Ep.882 - พลังของเกราะทมิฬ
2/4
Ep.882 - พลังของเกราะทมิฬ
หากมิติไม่ถูกปิดกั้น เกรงว่าจะมีเผ่ามังกรตัวที่แปดและเก้าตามมา
แน่นอน แค่ปิดกั้นมิติคงไม่เพียงพอ เผ่ามังกรเหล่านี้จะต้องถูกสังหาร มิฉะนั้น หากพวกมันหลุดรอดจากเมืองหลวงมังกร หนีหายไปในท้องฟ้าสูงทะเลกว้างไกล ตัวตนทรงอำนาจในเลเวล S เหล่านี้จะสามารถติดต่อกับมิติดั้งเดิมของตน ถึงเวลานั้นหากคิดเดินทางไปมาในครั้งหน้า ก็ไม่ยุ่งยากอีกต่อไป
หลงถิงตระหนักได้ว่าไป๋หลีทำอะไร ความเชื่อมั่นใจหัวใจเธอเพิ่มขึ้นหลายส่วน แววตาหนักแน่นมั่นคงยิ่งกว่าเดิม
“อย่าให้พวกมันหนีไป ฆ่าทิ้งอย่าให้เหลือซักตัวเดียว!”
หอกกับร่างของหลงถิงแทบหลอมละลายเป็นหนึ่งเดียวกัน มนุษย์กับหอกรวมเป็นหนึ่ง พุ่งปราดไปยังทิศทางของหอคอยประตูมังกร
ขณะเดียวกันฉินเฟิง ภายใต้การช่วยเหลือของไป๋หลี เขาสามารถออกห่างจากจุดเดิม 1,000 เมตรได้ในพริบตา
ฉินเฟิงคลายมือ โยนหนานกงเฟยหยางออกไป
“หาที่ซ่อนตัวซะ” ฉินเฟิงกล่าวสั้นๆ
หนานกงเฟยหยางถูกโยนแทบกลิ้ง เสียหลักไปหลายก้าวกว่าจะทรงตัวได้ แต่วิ่งไปไม่ไกลเขาก็เหลียวหลังกลับมา และพบว่าฉินเฟิงยังอยู่ในจุดเดิม ไม่มีท่าทีว่าจะหลบหนีเลย
โครม!
สำหรับชาวเผ่ามังกร ทั้งร่างของพวกมันสูงกว่าสามเมตร กระทั่งหนึ่งในเลเวล S ที่บุกเข้ามา ยังมีตนหนึ่งสูงสี่เมตร ทางออกของหอคอยประตูมังกร ไม่รองรับความสูงของพวกมัน ทว่าพวกมันก็ไม่คิดก้มศีรษะลงเช่นกัน แต่ใช่ฝ่ามือฟาดคราหนึ่ง ทำลายผนังเหนือประตูแหลกเป็นเสี่ยงๆ ถึงค่อยก้าวออกมา
หลงถิง , หลงหยุนอี้ , อาวุโสตระกูลหลง , หวันชิชาง , หลี่เซียว ออกมายืนรออยู่ไม่ไกลจากหอคอยประตูมังกรแล้ว
ไม่เพียงแค่นั้น ยังมีเลเวล A ที่อยู่บนชั้นสิบของเมืองหลวงมังกร อย่างน้อยนับหลายพันคน จัดตั้งเป็นขบวนรบกระจายอยู่รอบๆหอคอยประตูมังกร
ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ตำแหน่งที่ตั้งของหอคอยประตูมังกร อยุ่บนพื้นที่ในส่วนของจัตุรัสกลาง จึงง่ายต่อการปิดล้อม เวลานี้ปรากฏปืนใหญ่นับไม่ถ้วนจากทุกสารทิศเพ่งเล็งมายังชาวเผ่ามังกรทั้งเจ็ด
แต่เผ่ามังกรทั้งเจ็ดหาได้แตกตื่นตกใจไม่ ประตูมิติถูกปิดแล้วอย่างไร พวกมันมีตัวเชื่อมมิติติดตัว ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ว่าพวกมันโคตรมั่นใจ ว่ามิติแห่งนี้ จะไม่มีใครสู้พวกมันได้
“ฆ่าพวกมันให้หมด!”
