ตอนที่ 8 ท่านอาจารย์
ตอนที่ 8
ท่านอาจารย์
ชายชราที่สวมใส่อาภรณ์สีดำยาวที่มีสีประหนึ่งขนของอีกา มีผมและหนวดเคราที่เป็นสีขาวตัดกับอาภรณ์สีดำสนิท ใบหน้าปรากฏรอยเหี่ยวย่นเล็กน้อยนั้นกำลังแสดงรอยยิ้มอันอบอุ่นที่ฉายความเป็นมิตรออกมาอย่างชัดเจน
“ท่า...ท่านอาจารย์!!!” ลู่หานอุทานด้วยความตระหนก
เพียงแรกเห็นรูปลักษณ์ภายนอกของชายชราผู้นี้ลู่หานคิดเป็นอื่นไม่ได้เลยนอกจากว่าชายชราที่อยู่ตรงหน้าของเขานั้นคือมนุษย์เพียงคนเดียวที่ทั่วทั้งเก้าภพยกยิ่งว่าสูงเทียบฟ้า มหาจอมปราชญ์แห่งยุค หวังเซียนฉิง
ลู่หานนั้นลืมความจริงบางอย่างไปนั้นคือว่าภายในสำนักอักษรสวรรค์แห่งนี้มีอีกผู้หนึ่งนอกจากเขาที่ไม่ได้เข้าร่วมการบ่มเพาะแบบกลุ่มของสำนักนั้นคืออาจารย์ของเขาท่านมหาปราชญ์แห่งยุค หวังเซียนฉิงผู้นี้
หัวเข่าทั้งสองข้างของลู่หานลดต่ำลงไปสัมผัสอยู่กับพื้นอยู่ในท่าทางคุกเข่า สองมือยกขึ้นมาประสานเบื้องหน้าอย่างรวดเร็วพลางกล่าวด้วยเสียงอันหนักแน่น
“ศิษย์คำนับอาจารย์!!!!”
“ฮ่าๆๆ ดูสิเจ้าเด็กนี่แอบหนีการฝึกมาทำสวนงั้นรึ” ชายชราที่อยู่ในอาภรณ์สีดำประหนึ่งอีกาเอ่ยด้วยเสียงหัวเราะพลางกับยกมือของตนลูบเคราสีขาวโพลนไปด้วย
ดวงตาของหวังเซียนฉิงทอดสายตามองยาวไปที่แปลงสมุนไพรหยางไท่เบื้องหน้า
ลู่หานที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้าก็เหงื่อตกอาจารย์ของเขามหาปราชญ์แห่งยุคหวังเซียนฉิงผู้นี้เป็นผู้หยั่งรู้ ภายในระยะพันลี้เขามีดวงตาทิพย์ที่สามารถรับรู้เรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นได้ ยามนี้อาจารย์ของเขาคงจะรู้เรื่องแผนการของเขาทั้งหมดแล้ว
ลู่หานเหงื่อตกการหลบหนีการฝึกฝนของสำนักถือว่ามีโทษ
“เอ้าๆลุกขึ้น!!! ลุกขึ้น!!!” หวังเซียนฉิงกล่าวกับศิษย์ของตนเองที่กำลังคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าด้วยรอยยิ้ม
“ขอรับ..” ลู่หานขานรับพลางแสดงใบหน้าประหลาดใจเล็กน้อยที่ท่านมหาปราชญ์ไม่ลงโทษอันใดตนเอง
เมื่อสองขาลุกยืนขึ้นอยู่ในระดับเดียวกันลู่หานที่ยืนอยู่เบื้องหน้าก็เปล่งเสียงด้วยใบหน้าสลด “ท่านอาจารย์ขอรับนี่มัน...”
