ตอนที่ 6 เริ่มเพาะปลูกสมุนไพรหยางไท่
ตอนที่ 6
เริ่มเพาะปลูกสมุนไพรหยางไท่
เมื่อพูดถึงพิธีการบ่มเพาะแบบกลุ่มของสำนักอักษรสวรรค์ มันคือพิธีการที่ถูกจัดขึ้นโดยเจตนาของผู้อาวุโสทั้ง 4 ของสำนักอักษรสวรรค์
เดิมทีแล้วสำนักอักษรสวรรค์ถูกสร้างขึ้นมาโดยท่านมหาปราชญ์แห่งยุคเมื่อประมาณสิบปีถึงยี่สิบปีที่แล้วมันเป็นเหตุการณ์หลังจากที่มหาปราชญ์แห่งยุคได้เดินทางไปทั่วทั้งเก้าดินแดนและสร้างชื่อฝากเอาไว้ให้คนรุ่นหลังได้จดจำมากมาย ยามนั้นเขาอยากจะได้ที่อยู่อาศัยที่เป็นที่ปักหลักของตน จนสร้างสำนักอักษรสวรรค์ขึ้นมา โดยชักชวนพี่น้องร่วมสาบานทั้ง 4 คนมาช่วยกันก่อตั้ง
โดยศิษย์ของสำนักก็จะแบ่งออกเป็นสองระดับ ระดับหนึ่งคือศิษย์ทั่วไปที่ถูกสั่งสอนโดยผู้อาวุโสทั้งสี่ของสำนัก ส่วนศิษย์ระดับสองคนผู้ที่ได้รับการเลือกและการสั่งสอนจากมหาปราชญ์โดยตรง
โดยพิธีบ่มเพาะพลังแบบกลุ่มมันคือพิธีที่ถูกเห็นชอบและจัดขึ้นโดยผู้อาวุโสทั้ง 4 ของสำนัก ตามหลักแล้วศิษย์ทุกคนจะต้องเข้าร่วมไม่เว้นแม้แต่ศิษย์ระดับสอง
แน่นอนว่าการบ่มเพาะแบบกลุ่มนี้จะเป็นประโยชน์อย่างมาเพื่อบางคนก็สามารถรุกหน้าในพลังบ่มเพาะได้หลายระดับ แต่นั้นไม่ใช่สำหรับลู่หานตัวประกอบผู้แสนอดสูผู้นี้ จากการได้อ่านนิยานมันทำให้เขาจำได้แม่นยำว่าลู่หานมีพลังบ่มเพาะรุกหน้าที่มาจาก กำเนิดพลังสีเขียว มาเป็นกำเนิดพลังสีครามเท่านั้น
เพียงแค่ขั้นเดียวแต่ว่าการบ่มเพาะแบบกลุ่มแต่ละครั้งเหล่าศิษย์ของสำนักอักษรสวรรค์ต้องเก็บตัวบ่มเพาะอยู่ภายในอารามบ่มเพาะพลังเป็นเวลาหนึ่งเดือน
ลู่หานมองว่ามันไม่คุ้มเอาเสียเลย 1 เดือนพลังบ่มเพาะของเขาก้าวหน้าขึ้นมาเพียงแค่หนึ่งขั้นสู้เขาเอาเวลาในตอนนี้ไปปลูกพืชสมุนไพรเอาไปขายเพื่อเก็บเงินเอาไว้ประมูลเหรียญสวรรค์เสียดีกว่า เรื่องของการบ่มเพาะ ทักษะบ่มเพาะรากฐานให้ขึ้นสู่ขั้นบรรลุพลังการบ่มเพาะเขาก็มีวิธีที่ตนเองคิดเอาไว้อยู่แล้ว
ยามนี้แผนบางอย่างในการหนีการบ่มเพาะแบบกลุ่มครั้งนี้ก็ปรากฏขึ้นมาภายในหัวของเขา
“10 วันสินะ...” ลู่หานเอ่ยพลางยกยิ้มอย่างมีเลศนัย
ห้าวันผ่านพ้นไปหลังจากที่มู่หลานมาส่งข่าวให้กับลู่หานล่วงรู้ถึงการมีบ่มเพาะแบบกลุ่มที่กำลังจะมาถึงของสำนักอักษรสวรรค์
ในเวลาห้าวันลู่หานใช้มันไปกับการทำให้ตนเองนั้นคุ้นชินกับโลกใบนี้ เขาลองทำการฝึกบ่มเพาะทักษะบ่มเพาะรากฐาน ดูและลองใช้พลังบ่มเพาะในการใช้วรยุทธดู
แม้ว่าการฝึกวรยุทธจำพวกการต่อยตีจะไม่เข้ากับคนอย่างเขาสักเท่าไหร่เพราะว่าในยุคสมัยที่เขาจากมามันก็ไม่ได้มีการต่อสู้แย่งชิงอะไรพวกนี้อยู่แล้วและต้องการเวลาปรับตัวระยะนึง
แต่การฝึกบ่มเพาะทักษะมันไปได้สวยกว่าที่เขาคิดมาก อาจจะเพราะว่าการอ่านนิยายเรื่องนี้มาเป็นเวลาหลายปี นักเขียนนิยายเรื่องจ้าวกระบี่สวรรรค์สยบฟ้าก็จะบรรยายถึงจุดการบ่มเพาะอย่างละเอียดเอาไว้
มันเป็นวิธีการบ่มเพาะทักษะของเยี่ยหวนผู้ที่เป็นตัวเอกของเรื่องนี้ กระนั้นเมื่อเขานำมันมาประยุกต์ใช้มันก็เห็นผลได้ดีกว่าที่คิด
ยามนี้ผ่านไป 5 วันจากการเฝ้าฝึกบ่มเพาะพลังทักษะมาอย่างหนักหน่วงโดยใช้วิธีการของตัวเอกของเรื่องมันก็ทำให้ ทักษะบ่มเพาะรากฐาน ภายในร่างกายของเขาใกล้จะก้าวขึ้นสูงระดับกำเนิดพลังสีครามแล้ว ลู่หานมั่นใจว่าอีกเพียง 2 วันเขาสามารถบรรลุถึงระดับกำเนิดพลังสีครามได้อย่างแน่นอน
ในขณะที่ลู่หานเข้ามานั่งพักจิบชาอยู่ภายในห้องโถงในเรือนไม้ของตนเองในยามเที่ยงวันหลังจากที่เขาฝึกฝนการต่อสู้ในยามเช้าเสร็จ
ฟิ้ว!!! สายลมอ่อนๆพัดโชยปรากฏร่างของสตรีผู้มีใบหน้างดงามแต่แฝงไปด้วยความเย็นชาที่สวมใส่อาภรณ์สีขาวออกมาเบื้องหน้าของลู่หานที่กำลังนั่งจิบชาอยู่อย่างเพลิดเพลินใจ
“ศิษย์พี่สาม!!!” ลู่หานอุทานด้วยความตระหนกเมื่อเห็นร่างของมู่หลานมาปรากฏกายอยู่เบื้องหน้าของตนเองอย่างไม่ให้ซุ่มให้เสียง