เจ็ดมังกรกระโจนเข้าหาหลงถิงและคนอื่นๆ
“หอกมังกรสลาตัน!”
หลงถิงคำรามเกรี้ยวกราด ชั้นอากาศเบื้องหลังเธอ ผุดจานที่คล้ายกับดวงอาทิตย์สว่างวาบขึ้น
เป็นดารากำลังภายใน!
จากนั้น ทั้งร่างของหลงถิงพลันปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายแผดเผา เสมือนดาวตกที่ลุกไหม้ ทะยานดั่งมังกรหาว ทันใดนั้นหอกในมือเธอกลายเป็นเส้นแสงดาวตก หลงถิงขว้างมันออกไป ตามรายทางที่มันผ่านพ้น ราวกับชั้นอากาศที่ว่างเปล่าถูกฉีกเป็นชิ้นๆ
“โฮกกก”
ชาวเผ่ามังกรคำรามเดือดดาล สองมือของพวกมันเปรียบดั่งอาวุธ ผิวหนังบนร่างกายคือชุดเกราะ ไม่มีความเกรงกลัวหลงถิงแม้แต่น้อย
กลิ่นอายทรงพลังลุกฮือขึ้น กระทั่งร่างกายของพวกมันยังเติบโต จากเดิมความสูงสามเมตร ตอนนี้กลายเป็นยักษ์สูงกว่า 10 เมตร
“โฮกกก”
ภายใต้เสียงคำรามดุร้าย เผ่ามังกรอ้าปากกว้าง เปลวไฟลุกโชนออกมาจากปากของพวกมัน และ
ตูมมมม!
ทั้งสองฝ่ายปะทะกัน พริบตานั้นเกิดการระเบิดทันที
คลื่นความผันผวนอันน่าหวาดกลัวก่อตัวขึ้น ผู้ใช้พลังเลเวล A ที่อยู่ใกล้ๆถูกผลักดันออกไป และหากมีเลเวล B อยู่ที่นี่ เกรงว่าพวกเขาคงกระอักเลือด เสียชีวิตไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม แรงระเบิดนี้เกิดขึ้นเพียงชั่วอึดใจ หอกของหลงถิงแทงทะลุเปลวเพลิงฝ่ายตรงข้าม พุ่งทะยานต่อไป ราวกับว่าสามารถแทงทะลุอุปสรรคขัดขวางทั้งหมดทั้งมวล
ท่ามกลางสถานการณ์ฉุกละหุก ต่อให้เผ่ามังกรต้องการหลบเลี่ยง แต่ก็ไม่สามารถตอบสนองได้อย่างทันท่วงที ยังคงช้าไปเล็กน้อย
หอกยาวพุ่งผ่านแก้มเผ่ามังกรตัวหนึ่ง ปาก , หู ใบหน้าครึ่งซีกถูกทะลวงด้วยปลายหอกแหลม เลือดอาบไปทั้งหน้า
ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว หลงถิงสามารถสร้างความเสียหายแก่เผ่ามังกรตนหนึ่งจนบาดเจ็บสาหัส!
ฉากนี้ทำให้ผู้ใช้พลังเลเวล A คนอื่นๆเลือดลมเดือดพล่าน
นี่แหละคือเจ้าเมืองของพวกเขา! นี่แหละราชินีของพวกเขา!!