“ไม่ต้องพูดแล้ว ไม่ต้องพูดแล้ว” หวังเซียนฉิงตอบกลับด้วยเสียงเรียบเฉยพลางกับใช้ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม พลางมองที่ไปแปลงสมุนไพรหยางไท่อย่างไม่ลดละ
“เรื่องการบ่มเพาะแบบกลุ่มชั่งมันไป ข้าเองก็ต้องอยู่คนเดือนตั้งหนึ่งเดียวภายในสำนักเหงาจะตายสู้ให้เจ้ามาอยู่ด้วยก็ไม่เลวเหมือนกัน” ชายชราที่อยู่ในอาภรณ์สีดำทมิฬเบื้องหน้าได้เอ่ยกลับไป เขาล่วงรู้ถึงความหนักใจที่แสดงออกมาบนใบหน้าของศิษย์ผู้นี้ดีราวกับเข้าไปนั่งอยู่ในใจ
ลู่หานเมื่อเห็นเช่นนั้นเขาก็ยิ้มออก
“แล้วเช่นไรเจ้าจะเอาดีทางด้านนี้เลยงั้นรึเจ้าแปด...” หวังเซียนฉิงเอ่ยถาม
“เอาดีทางใดกันงั้นรึขอรับ” ลู่หานเอ่ยถามกลับไปด้วยใบหน้าที่ฉงน
“ก็ด้านสมุนไพรพวกนี้ยังไงเล่าเจ้าจะเป็นหมองั้นรึหรือเจ้าแปด”
ลู่หานหันกลับไปมองทางด้านแปลงสมุนไพรหยางไท่ที่เขานั้นปลูกเอาไว้ เขาก็ตระหนักได้ทันทีว่าเป็นอาจารย์คงจะคิดว่าเขานั้นอยากจะเป็นหมอเมื่อให้เห็นว่าปลูกสมุนไพรจำนวนมากเอาไว้
“ขอรับท่านอาจารย์” ลู่หานตอบกลับหลังจากที่เขานั้นไต่ตรองมาเป็นอย่างดีแล้วว่ามันเป็นคำตอบที่ดีที่สุดในตอนนี้
“ใช้ได้!!! ใช้ได้!!!” ชายชราที่อยู่ในอาภรณ์สีดำทมิฬพลางพยักหน้าขึ้นลงด้วยความพึงพอใจ
“แล้วเจ้าปลูกพืชพวกนี้เอาไว้เพื่อรอรับหน้าหนาวนี้ที่กำลังมาถึงงั้นรึ”
เมื่อได้ยินผู้เป็นอาจารย์เลยถามกลับมาเช่นนั้น ลู่หานก็คิดไม่ผิดว่ามหาปราชญ์แห่งยุคนั้นมีความคิดอ่านแตกต่างจากคนทั่วไปจริงๆ เพียงแค่มองว่าพวกมันเป็นพืชหยางไท่ก็รู้แล้วว่าเขาเตรียมการเอาไว้รับภัยหนาวที่กำลังจะมาถึง
นักเขียนผู้ที่เขียนเรื่องจ้าวกระบี่สวรรค์สยบฟ้าขึ้นมาอธิบายตัวละครที่มีชื่อว่า หวังเซียนฉิง ผู้นี้เอาไว้ว่า เขาเป็นมหาจอมปราชญ์แห่งยุคสมัยผู้ที่ 9 ดินแดนยกย่องให้อยู่สูงเทียมฟ้า หวังเซียนฉิงมีอายุยืนยาวมาหลายหมื่นหลายแสนปีด้วยพลังของทักษะบ่มเพาะกายานิรันดร์ ที่เป็นทักษะบ่มเพาะระดับไร้ขอบเขต โดยมันเป็นหนึ่งในทักษะบ่มเพาะที่มหาปราชญ์แห่งยุคสามารถฝึกฝนจนบรรลุถึงขั้นจักรพรรดินิรันดร์ มันทำให้เขามีอายุขัยเทียมฟ้าดินไม่เจ็บไม่ตาย
เมื่อได้พบเจอตัวจริงลู่หานเข้าใจได้ทันทีเลยว่าตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดภายใน 9 ภพเป็นเช่นไร และตัวตนที่อยู่เบื้องหน้าของเขาไม่ผิดจากคำบรรยายของนักเขียนเลยสักนิด ทั่วทั้งร่างกายแผ่ซ่านพลังบ่มเพาะอันแข็งแกร่งออกมาแม้ว่าพยายามจะเก็บซ่อนเอาไว้แล้ว
ตอนนี้ยืนอยู่ห่างเพียงสามก้าวลู่หานยังรู้สึกได้ถึงแรงกดดันมหาศาลที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างกายของผู้เป็นอาจารย์ ทว่า...ถ้าอาจารย์ของเขาไม่เก็บซ่อนพลังบ่มเพาะส่วนใหญ่เข้าไปภายในร่างกายบัดนี้ร่างกายที่มีเพียงทักษะบ่มเพาะรากฐานระดับกำเนิดพลังสีครามนี้คงจะโดนบดขยี้ด้วยพลังบ่มเพาะที่แผ่ซ่านออกมานั้นไปแล้ว