เมื่อเห็นศิษย์น้องของนางตื่นตระหนกกับการปรากฏกายของนาง ดวงตางดงามที่แฝงความเฉียบคมก็กระพริบมองที่ลู่หานปริบๆ เมื่อมองใบหน้าของนางยามนี้ก็ให้น่าเอ็นดูยิ่งนัก
เขายังไม่คุ้นชินกับการปรากฏตัวของนางจริงๆอยู่ๆนางก็ปรากฏกายออกมาอย่างไม่ให้ซุ่มให้เสียงราวกับผีอย่างไงอย่างงั้น
เมื่อลู่หานตั้งสติได้สตรีผู้งดงามเบื้องหน้าของเขาก็ยื่นอันใดบางอย่างมาให้ มันคือถุงผ้าสีน้ำตาลที่มีขนาดไม่ใหญ่มากนัก
ลู่หานมองสิ่งที่มู่หลานนางยื่นมาให้ครู่หนึ่งก่อนจะคิดได้ว่ามันคงจะเป็นเมล็ดของสมุนไพรหยางไท่ที่เขาไหว้วานให้นางช่วยหา
สองมือยื่นไปประคองถุงสีน้ำตาลเอาไว้ในมือก่อนจะลองเปิดมองดูสิ่งที่อยู่ด้านใน เมล็ดพืชสีแดงเข้มนอนนิ่งอยู่ภายในถุงผ้าสีน้ำตาลที่นางยื่นมาให้เขา จำนวนของเมล็ดมันมีจำนวนมากกว่า 200 เมล็ดอย่างแน่นอน
“เมล็ดหยางไท่งั้นรึขอรับ!!!” ลู่หานเงยหน้าถาม
“อืม~ ” มู่หลานพยักหน้า
ลู่หานเองก็ไม่เคยเห็นเมล็ดหยางไท่มาก่อนครั้งที่อ่านนิยายตอนที่ สามดินแดนของโลกมนุษย์เกิดประสบภัยหนาวครั้งใหญ่นักเขียนได้อธิบายเอาไว้ว่าสิ่งที่จะทำให้ผ่านพ้นภัยหนาวนี้ไปได้ดีที่สุดคือสมุนไพรหยางไท่
กระนั้นครั้งนั้นตามเนื้อเรื่องของนิยายที่สามารถผ่านพ้นภัยหนาวไปได้มันก็ไม่ได้เป็นเพราะสมุนไพรหยางไท่แต่มันเพราะว่าศิษย์ระดับสองทั้งแปดคนของมหาจอมปราชญ์ได้ร่วมมือกันสร้างค่ายกลขนาดใหญ่ขึ้นมาเพื่อปัดเป่าความหนาวเหน็บจากภัยหนาวของภพมนุษย์ทั้ง 3 ดินแดน
แม้ว่าจะสามารถปัดเป่าความหนาวเหน็บได้แต่นั่นมันก็เป็นเพียงแค่ช่วงท้ายของภัยหนาวแล้วเท่านั้น กว่าที่ค่ายกลนั้นจะสร้างเสร็จก็กินเวลาร่วมสองเดือน ในระหว่างที่ 2 เดือนที่ค่ายกลยังสร้างไม่เสร็จมีผู้คนแข็งตายเป็นจำนวนมาก
แต่ในครั้งนี้ลู่หานมองว่าเขาต้องปลูกพืชสมุนไพรหยางไท่เตรียมเอาไว้เพื่อทำประโยชน์กับภัยหนาวครั้งนี้
ลู่หานเมื่อได้ความว่าเมล็ดมากมายที่กำลังนอนนิ่งอยู่ภายในถุงผ้าสีน้ำตาลนี้คือเมล็ดของสมุนไพรหยางไท่ที่ตนเองต้องการก็เอ่ยถามกับศิษย์พี่สามผู้งดงามของตนอีกครั้ง “ศิษย์พี่พอรู้หรือไม่ขอรับว่ามันมีวิธีปลูกเช่นไร”
ลู่หานอยากรู้ถึงวิธีการปลูกสมุนไพรหยางไท่นี้ แม้จะรู้ว่าสมุนไพรหยางไท่มีสรรพคุณในการขับไปเย็นออกจากร่างกายจะทำให้ร่างกายอบอุ่นขึ้น แต่วิธีการเพราะปลูกมันภายในนิยายนักเขียนก็ไม่ได้มีอธิบายเอาไว้อย่างละเอียด
“พรวนดิน... ฝังเมล็ด... รดน้ำ...” มู่หลานตอบออกมาเพียงแค่สามคำเท่านั้น ใบหน้าที่เย็นชาประหนึ่งน้ำแข็งของนางก็ไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยสักนิดแม้ว่าลู่หานจะเอ่ยถามไปอย่างเป็นเรื่องเป็นราวก็ตาม
ลู่หานอยากจะยกมือขึ้นมากุมขมับของตนเองจริงๆ เขาไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรแล้วคำพูดของเขาคงจะส่งไปไม่ถึงนาง สิ่งที่เขานั้นอยากจะรู้คือรายละเอียดการปลูกสมุนไพรหยางไท่เชิงลึกไม่ใช่แค่การพรวนดินฝังเมล็ดและรดน้ำ
มู่หลานมองบุรุษเบื้องหน้าของนางที่ตอนนี้กำลังเต็มไปด้วยความสับสน เมื่อเห็นลู่หานเป็นเช่นนั้นนางก็ดึงถุงสีน้ำตาลภายในมือของอีกฝ่ายกลับมาอยู่ในมือของนาง
“เอ๊ะ!!!” ลู่หานอุทานประหลาด
“ตามข้ามา~”
มู่หลานที่เอ่ยจบก็เดินนำหน้าลู่หานออกไปด้านนอก เมื่อเห็นเช่นนั้นลู่หานที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไม่รีรอที่จะลุกตามนางไป
สถานที่ที่นางพาลู่หานเดินไปมันคือลานกว้างด้านหน้าที่ห่างจากเรือนไม้ของเขาประมาณเกือบจะลี้ ใบหน้างดงามที่แฝงไปด้วยความเย็นชาประหนึ่งน้ำแข็งนั้นเงยมองดวงอาทิตย์ที่กำลังเปล่งประกายทอแสงอยู่ด้านบนศีรษะ
“แสงจากดวงอาทิตย์จะช่วยให้มันเจริญเติบโต” นางอธิบายออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา
เมื่อได้ยินเช่นนั้นลู่หานก็พอจะตีความจากคำพูดนั้นได้บ้าง นางกำลังจะอธิบายว่าสมุนไพรหยางไท่จำเป็นต้องปลูกที่ๆแสงอาทิตย์ส่องลงมาถึงเพื่อให้มันเจริญเติบโตได้รวดเร็ว