เมื่อการต่อสู้เริ่มขึ้น หลงถิงรับมือแบบหนึ่งต่อสาม อีกสี่คนเข้าโรมรันกับเผ่ามังกรตนอื่นๆ การต่อสู้ของกลุ่มเลเวล S เช่นนี้ ไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อนอย่างแท้จริง
ชั้นอากาศโดยรอบ ให้ความรู้สึกบิดเบี้ยวเล็กน้อย แต่เมืองหลวงมังกรมีเทคโนโลยีรักษาเสถียรภาพมิติชั้นเลิศ บวกกับพลังมิติของไป๋หลีก่อนหน้านี้ ทำให้ไม่เกิดสถานการณ์เช่นเดียวกับในมิติธารโลหิต ที่การโจมตีของเลเวล S ร้ายแรงจนสร้างรอยแยกมิติขึ้น
อย่างไรก็ตาม พลังทำลายล้างในส่วนของเลเวล S ยังทำให้ผู้คนตกตะลึง แม้พวกเขาจะไม่ระเบิดพลังทำลายล้างเท่ากับชายชราเจ้าของชุดคลุมราชวงศ์ในมิติธารโลหิต แต่ก็รีดเร้นอำนาจโจมตีออกมาอย่างเต็มที ผลพวงจากมัน มากพอที่จะทำให้รัศมี 10,000 กลายเป็นซากปรักหักพัง ฟุ้งไปด้วยฝุ่นทราย ซึ่งนั่นมากพอแล้วที่จะพังทลายตึกรามลง
หอคอยประตูมังกรที่ถูกสร้างขึ้นโดยฝีมือมนุษย์ก็เช่นกัน ตำแหน่งที่เชื่อมต่อมาถึงชั้นสิบตอนนี้แหลกเป็นเสี่ยง ตลอดทั้งจัตุรัสกลาง กลายเป็นโล่งเตียนสบายตา เหลือเพียงสุดยอดโล่ป้องกันใต้ฝ่าเท้าเท่านั้น
สิ่งที่โดดเด่นที่สุดก็คือ ความแข็งแกร่งของหลงถิง มันน่าทึ่งมาก ชวนให้ผู้คนเปล่งเสียงร้องสรรเสริญไปถึงสรวงสวรรค์
ณ จุดนี้ ฉินเฟิงไปรวมตัวกับเลเวล A คนอื่นๆ ขยับเข้าไปใกล้สนามรบให้ได้มากที่สุด
“พวกเราเองก็เลือกโจมตีสักตัวเถอะ” ฉินเฟิงกล่าว
ไป๋หลีพยักหน้า ชำเลืองสายตามองสักพักหนึ่ง ความแข็งแกร่งของเธอได้ก้าวมาอยู่ในตำแหน่งสัตว์เทวะแล้ว ดังนั้นการรับรู้จึงทรงพลังมากๆ ไม่ด้อยไปกว่าผู้ใช้พลังเลเวล S1 เลย และต่อให้สู้กับเลเวล S1 เกรงว่าก็ยังสามารถต่อกรได้อย่างเท่าเทียม
อย่างไรก็ตาม ในฐานะที่ศัตรูเป็นเลเวล S ในแง่ความแข็งแกร่ง ยังถือว่าอีกฝ่ายสามารถสังหารสัตว์เทวะเลเวล A ได้เช่นกัน ฉะนั้นฉินเฟิงไม่กล้าประมาท ไม่คิดปล่อยให้ไป๋หลีลงมือเพียงลำพัง เขากลัวว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นกับเธอ
“เจ้าหมอนั่นอ่อนแอที่สุด!” ไป๋หลีชี้ไปทางชาวเผ่ามังกรเลเวล S ที่กำลังสู้กับหวันชิชาง
และดูจากร่างกายของมัน คิดว่าคงอ่อนแอที่สุดจริงๆ เพราะความสูงหลังระเบิดพลังสายเลือดเพิ่มมาจนสุดแค่แปดเมตร แม้จะกล่าวเช่นนั้น แต่ในด้านพละกำลังและความเร็ว หากเทียบกับผู้ใช้พลังเลเวล A ถือว่าเหนือกว่าหลายขุม ทว่าเมื่อเทียบกับผู้ใช้พลังเลเวล S ถือว่าด้อยกว่าคนอื่นๆ
คาดว่ามันน่าจะเพิ่งได้รับการยกระดับขึ้นเป็นเลเวล S ยังไม่สามารถปีนป่ายไปถึงเลเวล S1 ด้วยซ้ำ
ในทางกลับกัน หวันชิชางเป็นผู้ใช้อบิลิตี้เลเวล S2 แต่การต่อสู้ระหว่างทั้งสอง เขาที่มีเลเวลเหนือกว่ากลับตกเป็นรองชาวเผ่ามังกร
“เอาเจ้านั่นแล้วกัน!”
ฉินเฟิงกุมมีดกษัตริย์ครามในมือ ทั้งคนทั้งร่างของเขาถูกปกคลุม ห่อหุ้มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความมืดมิด
“อีกฝ่ายถ้าเทียบกับเหอเทียนสิงแล้ว น่าจะไม่ด้อยไปกว่ากัน นั่นหมายความว่า ถ้าฉันสามารถฆ่ามันได้ ก็แน่ใจว่าสามารถฆ่าเหอเทียนสิงได้เหมือนกัน!”