เขาเป็นชายชราที่ดูภายนอกเป็นมิตรนิสัยเองก็เป็นคนจิตใจดีและอบอุ่นแม้ว่าจะมีบางมุมที่ไม่ควรทำในฐานะผู้ยิ่งใหญ่
และมีสิ่งหนี่งที่เป็นนิสัยของหวังเซียนฉิงและทำให้นักอ่านมากมายหลงรักในตัวละครนี้ก็คือการที่เขารักศิษย์ทั้ง 8 คนของเขายิ่งกว่าสิ่งใด ไม่ว่าผู้ใดทั่วทั้งเก้าดินแดนเมื่อมีเรื่องกับหนึ่งศิษย์ทั้งแปดคนของเขาไม่ต้องไถ่ถามความเป็นมาของเรื่องราวอย่างไรเสียศิษย์ของเขาก็ไม่ผิด
การที่หวังเซียนฉิงกระทั่งเช่นนี้มิใช่ว่าเขานั้นเอาใจศิษย์ทั้งแปดคนของตนเองจนเกินตัวแต่ทว่า..คำสอนสั่งและทุกสิ่งอย่างที่เขาคอยบ่มเพาะให้กับเหล่าศิษย์ของตนเองมันทำให้หวังเซียนฉิงมั่นใจเป็นอย่างมากว่าศิษย์ทั้งแปดของตนเองมีคุณธรรม
“ไม่ผิดขอรับท่านอาจารย์ ข้าเตรียมเอาไว้เพื่อรับฤดูเหมันต์ที่กำลังจะมาถึง” ลู่หานตอบกลับอย่างนอบน้อม ทุกการกระทำและคำพูดของเขาที่ออกมามันน้อบน้อมผิดจากลู่หานยามทั่วไปยิ่งนัก
“แล้วเช่นไรเจ้าอยากได้ตำราของค่ายกลจ้าวแห่งพฤกษามาฝึกฝนงั้นรึ!!!” ผู้เป็นอาจารย์เอ่ยถามศิษย์ของตน
“ขอรับเพราะว่าข้าอยากจะให้สมุนไพรหยางไท่มีจำนวนมากแต่ก็ไม่สามารถเร่งการเจริญเติบโตของมันได้ และข้าก็รู้มาว่าค่ายกลจ้าวแห่งพฤกษาที่ท่านหมอเทวะครอบครองอยู่สามารถเร่งการเจริญเติบโตของพืชพรรณสมุนไพรได้” ลู่หานเอ่ยออกไปอย่างไม่คิดจะปกปิด
“จริงอยู่ว่าความสามารถของค่ายกลจ้าวแห่งพฤกษามันสามารถเร่งการเจริญเติบโตของพืชพันธุ์ได้ แต่ว่ามันเป็นค่ายกลระดับสวรรค์ เจ้าจะสามารถสร้างมันสำเร็จงั้นรึเจ้าแปด” หวังเซียนฉิงเอ่ยถามกลับไปด้วยรอยยิ้ม
“อย่างไรก็ต้องสำเร็จขอรับ!!!” เสียงอันหนักแน่นตอบกลับผู้เป็นอาจารย์ไปพร้อมกับดวงตาทั้งสองข้างที่เริ่มฉายแววแห่งความมุ่งมั่นออกมา
เมื่อเห็นความมุ่งมั่นที่อยู่ภายในดวงตาของศิษย์รักชายชราที่อยู่ในอาภรณ์สีดำทมิฬประหนึ่งขนของอีกาก็พยักหน้าขึ้นลงด้วยความพึงพอใจก่อนจะกล่าว “ดี!!! ดี!!!”
“ในเมื่อศิษย์ของข้าอยากได้งั้นพวกเราก็ไปเอามันมากันเถอะ”
เมื่อคำมันหลุดออกมาจากปากของมหาปราชญ์แห่งยุคผู้เป็นอาจารย์ใบหน้าของลู่หานก็สุดแสนจะตื่นตระหนก
“เอางั้นหรือขอรับเอาจากที่ใด” ลู่หานถามด้วยความฉงน
“จะเอาจากที่ใดกันเล่าก็เจ้าหมอเทวะอย่างไร” หวังเซียนฉิงตอบกลับศิษย์ของตนเองไปด้วยรอยยิ้ม
หลังจากที่ติดตามนิยายเรื่องนี้มาเป็นเวลา 3 ปีลู่หานพอจะรู้นิสัยใจคอของชายชราแซ่หวังผู้นี้ดีว่าความหมายที่แฝงในประโยคที่เขากล่าวออกมานั้นหมายถึงอันใด
“ท่านอาจารย์อย่าบอกนะว่าท่านจะแย่งชิงมางั้นรึขอรับ...”