เมื่อคิดถึงหลักการและเหตุผลการที่สมุนไพรหยางไท่มีคุณสมบัติในการขับพิษไอเย็นออกจากร่างกายแล้วสร้างความอบอุ่นแปลว่ามันน่าจะต้องการพลังบ่มเพาะจากแสงอาทิตย์เพื่อหล่อเลี้ยง
ลู่หานที่ตีความในประโยคนั้นได้ก็ยกสองมือขึ้นมาประสานกันเบื้องหน้าพลางกล่าวตามมารยาทด้วยใบหน้าระรื่น “ขอบคุณศิษย์พี่สามมากขอรับที่ชี้แนะ และก็ขอบคุณเรื่องสมุนไพรหยางไท่ด้วย”
“อืม~” มู่หลานพยักหน้าตอบกลับไป ก่อนที่นางจะยื่นถุงผ้าสีน้ำตาลในมือที่มีเมล็ดของสมุนไพรหยางไท่เป็นจำนวนมากอยู่ด้านในกลับคืนมาให้กับลู่หาน
มู่หลานมาทำธุระของตนเองเสร็จนางก็ย่างกายพาเรือนร่างอันงดงามของนางจากลู่หานไป บุรุษที่เพิ่งย่างเข้าวัย 20 ปีที่มีใบหน้าอันหล่อเหลาเป็นทุนเดิมก็เฝ้ามองแผ่นหลังอันงดงามของนางที่กำลังเดินจากไป
“อืม!!! อืม!!!” ลู่หานพยักหน้าขึ้นลงพลางยกมือข้างซ้ายมาลูบปลายทางหลังจากที่เฝ้ามองแผ่นหลังอันงดงาม
“สวยจริงๆมองจากด้านหลังหุ่นของนางสวยยิ่งกว่านางแบบอีก เยี่ยหวน ดูเหมือนว่าเจ้ากับข้าจะต้องแข่งกันแล้วล่ะว่าผู้ใดจะทำให้ภูเขาน้ำแข็งภายในใจของนางละลายก่อนกัน” ลู่หานเอ่ยด้วยรอยยิ้มอย่างมีเลศนัยหลังจากที่เฝ้ามองแผ่นหลังของมู่หลานที่เดินจากไป
หลังจากที่มู่หลานจากไปลู่หานก็ไม่รีรอที่จะเริ่มลองปลูกสมุนไพรหยางไท่ทันที ก่อนหน้านี้ลู่หานได้ลองลงไปจากยอดเขาหวนหลงเพื่อไปที่หมู่บ้านไร้ชื่อที่อยู่ด้านล่างเพื่อซื้ออุปกรณ์ทำสวนมาจำนวนหนึ่ง
ยามเที่ยงวันลู่หานลงมือพรวนดินและฝังเมล็ดไปตามลำดับ เขาพยายามเลี้ยงพวกมันและจัดสรรพื้นที่เป็นอย่างดีเพื่อให้แปลงสมุนไพรหยางไท่ไม่กินพื้นที่ของยอดเขาหวนหลงไม่มากนัก
ผ่านไปหลายชั่วยามพระอาทิตย์อัสดงเปล่งประกายทอแสงสีส้มอมแดงสว่างไสวปกคลุมไปทั่วทั้งท้องนภา ลู่หานที่กำลังพรวนดินพร้อมกับฝังเมล็ดสมุนไพรหยางไท่ต้นที่หนึ่งร้อยเสร็จก็หยุดมือเมื่อเห็นว่ามันเย็นมากแล้ว
“เอาละวันนี้แค่นี้ก่อนก็แล้วกัน” ลู่หานพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอิดโรยบัดนี้ร่างกายของเขากำลังถูกความเหนื่อยล้ากัดกินจนแทบอยากจะล้มทรุดลงไปนอนตรงนี้แล้ว
วันถัดมาลู่หานเริ่มปลูกพืชสมุนไพรหยางไท่ที่เหลืออยู่ให้หมดเมื่อสามารถปลูกพืชสมุนไพรหยางไท่ทั้งหมดได้สำเร็จเป็นจำนวน 200 ต้นในวันที่ 2 ลู่หานใช้เวลาอีกสามวันรดน้ำและมันก็เจริญเติบโตมาเป็นต้นอ่อน
ยามที่หยางไท่เติบโตขึ้นมาจนเป็นต้นอ่อนมันก็ครบกำหนด 10 วันในการที่วิธีบ่มเพาะแบบกลุ่มจะเริ่มต้นขึ้นพอดี
จบตอน
ตอนที่ 6
เริ่มเพาะปลูกสมุนไพรหยางไท่
เมื่อพูดถึงพิธีการบ่มเพาะแบบกลุ่มของสำนักอักษรสวรรค์ มันคือพิธีการที่ถูกจัดขึ้นโดยเจตนาของผู้อาวุโสทั้ง 4 ของสำนักอักษรสวรรค์
เดิมทีแล้วสำนักอักษรสวรรค์ถูกสร้างขึ้นมาโดยท่านมหาปราชญ์แห่งยุคเมื่อประมาณสิบปีถึงยี่สิบปีที่แล้วมันเป็นเหตุการณ์หลังจากที่มหาปราชญ์แห่งยุคได้เดินทางไปทั่วทั้งเก้าดินแดนและสร้างชื่อฝากเอาไว้ให้คนรุ่นหลังได้จดจำมากมาย ยามนั้นเขาอยากจะได้ที่อยู่อาศัยที่เป็นที่ปักหลักของตน จนสร้างสำนักอักษรสวรรค์ขึ้นมา โดยชักชวนพี่น้องร่วมสาบานทั้ง 4 คนมาช่วยกันก่อตั้ง
โดยศิษย์ของสำนักก็จะแบ่งออกเป็นสองระดับ ระดับหนึ่งคือศิษย์ทั่วไปที่ถูกสั่งสอนโดยผู้อาวุโสทั้งสี่ของสำนัก ส่วนศิษย์ระดับสองคนผู้ที่ได้รับการเลือกและการสั่งสอนจากมหาปราชญ์โดยตรง
โดยพิธีบ่มเพาะพลังแบบกลุ่มมันคือพิธีที่ถูกเห็นชอบและจัดขึ้นโดยผู้อาวุโสทั้ง 4 ของสำนัก ตามหลักแล้วศิษย์ทุกคนจะต้องเข้าร่วมไม่เว้นแม้แต่ศิษย์ระดับสอง
แน่นอนว่าการบ่มเพาะแบบกลุ่มนี้จะเป็นประโยชน์อย่างมาเพื่อบางคนก็สามารถรุกหน้าในพลังบ่มเพาะได้หลายระดับ แต่นั้นไม่ใช่สำหรับลู่หานตัวประกอบผู้แสนอดสูผู้นี้ จากการได้อ่านนิยานมันทำให้เขาจำได้แม่นยำว่าลู่หานมีพลังบ่มเพาะรุกหน้าที่มาจาก กำเนิดพลังสีเขียว มาเป็นกำเนิดพลังสีครามเท่านั้น
