวลานาน
จบตอน