ผู้อาจารย์ที่อยู่เบื้องหน้าของลู่หานเมื่อได้ยินศิษย์ของตนเองเอ่ยออกมาเช่นนั้นก็ยกมือขึ้นพลางกับออกแรงดีดนิ้วไปที่หน้าผาก เพี๊ยะ!!!
“โอ๊ย!!!” ลู่หานอุทานออกมาด้วยความเจ็บปวด ผู้ใดจะไม่รู้สึกแม้ว่าจะเป็นเพียงแค่การดีดนิ้วแต่ผู้ที่ดีดนิ้วใส่หน้าผากของเขาคือชายที่ทั่วทั้ง 9 ภพยกย่องให้เป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดแรงดีดเพียงแค่นี้ก็ราวกับโดนหมัดรุนแรงต่อยเข้ามาแล้ว
มือทั้งสองข้างยกขึ้นมาจับที่หน้าผากที่บัดนี้มันแดงก่ำเพราะเพียงแรงดีดนิ้ว
“แย่งชิงงั้นรึเจ้าแปด เจ้าตอบข้าหน่อยสิว่าข้าคือผู้ใด” ชายชราที่อยู่ในอาภรณ์สีดำทมิฬประหนึ่งขนของอีกาก็เอ่ยออกมาพลางยืดอกอย่างสง่างาม
ลู่หานที่กำลังเจ็บปวดกับแผลที่เกิดขึ้นตรงบริเวณหน้าผากก็มองผู้เป็นอาจารย์ของตนเองพร้อมกับตอบกลับไป “อาจารย์คือมหาปราชญ์แห่งยุคที่ทั่วทั้ง 9 ภพยกย่องให้สูงเทียมฟ้าขอรับ”
เมื่อได้ยินคำตอบเช่นนั้นหวังเซียนฉิงที่กำลังยื่นออกอย่างภาคภูมิใจอยู่นั้นก็ยกยิ้มที่ใบหน้าของตนเองขึ้นมาพลางกล่าว “ใช่แล้วข้าคือฟ้า เพราะเช่นนั้นฟ้าทำอันใดก็ไม่ผิด”
“ข้าไม่ได้แย่งชิงมาข้าเพียงแค่หยิบมันมาโดยไม่รอคำอนุญาตก็เพียงเท่านั้น”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นลู่หานก็นึกถึงนิสัยที่ไม่สมดั่งผู้ยิ่งใหญ่ของมหาปราชญ์แห่งยุคผู้เป็นอาจารย์ได้ทันที เขามักจะทำตามใจตนเองไม่เกรงกลัวผู้ใดและไม่เกรงใจผู้ใดด้วย
นักเขียนเคยอธิบายเอาไว้ว่าเขาเคยอาละวาดภพสวรรค์เมื่อประมาณหนึ่งหมื่นปีก่อนด้วยเหตุที่ตนเองอยากได้กระบี่เก้าชั้นฟ้ามาเป็นอาวุธคู่กาย ตอนนั้นสวรรค์พังพินาศแต่ก็ไม่มีเทพองค์ใดดับสูญเพราะหวังเซียนฉิงไม่ได้คิดจะลงมือสังหาร แต่กระนั้นตอนอาละวาดภพสวรรค์ในครั้งนั้นความเสียหายของมันกว่าภพสวรรค์จะสามารถฟื้นกลับคืนมาเป็นสภาพเดิมได้ต้องใช้เวลาถึง 1000 ปี
“ไปกันเถอะเจ้าแปดในเมื่อศิษย์ของข้าอยากได้ก็ต้องได้” ชายชราหวังเซียนฉิงเอ่ยพลางกับยื่นมือจับร่างของเจ้าแปดพร้อมออกแรงกระโดดพุ่งไปด้านหน้าอย่างรวดเร็วเพื่อมุ่งตรงไปยังสถานที่ที่เจ้าหมอเทวะอาศัยอยู่
“เดี๋ยวๆๆ เดี๋ยวก่อนขอรับท่านอาจารย์!!!!”
จะไม่ให้ลู่หานร้องออกมาได้เช่นไร ร่างของชายชราที่สวมใส่อาภรณ์สีดำทมิฬประหนึ่งขนของอีกาเคลื่อนไหวลงจากบันไดหนึ่งหมื่นขั้นอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องใช้ค่ายกลมิติเคลื่อนย้ายเลยสักนิดแถมความรวดเร็วในการเคลื่อนที่จากด้านบนลงมาด้านล่างยังรวดเร็วเกือบจะเท่ากับการใช้ค่ายกลมิติเคลื่อนย้ายเสียอีกด้วย
จบตอน