ตอนที่ 5 เริ่มฝึกฝนอักขระ
บทที่ห้า
เริ่มฝึกฝนอักขระ
หลังจากเหนื่อยจากการทำงานที่โรงเลี้ยงม้าของราชวงศ์มาทั้งวัน เมื่อถึงเวลาพักหลิงเฉินก็ต้องเดินทางกลับมาที่โรงเลี้ยงม้าเก่าๆที่ทรุดโทรมของตนเอง ตอนนี้โรงเลี้ยงม้าเก่าๆหลังนี้กลายเป็นที่นอนของเขาไปเสียแล้ว
แต่หลิงเฉินก็คิดว่าอย่างไรเสียเป็นเช่นนี้ก็ดีแล้วเพราะว่าถ้าเขาไปนอนรวมกับพวกทาสคนอื่นๆคงจะลำบากในการฝึกฝนอักขระ
ท้องนภาเริ่มมืดสนิทยามราตรีที่หนาวเย็นเข้ามาถึง ตอนนี้หลิงเฉินไม่จำเป็นต้องใช้เทียนเพื่อให้แสงสว่างในยาค่ำคืนแล้ว เพราะว่าตอนนี้หลิงเฉินนั้นใช้งานการวาดอักขระเพื่อจุดเปลวเพลิงเล็กๆขึ้นมา
เปลวเพลิงเล็กๆให้แสงสว่างไสวภายในโรงเลี้ยงม้าเก่าๆแห่งนี้ อักขระที่หลิงเฉินใช้งานอยู่นั้นเป็นอักขระที่จุดเปลวเพลิงขึ้นมาโดยอักขระเช่นนี้มิได้สิ้นเปลืองพลังวิญญาณขนาดนั้นเขาสามารถจุดมันทั้งคืนก็ได้
อักขระแต่ละอักขระก็มีระดับของมันผู้ฝึกยุทธ์มิใช่ว่าสามารถวาดอักขระทุกอย่างได้โดยไม่มีเงื่อนไข ถ้าพลังวิญญาณภายในร่างกายไม่ถึงขั้นก็ไม่สามารถวาดให้อักขระทำงานได้
โดยอักขระนั้นจะแบ่งออกเป็นแปดระดับจะบ่งบอกตามสี สีขาวคือต่ำที่สุดและไล่ขึ้นไป
ระดับของวิชาอักขระ
-สีขาว
-สีเขียว
-สีฟ้า
-สีคราม
-สีม่วง
-สีแดง
-สีส้ม
-สีทอง
โดยอักขระแต่ละระดับก็จะมีพลังต่างกันไปในยุคสมัยเมื่อ 500 ปีก่อนที่หลิงเฉินจากมา ผู้ฝึกตนที่สามารถวาดอักขระระดับสีทองขึ้นมาได้นั้นมีน้อยนิด หลิงเฉินก็เป็นหนึ่งในนั้น
เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ภายในโรงเลี้ยงม้าเก่าๆตอนนี้หลิงเฉินกำลังตั้งจิตแล้วเริ่มขัดเกลาเพื่อเพิ่มพูนพลังวิญญาณภายในร่างกายของเขา เพราะว่าในยามนี้การวาดอักขระสำหรับหลิงเฉินในตอนนี้มีขีดจำกัดอยู่มาก
เขาจำเป็นต้องขัดเกลาพลังวิญญาณภายให้พลังวิญญาณร่างกายในมากพอที่จะสามารถวาดอักขระระดับสีฟ้าขึ้นมาได้เสียก่อน
หลิงเฉินที่นั่งอยู่บนกองฟางแห้งๆที่เขาใช้เป็นที่หลับนอน มือข้างขวาได้ยื่นไปเปิดเสื้อบริเวณหน้าอกออก
หน้าอกข้างขวาของเขามีสัญลักษณ์เล็กๆบางอย่างถูกสลักเอาไว้ หลิงเฉินรู้ดีว่ามันคืออันใด
สิ่งที่สลักอยู่บนร่างกายของเขาคืออักขระทาส โดยผู้ที่เป็นทาสทุกคนจะถูกผู้เป็นนายไปจ้างให้สลักอักขระชนิดนี้เข้าที่ร่างกาย
ความสามารถของมันก็คือผู้ที่เป็นทาสจะไม่สามารถทำร้ายและหนีไปจากผู้เป็นนายได้ โดยถ้าทาสออกห่างจากผู้ที่เป็นนายในระหว่างสิบลี้ก่อนหนึ่งวันทาสผู้นั้นจะต้องตาย
นี่คือสิ่งแรกที่หลิงเฉินจำเป็นต้องจัดการ เขาต้องลบอักขระทาสนี่ออกจากร่างกายของเขาเสียก่อนไม่เช่นนั้นคงจะทำอันใดได้ไม่สะดวกนัก
โดยการลบล้างอักขระนี่ออกไปมันไม่ได้ยากเย็นเลย ทว่าถ้าจะลบล้างอักขระนี่ออกไปต้องเป็นผู้ที่สามารถเขียนอักขระระดับสีฟ้าได้
ในการเพิ่มพูนพลังวิญญาณหลิงเฉินคิดเอาไว้ว่ามันคงจะใช้เวลาหลายเดือนถ้าแต่เขารอนานขนาดนั้นไม่ได้หรอกจำเป็นต้องมีบางอย่างช่วยเร่ง ยาเม็ดเพิ่มวิญญาณ มันเป็นยาที่สามารถช่วยเร่งการฝึกฝนได้ในช่วงแรกๆ