เพียงแค่ขั้นเดียวแต่ว่าการบ่มเพาะแบบกลุ่มแต่ละครั้งเหล่าศิษย์ของสำนักอักษรสวรรค์ต้องเก็บตัวบ่มเพาะอยู่ภายในอารามบ่มเพาะพลังเป็นเวลาหนึ่งเดือน
ลู่หานมองว่ามันไม่คุ้มเอาเสียเลย 1 เดือนพลังบ่มเพาะของเขาก้าวหน้าขึ้นมาเพียงแค่หนึ่งขั้นสู้เขาเอาเวลาในตอนนี้ไปปลูกพืชสมุนไพรเอาไปขายเพื่อเก็บเงินเอาไว้ประมูลเหรียญสวรรค์เสียดีกว่า เรื่องของการบ่มเพาะ ทักษะบ่มเพาะรากฐานให้ขึ้นสู่ขั้นบรรลุพลังการบ่มเพาะเขาก็มีวิธีที่ตนเองคิดเอาไว้อยู่แล้ว
ยามนี้แผนบางอย่างในการหนีการบ่มเพาะแบบกลุ่มครั้งนี้ก็ปรากฏขึ้นมาภายในหัวของเขา
“10 วันสินะ...” ลู่หานเอ่ยพลางยกยิ้มอย่างมีเลศนัย
ห้าวันผ่านพ้นไปหลังจากที่มู่หลานมาส่งข่าวให้กับลู่หานล่วงรู้ถึงการมีบ่มเพาะแบบกลุ่มที่กำลังจะมาถึงของสำนักอักษรสวรรค์
ในเวลาห้าวันลู่หานใช้มันไปกับการทำให้ตนเองนั้นคุ้นชินกับโลกใบนี้ เขาลองทำการฝึกบ่มเพาะทักษะบ่มเพาะรากฐาน ดูและลองใช้พลังบ่มเพาะในการใช้วรยุทธดู
แม้ว่าการฝึกวรยุทธจำพวกการต่อยตีจะไม่เข้ากับคนอย่างเขาสักเท่าไหร่เพราะว่าในยุคสมัยที่เขาจากมามันก็ไม่ได้มีการต่อสู้แย่งชิงอะไรพวกนี้อยู่แล้วและต้องการเวลาปรับตัวระยะนึง
แต่การฝึกบ่มเพาะทักษะมันไปได้สวยกว่าที่เขาคิดมาก อาจจะเพราะว่าการอ่านนิยายเรื่องนี้มาเป็นเวลาหลายปี นักเขียนนิยายเรื่องจ้าวกระบี่สวรรรค์สยบฟ้าก็จะบรรยายถึงจุดการบ่มเพาะอย่างละเอียดเอาไว้
มันเป็นวิธีการบ่มเพาะทักษะของเยี่ยหวนผู้ที่เป็นตัวเอกของเรื่องนี้ กระนั้นเมื่อเขานำมันมาประยุกต์ใช้มันก็เห็นผลได้ดีกว่าที่คิด
ยามนี้ผ่านไป 5 วันจากการเฝ้าฝึกบ่มเพาะพลังทักษะมาอย่างหนักหน่วงโดยใช้วิธีการของตัวเอกของเรื่องมันก็ทำให้ ทักษะบ่มเพาะรากฐาน ภายในร่างกายของเขาใกล้จะก้าวขึ้นสูงระดับกำเนิดพลังสีครามแล้ว ลู่หานมั่นใจว่าอีกเพียง 2 วันเขาสามารถบรรลุถึงระดับกำเนิดพลังสีครามได้อย่างแน่นอน
ในขณะที่ลู่หานเข้ามานั่งพักจิบชาอยู่ภายในห้องโถงในเรือนไม้ของตนเองในยามเที่ยงวันหลังจากที่เขาฝึกฝนการต่อสู้ในยามเช้าเสร็จ
ฟิ้ว!!! สายลมอ่อนๆพัดโชยปรากฏร่างของสตรีผู้มีใบหน้างดงามแต่แฝงไปด้วยความเย็นชาที่สวมใส่อาภรณ์สีขาวออกมาเบื้องหน้าของลู่หานที่กำลังนั่งจิบชาอยู่อย่างเพลิดเพลินใจ
“ศิษย์พี่สาม!!!” ลู่หานอุทานด้วยความตระหนกเมื่อเห็นร่างของมู่หลานมาปรากฏกายอยู่เบื้องหน้าของตนเองอย่างไม่ให้ซุ่มให้เสียง
เมื่อเห็นศิษย์น้องของนางตื่นตระหนกกับการปรากฏกายของนาง ดวงตางดงามที่แฝงความเฉียบคมก็กระพริบมองที่ลู่หานปริบๆ เมื่อมองใบหน้าของนางยามนี้ก็ให้น่าเอ็นดูยิ่งนัก
เขายังไม่คุ้นชินกับการปรากฏตัวของนางจริงๆอยู่ๆนางก็ปรากฏกายออกมาอย่างไม่ให้ซุ่มให้เสียงราวกับผีอย่างไงอย่างงั้น
เมื่อลู่หานตั้งสติได้สตรีผู้งดงามเบื้องหน้าของเขาก็ยื่นอันใดบางอย่างมาให้ มันคือถุงผ้าสีน้ำตาลที่มีขนาดไม่ใหญ่มากนัก
ลู่หานมองสิ่งที่มู่หลานนางยื่นมาให้ครู่หนึ่งก่อนจะคิดได้ว่ามันคงจะเป็นเมล็ดของสมุนไพรหยางไท่ที่เขาไหว้วานให้นางช่วยหา
สองมือยื่นไปประคองถุงสีน้ำตาลเอาไว้ในมือก่อนจะลองเปิดมองดูสิ่งที่อยู่ด้านใน เมล็ดพืชสีแดงเข้มนอนนิ่งอยู่ภายในถุงผ้าสีน้ำตาลที่นางยื่นมาให้เขา จำนวนของเมล็ดมันมีจำนวนมากกว่า 200 เมล็ดอย่างแน่นอน
“เมล็ดหยางไท่งั้นรึขอรับ!!!” ลู่หานเงยหน้าถาม
“อืม~ ” มู่หลานพยักหน้า
ลู่หานเองก็ไม่เคยเห็นเมล็ดหยางไท่มาก่อนครั้งที่อ่านนิยายตอนที่ สามดินแดนของโลกมนุษย์เกิดประสบภัยหนาวครั้งใหญ่นักเขียนได้อธิบายเอาไว้ว่าสิ่งที่จะทำให้ผ่านพ้นภัยหนาวนี้ไปได้ดีที่สุดคือสมุนไพรหยางไท่