ในสายตาของฉินเฟิง ฟุ้งไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้
อย่างไรก็ตาม มันถูกยับยั้งลงอย่างรวดเร็ว จิตใจของฉินเฟิง เข้าสู่สภาวะสงบเยือกเย็น ไม่ถูกห้วงอารมณ์ใดเข้ารบกวนอีกต่อไป
จากนั้น ของเหลวสีดำหมึกผุดออกมา ห่อหุ้มร่างกายของฉินเฟิง
เป็นเกราะทมิฬ!
ก่อนหน้านี้ชุดเกราะทมิฬได้ปลดปล่อยพลังงานทั้งหมดของมันออกมา ดังนั้นตอนนี้เขาสามารถใช้งานมันได้ หลังเกราะทมิฬสวมทับบนร่างของฉินเฟิง ชิ้นส่วนเกราะต่างๆก็เริ่มก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้น ตามชุดรบสไตล์โบราณที่มีความวิจิตรงดงาม ประณีตอย่างหาที่ใดเปรียบ
อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครสนใจฉากนี้เลย เนื่องจากฉินเฟิงซ่อนอยู่ในอบิลิตี้มืด ดังนั้นไม่มีใครสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ไม่ต้องกล่าวถึงเกราะทมิฬ ที่ช่วยเก็บซ่อนกลิ่นอายของมันอีกชั้นหนึ่ง
เดิมฉินเฟิงสวมเกราะทมิฬแค่เพื่อต้องการลอบจู่โจมตัวตนทรงอำนาจเลเวล S แต่ไม่คาดหวังเลย ว่าหลังจากสวมใส่เกราะทมิฬ ตัวเกราะกลับสามารถดูดซับพลังงานจากสนามรบได้อย่างน่าฉงน
นี่ให้ความรู้สึกเช่นเดียวกับการดูดซับพลังของทักษะลับกลืนดารา
พลังงานจากผลพวงที่เกิดขึ้นจากการต่อสู้ในครั้งนี้ทรงพลังมาก ยิ่งเป็นผลพวงที่เกิดจากดารากำลังภายใน สมควรมีความอันตรายเป็นอย่างสูง และหากคิดดูดซับพลังงาน ในกรณีนี้มันจะยากมาก แต่เมื่อสวมใส่เกราะทมิฬ กลับดูดซับพลังงานเหล่านี้ได้อย่างง่ายดาย
ฉินเฟิงน่ะแตกต่างจากหุ่นยนต์นักฆ่าเจ้าของเดิม เกราะทมิฬความจริงแล้วสามารถดูดซับพลังงานจากวิญญาณได้ แต่เวลานี้เจ้าของมันคือมนุษย์ ดังนั้นไม่ปลดปล่อยอำนาจดังกล่าวเพื่อข่มเหงเจ้าของตน
อีกประการหนึ่งที่ไม่เหมือนกันก็คือ กำลังภายในของฉินเฟิงสามารถทะลุผ่านเลเวล S ได้แล้ว นอกจากนี้ตัวเขายังมีอบิลิตี้ติดตัวที่สามารถใช้ปล้นชิงพลังงานโดยรอบตลอดเวลา ตอนนี้เมื่อสวมเกราะทมิฬ เลยช่วยสนับสนุนให้การดูดซับพลังงานรอบๆของฉินเฟิง เพิ่มพูนขึ้นเป็น 10 เท่า หรือ 100 เท่าในชั่วอึดใจ
อัตราเร็วในการดูดซึมผ่านร่างกาย รวดเร็วยิ่งขึ้น!
ร่างกายและจิตใจของฉินเฟิง ยิ่งนานยิ่งพัฒนา ฝั่งดารากำลังภายในทั้งเก้าดวงเองก็ค่อยๆดูดซับ ขยายขนาดอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน
อาจกล่าวได้ว่า ฉินเฟิงแค่พายเรือไปรอบๆสนามรบ ก็มากพอแล้วที่จะใช้ยกระดับความแข็งแกร่งของตนเอง!