เขาจำเป็นต้องออกไปตามหายาเม็ดนั้น ถ้าถึงอย่างไรเสียการที่จะได้มันมาเขาจำเป็นต้องออกไปนอกวัง ตอนนี้หลิงเฉินต้องเพิ่มพูนพลังวิญญาณด้วยวิธีการพื้นฐานไปก่อน
เจ็ดวันหลังจากที่หลิงเฉินเรื่องฝึกฝนพลังวิญญาณอย่างจริงจัง ในเจ็ดวันที่ผ่านมาหลิงเฉินใช้เวลาการวันในการไปทำงานที่โรงเลี้ยงม้าของราชวงศ์ ส่วนในเวลากลางคืนก็ใช้ไปกับการเพิ่มพูนพลังวิญญาณ
โดยการฝึกฝนพลังวิญญาณในช่วงแรกๆมันไม่ค่อยมีอันใดซับซ้อนสักเท่าไหร่ ในการฝึกฝนในช่วงแรกสิ่งที่ต้องทำก็คือการขัดเกลาพลังวิญญาณไปเรื่อยๆก็เท่านั้น
ค่ำคืนนี้ท้องนภานั้นปิดมืดสนิทม่านเมฆสีดำลอยปกคลุมทั่วทั้งท้องฟ้ามิมีแม้แต่แสงจันทราหรือว่าแสงของดวงดาราปรากฏให้เห็นเลยสักนิด วันนี้เป็นวันที่หลิงเฉินตัดสินใจจะออกจากวังหลวงไป
เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาแต่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าโกโรโกโส เขาเดินตรงไปที่ประตูของวังที่อยู่ใกล้ๆโรงเลี้ยงม้าเก่าๆที่เขาอยู่มากที่สุด
สองเท้านั้นก้าวตรงเข้าไปด้วยความเร็วที่สม่ำเสมอ ก่อนที่จะถึงจุดที่มีพวกทหารยามยืนอยู่หลิงเฉินที่มีท่าทางนิ่งเฉยเขายกนิ้วชี้และนิ้วกลางในมือข้างขวาของตนเองขึ้นมาแล้ววาดอักขระบางอย่างอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่เขาวาดมันเสร็จร่างของหลิงเฉินที่กำลังเดินตรงไปที่ประตูวังก็เริ่มถูกลบหายไปราวกับไม่เคยมีตัวตนอยู่ตรงนั้น เขากำลังอำพรางกายอยู่
ตอนนี้หลิงเฉินมีพลังวิญญาณมากพอที่จะวาดอักขระระดับสีเขียวได้แล้ว กระนั้นอักขระที่เขาวาดเมื่อครู่มันก็เป็นอักขระระดับสีเขียวเหมือนกัน
หลิงเฉินพยายามเพิ่มพูนพลังวิญญาณของตนเองให้สามารถใช้งานอักขระชนิดนี้ได้เพื่อให้ตนเองออกไปด้านนอกได้สะดวก
การที่อักขระอำพรางกายที่เขาใช้อยู่เป็นเพียงอักขระระดับสีเขียวนั้นเพราะว่ามันไม่ได้เป็นอักขระที่ดีมากนัก เพราะว่าถ้าเจอกับผู้ฝึกตนแล้วมันก็ถูกมองออกได้อย่างง่ายดาย แต่หลิงเฉินก็มั่นใจว่ามันใช้กับทหารยามพวกนี้ได้
และแล้วหลิงเฉินก็ออกจากประตูวังหลวงได้โดยง่ายดาย ทหารยามพวกนี้มิมีผู้ใดเป็นผู้ฝึกตนจึงมิมีผู้ใดจับผิดเขาได้
เมื่อคิดดูแล้วผู้ฝึกตนที่ใดจะมาเป็นทหารเฝ้ายามกัน หลิงเฉินรู้เรื่องนั้นดีอยู่แล้วเขาจึงเลือกใช้อักขระชนิดนี้
หลังจากหลุดรอดออกมาจากวังหลวงได้เขามองหน้าตรงที่ไปตลาดยามค่ำคืน โชคดีที่ในอดีตเขาเคยเดินเล่นอยู่ในเมืองหลวงแห่งนี้อยู่บ้าง และตอนนี้จุดต่างๆก็มิได้เปลี่ยนไปมากนักไม่เหมือนกับในวังหลวง
ตลาดยามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยผู้คนเดินพล่าน ตลาดแห่งนี้แม้จะผ่านไปห้าร้อยปีก็ไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด เขาเดินชมตลาดไปอย่างช้าๆแต่ดูชุดของเขาสิ่งการที่หลิงเฉินสวมใส่สิ มันเรื่องดึงดูดสายตาของชาวเมืองมากขึ้น
เพราะว่าเมื่อมองดูแล้วก็รู้ได้ทันทีเลยว่าเป็นทาส คงจะเป็นทาสบ้านไหนสักบ้านที่หลุดออกมา
หลิงเฉินที่สัมผัสได้ว่ามีสายตามากมายมองมาที่ตนเองเขารู้ได้ทันทีว่ามันไม่ใช่เรื่องดีนัก ถ้าอยู่ต่ออีกนิดคงจะโดนตามจับเป็นแน่ หลังจากตระหนักได้เช่นนั้นเขาก็ออกวิ่งอย่างสุดกำลังไปที่ไหนสักแห่ง
จบบท