กระนั้นครั้งนั้นตามเนื้อเรื่องของนิยายที่สามารถผ่านพ้นภัยหนาวไปได้มันก็ไม่ได้เป็นเพราะสมุนไพรหยางไท่แต่มันเพราะว่าศิษย์ระดับสองทั้งแปดคนของมหาจอมปราชญ์ได้ร่วมมือกันสร้างค่ายกลขนาดใหญ่ขึ้นมาเพื่อปัดเป่าความหนาวเหน็บจากภัยหนาวของภพมนุษย์ทั้ง 3 ดินแดน
แม้ว่าจะสามารถปัดเป่าความหนาวเหน็บได้แต่นั่นมันก็เป็นเพียงแค่ช่วงท้ายของภัยหนาวแล้วเท่านั้น กว่าที่ค่ายกลนั้นจะสร้างเสร็จก็กินเวลาร่วมสองเดือน ในระหว่างที่ 2 เดือนที่ค่ายกลยังสร้างไม่เสร็จมีผู้คนแข็งตายเป็นจำนวนมาก
แต่ในครั้งนี้ลู่หานมองว่าเขาต้องปลูกพืชสมุนไพรหยางไท่เตรียมเอาไว้เพื่อทำประโยชน์กับภัยหนาวครั้งนี้
ลู่หานเมื่อได้ความว่าเมล็ดมากมายที่กำลังนอนนิ่งอยู่ภายในถุงผ้าสีน้ำตาลนี้คือเมล็ดของสมุนไพรหยางไท่ที่ตนเองต้องการก็เอ่ยถามกับศิษย์พี่สามผู้งดงามของตนอีกครั้ง “ศิษย์พี่พอรู้หรือไม่ขอรับว่ามันมีวิธีปลูกเช่นไร”
ลู่หานอยากรู้ถึงวิธีการปลูกสมุนไพรหยางไท่นี้ แม้จะรู้ว่าสมุนไพรหยางไท่มีสรรพคุณในการขับไปเย็นออกจากร่างกายจะทำให้ร่างกายอบอุ่นขึ้น แต่วิธีการเพราะปลูกมันภายในนิยายนักเขียนก็ไม่ได้มีอธิบายเอาไว้อย่างละเอียด
“พรวนดิน... ฝังเมล็ด... รดน้ำ...” มู่หลานตอบออกมาเพียงแค่สามคำเท่านั้น ใบหน้าที่เย็นชาประหนึ่งน้ำแข็งของนางก็ไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยสักนิดแม้ว่าลู่หานจะเอ่ยถามไปอย่างเป็นเรื่องเป็นราวก็ตาม
ลู่หานอยากจะยกมือขึ้นมากุมขมับของตนเองจริงๆ เขาไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรแล้วคำพูดของเขาคงจะส่งไปไม่ถึงนาง สิ่งที่เขานั้นอยากจะรู้คือรายละเอียดการปลูกสมุนไพรหยางไท่เชิงลึกไม่ใช่แค่การพรวนดินฝังเมล็ดและรดน้ำ
มู่หลานมองบุรุษเบื้องหน้าของนางที่ตอนนี้กำลังเต็มไปด้วยความสับสน เมื่อเห็นลู่หานเป็นเช่นนั้นนางก็ดึงถุงสีน้ำตาลภายในมือของอีกฝ่ายกลับมาอยู่ในมือของนาง
“เอ๊ะ!!!” ลู่หานอุทานประหลาด
“ตามข้ามา~”
มู่หลานที่เอ่ยจบก็เดินนำหน้าลู่หานออกไปด้านนอก เมื่อเห็นเช่นนั้นลู่หานที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไม่รีรอที่จะลุกตามนางไป
สถานที่ที่นางพาลู่หานเดินไปมันคือลานกว้างด้านหน้าที่ห่างจากเรือนไม้ของเขาประมาณเกือบจะลี้ ใบหน้างดงามที่แฝงไปด้วยความเย็นชาประหนึ่งน้ำแข็งนั้นเงยมองดวงอาทิตย์ที่กำลังเปล่งประกายทอแสงอยู่ด้านบนศีรษะ
“แสงจากดวงอาทิตย์จะช่วยให้มันเจริญเติบโต” นางอธิบายออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา
เมื่อได้ยินเช่นนั้นลู่หานก็พอจะตีความจากคำพูดนั้นได้บ้าง นางกำลังจะอธิบายว่าสมุนไพรหยางไท่จำเป็นต้องปลูกที่ๆแสงอาทิตย์ส่องลงมาถึงเพื่อให้มันเจริญเติบโตได้รวดเร็ว
เมื่อคิดถึงหลักการและเหตุผลการที่สมุนไพรหยางไท่มีคุณสมบัติในการขับพิษไอเย็นออกจากร่างกายแล้วสร้างความอบอุ่นแปลว่ามันน่าจะต้องการพลังบ่มเพาะจากแสงอาทิตย์เพื่อหล่อเลี้ยง
ลู่หานที่ตีความในประโยคนั้นได้ก็ยกสองมือขึ้นมาประสานกันเบื้องหน้าพลางกล่าวตามมารยาทด้วยใบหน้าระรื่น “ขอบคุณศิษย์พี่สามมากขอรับที่ชี้แนะ และก็ขอบคุณเรื่องสมุนไพรหยางไท่ด้วย”
“อืม~” มู่หลานพยักหน้าตอบกลับไป ก่อนที่นางจะยื่นถุงผ้าสีน้ำตาลในมือที่มีเมล็ดของสมุนไพรหยางไท่เป็นจำนวนมากอยู่ด้านในกลับคืนมาให้กับลู่หาน
มู่หลานมาทำธุระของตนเองเสร็จนางก็ย่างกายพาเรือนร่างอันงดงามของนางจากลู่หานไป บุรุษที่เพิ่งย่างเข้าวัย 20 ปีที่มีใบหน้าอันหล่อเหลาเป็นทุนเดิมก็เฝ้ามองแผ่นหลังอันงดงามของนางที่กำลังเดินจากไป
“อืม!!! อืม!!!” ลู่หานพยักหน้าขึ้นลงพลางยกมือข้างซ้ายมาลูบปลายทางหลังจากที่เฝ้ามองแผ่นหลังอันงดงาม
“สวยจริงๆมองจากด้านหลังหุ่นของนางสวยยิ่งกว่านางแบบอีก เยี่ยหวน ดูเหมือนว่าเจ้ากับข้าจะต้องแข่งกันแล้วล่ะว่าผู้ใดจะทำให้ภูเขาน้ำแข็งภายในใจของนางละลายก่อนกัน” ลู่หานเอ่ยด้วยรอยยิ้มอย่างมีเลศนัยหลังจากที่เฝ้ามองแผ่นหลังของมู่หลานที่เดินจากไป
หลังจากที่มู่หลานจากไปลู่หานก็ไม่รีรอที่จะเริ่มลองปลูกสมุนไพรหยางไท่ทันที ก่อนหน้านี้ลู่หานได้ลองลงไปจากยอดเขาหวนหลงเพื่อไปที่หมู่บ้านไร้ชื่อที่อยู่ด้านล่างเพื่อซื้ออุปกรณ์ทำสวนมาจำนวนหนึ่ง
ยามเที่ยงวันลู่หานลงมือพรวนดินและฝังเมล็ดไปตามลำดับ เขาพยายามเลี้ยงพวกมันและจัดสรรพื้นที่เป็นอย่างดีเพื่อให้แปลงสมุนไพรหยางไท่ไม่กินพื้นที่ของยอดเขาหวนหลงไม่มากนัก
ผ่านไปหลายชั่วยามพระอาทิตย์อัสดงเปล่งประกายทอแสงสีส้มอมแดงสว่างไสวปกคลุมไปทั่วทั้งท้องนภา ลู่หานที่กำลังพรวนดินพร้อมกับฝังเมล็ดสมุนไพรหยางไท่ต้นที่หนึ่งร้อยเสร็จก็หยุดมือเมื่อเห็นว่ามันเย็นมากแล้ว
“เอาละวันนี้แค่นี้ก่อนก็แล้วกัน” ลู่หานพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอิดโรยบัดนี้ร่างกายของเขากำลังถูกความเหนื่อยล้ากัดกินจนแทบอยากจะล้มทรุดลงไปนอนตรงนี้แล้ว
วันถัดมาลู่หานเริ่มปลูกพืชสมุนไพรหยางไท่ที่เหลืออยู่ให้หมดเมื่อสามารถปลูกพืชสมุนไพรหยางไท่ทั้งหมดได้สำเร็จเป็นจำนวน 200 ต้นในวันที่ 2 ลู่หานใช้เวลาอีกสามวันรดน้ำและมันก็เจริญเติบโตมาเป็นต้นอ่อน
ยามที่หยางไท่เติบโตขึ้นมาจนเป็นต้นอ่อนมันก็ครบกำหนด 10 วันในการที่วิธีบ่มเพาะแบบกลุ่มจะเริ่มต้นขึ้นพอดี
จบตอน
ตอนที่ 6
เริ่มเพาะปลูกสมุนไพรหยางไท่
เมื่อพูดถึงพิธีการบ่มเพาะแบบกลุ่มของสำนักอักษรสวรรค์ มันคือพิธีการที่ถูกจัดขึ้นโดยเจตนาของผู้อาวุโสทั้ง 4 ของสำนักอักษรสวรรค์
เดิมทีแล้วสำนักอักษรสวรรค์ถูกสร้างขึ้นมาโดยท่านมหาปราชญ์แห่งยุคเมื่อประมาณสิบปีถึงยี่สิบปีที่แล้วมันเป็นเหตุการณ์หลังจากที่มหาปราชญ์แห่งยุคได้เดินทางไปทั่วทั้งเก้าดินแดนและสร้างชื่อฝากเอาไว้ให้คนรุ่นหลังได้จดจำมากมาย ยามนั้นเขาอยากจะได้ที่อยู่อาศัยที่เป็นที่ปักหลักของตน จนสร้างสำนักอักษรสวรรค์ขึ้นมา โดยชักชวนพี่น้องร่วมสาบานทั้ง 4 คนมาช่วยกันก่อตั้ง
โดยศิษย์ของสำนักก็จะแบ่งออกเป็นสองระดับ ระดับหนึ่งคือศิษย์ทั่วไปที่ถูกสั่งสอนโดยผู้อาวุโสทั้งสี่ของสำนัก ส่วนศิษย์ระดับสองคนผู้ที่ได้รับการเลือกและการสั่งสอนจากมหาปราชญ์โดยตรง
โดยพิธีบ่มเพาะพลังแบบกลุ่มมันคือพิธีที่ถูกเห็นชอบและจัดขึ้นโดยผู้อาวุโสทั้ง 4 ของสำนัก ตามหลักแล้วศิษย์ทุกคนจะต้องเข้าร่วมไม่เว้นแม้แต่ศิษย์ระดับสอง
แน่นอนว่าการบ่มเพาะแบบกลุ่มนี้จะเป็นประโยชน์อย่างมาเพื่อบางคนก็สามารถรุกหน้าในพลังบ่มเพาะได้หลายระดับ แต่นั้นไม่ใช่สำหรับลู่หานตัวประกอบผู้แสนอดสูผู้นี้ จากการได้อ่านนิยานมันทำให้เขาจำได้แม่นยำว่าลู่หานมีพลังบ่มเพาะรุกหน้าที่มาจาก กำเนิดพลังสีเขียว มาเป็นกำเนิดพลังสีครามเท่านั้น
เพียงแค่ขั้นเดียวแต่ว่าการบ่มเพาะแบบกลุ่มแต่ละครั้งเหล่าศิษย์ของสำนักอักษรสวรรค์ต้องเก็บตัวบ่มเพาะอยู่ภายในอารามบ่มเพาะพลังเป็นเวลาหนึ่งเดือน
ลู่หานมองว่ามันไม่คุ้มเอาเสียเลย 1 เดือนพลังบ่มเพาะของเขาก้าวหน้าขึ้นมาเพียงแค่หนึ่งขั้นสู้เขาเอาเวลาในตอนนี้ไปปลูกพืชสมุนไพรเอาไปขายเพื่อเก็บเงินเอาไว้ประมูลเหรียญสวรรค์เสียดีกว่า เรื่องของการบ่มเพาะ ทักษะบ่มเพาะรากฐานให้ขึ้นสู่ขั้นบรรลุพลังการบ่มเพาะเขาก็มีวิธีที่ตนเองคิดเอาไว้อยู่แล้ว
ยามนี้แผนบางอย่างในการหนีการบ่มเพาะแบบกลุ่มครั้งนี้ก็ปรากฏขึ้นมาภายในหัวของเขา
“10 วันสินะ...” ลู่หานเอ่ยพลางยกยิ้มอย่างมีเลศนัย
ห้าวันผ่านพ้นไปหลังจากที่มู่หลานมาส่งข่าวให้กับลู่หานล่วงรู้ถึงการมีบ่มเพาะแบบกลุ่มที่กำลังจะมาถึงของสำนักอักษรสวรรค์
ในเวลาห้าวันลู่หานใช้มันไปกับการทำให้ตนเองนั้นคุ้นชินกับโลกใบนี้ เขาลองทำการฝึกบ่มเพาะทักษะบ่มเพาะรากฐาน ดูและลองใช้พลังบ่มเพาะในการใช้วรยุทธดู
แม้ว่าการฝึกวรยุทธจำพวกการต่อยตีจะไม่เข้ากับคนอย่างเขาสักเท่าไหร่เพราะว่าในยุคสมัยที่เขาจากมามันก็ไม่ได้มีการต่อสู้แย่งชิงอะไรพวกนี้อยู่แล้วและต้องการเวลาปรับตัวระยะนึง
แต่การฝึกบ่มเพาะทักษะมันไปได้สวยกว่าที่เขาคิดมาก อาจจะเพราะว่าการอ่านนิยายเรื่องนี้มาเป็นเวลาหลายปี นักเขียนนิยายเรื่องจ้าวกระบี่สวรรรค์สยบฟ้าก็จะบรรยายถึงจุดการบ่มเพาะอย่างละเอียดเอาไว้
มันเป็นวิธีการบ่มเพาะทักษะของเยี่ยหวนผู้ที่เป็นตัวเอกของเรื่องนี้ กระนั้นเมื่อเขานำมันมาประยุกต์ใช้มันก็เห็นผลได้ดีกว่าที่คิด
ยามนี้ผ่านไป 5 วันจากการเฝ้าฝึกบ่มเพาะพลังทักษะมาอย่างหนักหน่วงโดยใช้วิธีการของตัวเอกของเรื่องมันก็ทำให้ ทักษะบ่มเพาะรากฐาน ภายในร่างกายของเขาใกล้จะก้าวขึ้นสูงระดับกำเนิดพลังสีครามแล้ว ลู่หานมั่นใจว่าอีกเพียง 2 วันเขาสามารถบรรลุถึงระดับกำเนิดพลังสีครามได้อย่างแน่นอน
ในขณะที่ลู่หานเข้ามานั่งพักจิบชาอยู่ภายในห้องโถงในเรือนไม้ของตนเองในยามเที่ยงวันหลังจากที่เขาฝึกฝนการต่อสู้ในยามเช้าเสร็จ
ฟิ้ว!!! สายลมอ่อนๆพัดโชยปรากฏร่างของสตรีผู้มีใบหน้างดงามแต่แฝงไปด้วยความเย็นชาที่สวมใส่อาภรณ์สีขาวออกมาเบื้องหน้าของลู่หานที่กำลังนั่งจิบชาอยู่อย่างเพลิดเพลินใจ
“ศิษย์พี่สาม!!!” ลู่หานอุทานด้วยความตระหนกเมื่อเห็นร่างของมู่หลานมาปรากฏกายอยู่เบื้องหน้าของตนเองอย่างไม่ให้ซุ่มให้เสียง
เมื่อเห็นศิษย์น้องของนางตื่นตระหนกกับการปรากฏกายของนาง ดวงตางดงามที่แฝงความเฉียบคมก็กระพริบมองที่ลู่หานปริบๆ เมื่อมองใบหน้าของนางยามนี้ก็ให้น่าเอ็นดูยิ่งนัก
เขายังไม่คุ้นชินกับการปรากฏตัวของนางจริงๆอยู่ๆนางก็ปรากฏกายออกมาอย่างไม่ให้ซุ่มให้เสียงราวกับผีอย่างไงอย่างงั้น
เมื่อลู่หานตั้งสติได้สตรีผู้งดงามเบื้องหน้าของเขาก็ยื่นอันใดบางอย่างมาให้ มันคือถุงผ้าสีน้ำตาลที่มีขนาดไม่ใหญ่มากนัก
ลู่หานมองสิ่งที่มู่หลานนางยื่นมาให้ครู่หนึ่งก่อนจะคิดได้ว่ามันคงจะเป็นเมล็ดของสมุนไพรหยางไท่ที่เขาไหว้วานให้นางช่วยหา
สองมือยื่นไปประคองถุงสีน้ำตาลเอาไว้ในมือก่อนจะลองเปิดมองดูสิ่งที่อยู่ด้านใน เมล็ดพืชสีแดงเข้มนอนนิ่งอยู่ภายในถุงผ้าสีน้ำตาลที่นางยื่นมาให้เขา จำนวนของเมล็ดมันมีจำนวนมากกว่า 200 เมล็ดอย่างแน่นอน
“เมล็ดหยางไท่งั้นรึขอรับ!!!” ลู่หานเงยหน้าถาม
“อืม~ ” มู่หลานพยักหน้า
ลู่หานเองก็ไม่เคยเห็นเมล็ดหยางไท่มาก่อนครั้งที่อ่านนิยายตอนที่ สามดินแดนของโลกมนุษย์เกิดประสบภัยหนาวครั้งใหญ่นักเขียนได้อธิบายเอาไว้ว่าสิ่งที่จะทำให้ผ่านพ้นภัยหนาวนี้ไปได้ดีที่สุดคือสมุนไพรหยางไท่
กระนั้นครั้งนั้นตามเนื้อเรื่องของนิยายที่สามารถผ่านพ้นภัยหนาวไปได้มันก็ไม่ได้เป็นเพราะสมุนไพรหยางไท่แต่มันเพราะว่าศิษย์ระดับสองทั้งแปดคนของมหาจอมปราชญ์ได้ร่วมมือกันสร้างค่ายกลขนาดใหญ่ขึ้นมาเพื่อปัดเป่าความหนาวเหน็บจากภัยหนาวของภพมนุษย์ทั้ง 3 ดินแดน
แม้ว่าจะสามารถปัดเป่าความหนาวเหน็บได้แต่นั่นมันก็เป็นเพียงแค่ช่วงท้ายของภัยหนาวแล้วเท่านั้น กว่าที่ค่ายกลนั้นจะสร้างเสร็จก็กินเวลาร่วมสองเดือน ในระหว่างที่ 2 เดือนที่ค่ายกลยังสร้างไม่เสร็จมีผู้คนแข็งตายเป็นจำนวนมาก
แต่ในครั้งนี้ลู่หานมองว่าเขาต้องปลูกพืชสมุนไพรหยางไท่เตรียมเอาไว้เพื่อทำประโยชน์กับภัยหนาวครั้งนี้
ลู่หานเมื่อได้ความว่าเมล็ดมากมายที่กำลังนอนนิ่งอยู่ภายในถุงผ้าสีน้ำตาลนี้คือเมล็ดของสมุนไพรหยางไท่ที่ตนเองต้องการก็เอ่ยถามกับศิษย์พี่สามผู้งดงามของตนอีกครั้ง “ศิษย์พี่พอรู้หรือไม่ขอรับว่ามันมีวิธีปลูกเช่นไร”
ลู่หานอยากรู้ถึงวิธีการปลูกสมุนไพรหยางไท่นี้ แม้จะรู้ว่าสมุนไพรหยางไท่มีสรรพคุณในการขับไปเย็นออกจากร่างกายจะทำให้ร่างกายอบอุ่นขึ้น แต่วิธีการเพราะปลูกมันภายในนิยายนักเขียนก็ไม่ได้มีอธิบายเอาไว้อย่างละเอียด
“พรวนดิน... ฝังเมล็ด... รดน้ำ...” มู่หลานตอบออกมาเพียงแค่สามคำเท่านั้น ใบหน้าที่เย็นชาประหนึ่งน้ำแข็งของนางก็ไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยสักนิดแม้ว่าลู่หานจะเอ่ยถามไปอย่างเป็นเรื่องเป็นราวก็ตาม
ลู่หานอยากจะยกมือขึ้นมากุมขมับของตนเองจริงๆ เขาไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรแล้วคำพูดของเขาคงจะส่งไปไม่ถึงนาง สิ่งที่เขานั้นอยากจะรู้คือรายละเอียดการปลูกสมุนไพรหยางไท่เชิงลึกไม่ใช่แค่การพรวนดินฝังเมล็ดและรดน้ำ
มู่หลานมองบุรุษเบื้องหน้าของนางที่ตอนนี้กำลังเต็มไปด้วยความสับสน เมื่อเห็นลู่หานเป็นเช่นนั้นนางก็ดึงถุงสีน้ำตาลภายในมือของอีกฝ่ายกลับมาอยู่ในมือของนาง
“เอ๊ะ!!!” ลู่หานอุทานประหลาด
“ตามข้ามา~”
มู่หลานที่เอ่ยจบก็เดินนำหน้าลู่หานออกไปด้านนอก เมื่อเห็นเช่นนั้นลู่หานที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไม่รีรอที่จะลุกตามนางไป
สถานที่ที่นางพาลู่หานเดินไปมันคือลานกว้างด้านหน้าที่ห่างจากเรือนไม้ของเขาประมาณเกือบจะลี้ ใบหน้างดงามที่แฝงไปด้วยความเย็นชาประหนึ่งน้ำแข็งนั้นเงยมองดวงอาทิตย์ที่กำลังเปล่งประกายทอแสงอยู่ด้านบนศีรษะ
“แสงจากดวงอาทิตย์จะช่วยให้มันเจริญเติบโต” นางอธิบายออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา
เมื่อได้ยินเช่นนั้นลู่หานก็พอจะตีความจากคำพูดนั้นได้บ้าง นางกำลังจะอธิบายว่าสมุนไพรหยางไท่จำเป็นต้องปลูกที่ๆแสงอาทิตย์ส่องลงมาถึงเพื่อให้มันเจริญเติบโตได้รวดเร็ว
เมื่อคิดถึงหลักการและเหตุผลการที่สมุนไพรหยางไท่มีคุณสมบัติในการขับพิษไอเย็นออกจากร่างกายแล้วสร้างความอบอุ่นแปลว่ามันน่าจะต้องการพลังบ่มเพาะจากแสงอาทิตย์เพื่อหล่อเลี้ยง
ลู่หานที่ตีความในประโยคนั้นได้ก็ยกสองมือขึ้นมาประสานกันเบื้องหน้าพลางกล่าวตามมารยาทด้วยใบหน้าระรื่น “ขอบคุณศิษย์พี่สามมากขอรับที่ชี้แนะ และก็ขอบคุณเรื่องสมุนไพรหยางไท่ด้วย”
“อืม~” มู่หลานพยักหน้าตอบกลับไป ก่อนที่นางจะยื่นถุงผ้าสีน้ำตาลในมือที่มีเมล็ดของสมุนไพรหยางไท่เป็นจำนวนมากอยู่ด้านในกลับคืนมาให้กับลู่หาน
มู่หลานมาทำธุระของตนเองเสร็จนางก็ย่างกายพาเรือนร่างอันงดงามของนางจากลู่หานไป บุรุษที่เพิ่งย่างเข้าวัย 20 ปีที่มีใบหน้าอันหล่อเหลาเป็นทุนเดิมก็เฝ้ามองแผ่นหลังอันงดงามของนางที่กำลังเดินจากไป
“อืม!!! อืม!!!” ลู่หานพยักหน้าขึ้นลงพลางยกมือข้างซ้ายมาลูบปลายทางหลังจากที่เฝ้ามองแผ่นหลังอันงดงาม
“สวยจริงๆมองจากด้านหลังหุ่นของนางสวยยิ่งกว่านางแบบอีก เยี่ยหวน ดูเหมือนว่าเจ้ากับข้าจะต้องแข่งกันแล้วล่ะว่าผู้ใดจะทำให้ภูเขาน้ำแข็งภายในใจของนางละลายก่อนกัน” ลู่หานเอ่ยด้วยรอยยิ้มอย่างมีเลศนัยหลังจากที่เฝ้ามองแผ่นหลังของมู่หลานที่เดินจากไป
หลังจากที่มู่หลานจากไปลู่หานก็ไม่รีรอที่จะเริ่มลองปลูกสมุนไพรหยางไท่ทันที ก่อนหน้านี้ลู่หานได้ลองลงไปจากยอดเขาหวนหลงเพื่อไปที่หมู่บ้านไร้ชื่อที่อยู่ด้านล่างเพื่อซื้ออุปกรณ์ทำสวนมาจำนวนหนึ่ง
ยามเที่ยงวันลู่หานลงมือพรวนดินและฝังเมล็ดไปตามลำดับ เขาพยายามเลี้ยงพวกมันและจัดสรรพื้นที่เป็นอย่างดีเพื่อให้แปลงสมุนไพรหยางไท่ไม่กินพื้นที่ของยอดเขาหวนหลงไม่มากนัก
ผ่านไปหลายชั่วยามพระอาทิตย์อัสดงเปล่งประกายทอแสงสีส้มอมแดงสว่างไสวปกคลุมไปทั่วทั้งท้องนภา ลู่หานที่กำลังพรวนดินพร้อมกับฝังเมล็ดสมุนไพรหยางไท่ต้นที่หนึ่งร้อยเสร็จก็หยุดมือเมื่อเห็นว่ามันเย็นมากแล้ว
“เอาละวันนี้แค่นี้ก่อนก็แล้วกัน” ลู่หานพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอิดโรยบัดนี้ร่างกายของเขากำลังถูกความเหนื่อยล้ากัดกินจนแทบอยากจะล้มทรุดลงไปนอนตรงนี้แล้ว
วันถัดมาลู่หานเริ่มปลูกพืชสมุนไพรหยางไท่ที่เหลืออยู่ให้หมดเมื่อสามารถปลูกพืชสมุนไพรหยางไท่ทั้งหมดได้สำเร็จเป็นจำนวน 200 ต้นในวันที่ 2 ลู่หานใช้เวลาอีกสามวันรดน้ำและมันก็เจริญเติบโตมาเป็นต้นอ่อน
ยามที่หยางไท่เติบโตขึ้นมาจนเป็นต้นอ่อนมันก็ครบกำหนด 10 วันในการที่วิธีบ่มเพาะแบบกลุ่มจะเริ่มต้นขึ้นพอดี
จบตอน