ตอนที่ 3 วิถีแห่งการฝึกตน
ตอนที่สาม
วิถีแห่งการฝึกตน
ภายในโรงเลี้ยงม้าที่เงียบงันมีเพียงแสงจากแท่นเทียนเล็กๆถูกสว่างไสวอยู่ ร่างของเด็กหนุ่มวัยเพียงสิบห้าปีกำลังนั่งหนาวสั่นอยู่ภายในโรงเลี้ยงม้าเก่าๆหลังนี้ หลิงเฉินพยายามพาร่างกายของตนเข้าใกล้เปลวเพลิงจากแท่งเทียนเล็กๆที่จุดอยู่เพราะว่ามันคือความอบอุ่นสิ่งเดียวที่มีอยู่ในที่แห่งนี้
เทียนเก่าๆเล่มนี้เขาได้มาจากท่านตาท่านหนึ่งตอนที่ไปทำงานในตอนกลางวัน ไม่เช่นนั้นเขาก็คงนอนอยู่ในที่มืดๆแห่งนี้ไปอีกคืนหนึ่งเป็นแน่
ในการที่ไปทำงานในโรงเลี้ยงม้าในตอนกลางวันเขาข้อมูลเรื่องต่างๆเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้มามากพอสมควร อย่างแรกก็คือเจ้าของร่างของเด็กหนุ่มที่เขามาอยู่มีชื่อเดียวกับเขาคือหลิงเฉิน
หลิงเฉินเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกนำมาขายเป็นทาสของโรงเลี้ยงม้าของราชวงศ์ ก่อนหน้านี้ที่ร่างของเด็กน้อยหลิงเฉินผู้นี้มีแต่รอยบาดแผลก็เพราะว่าเขาไปมีเรื่องกับคนของราชวงศ์เลยโดนลงโทษ
อีกอย่างที่เป็นสิ่งสำคัญที่สุดก็คือช่วงเวลาที่เขาอยู่ในตอนนี้มันห่างจากช่วงเวลาที่เขาเคยอยู่เมื่อชีวิตก่อนถึงประมาณห้าร้อยปี แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้แตกต่างอันใดสักเท่าไหร่ เพราะว่าผู้คนก็ยังฝึกฝนวิชายุทธ์เช่นเดิม
แม้ว่าจะทำงานอยู่ในโรงเลี้ยงม้าแต่ว่าสถานที่แห่งนี้ก็เป็นถึงโรงเลี้ยงม้าของราชวงศ์เหล่าบ่าวไพร่ที่ทำงานอยู่ในนั้นก็ต่างรู้เรื่องราวต่างๆมากพอสมควร
หลิงเฉินนั้นสอบถามจากคนภายในโรงเลี้ยงม้าจนได้ความมาว่าตอนนี้ผู้ฝึกฝนอักขระนั้นแบ่งออกเป็นผู้ฝึกตนสิบระดับ
-ก่อกำเนิด
-รากฐาน
-หยั่งรู้
-บรรลุชะตา
-รากฐานแห่งเซียน
-เซียนอักขระ
-กำเนิดสวรรค์
-ราชันย์อักขระ
-เซียน
-จักรพรรดิสวรรค์
ทั้งหมดมีสิบขั้นในยุคสมัยเมื่อห้าร้อยปีที่แล้วมิเห็นว่ามีเรื่องอันใดเช่นนี้มาก่อนเลย ผู้ที่ฝึกฝนวิชาอักขระก็มุ่งมั่นในการฝึกตนไม่เห็นว่าต้องมาแบ่งแยกของพวกนี้ให้ยุ่งยาก สำหรับหลิงเฉินแล้วคิดว่าการที่ผู้คนกำหนดพวกนี้ขึ้นมาอาจจะเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกถึงความแข็งแกร่งก็เท่านั้น
เขาคือผู้ที่ถูกเรียกว่าจักรพรรดิอักขระของพวกนี้มันมิเห็นสำคัญเลย ผู้ที่ฝึกตนควรจะมุ่งมั่นในการฝึกฝนไม่ควรมาสนใจเรื่องพวกนี้ให้เสียเวลาโดยใช่เรื่อง
หลิงเฉินที่นั่งอยู่ใกล้ๆแสงเทียนเล็กๆได้รวบรวมสมาธิของตนเองแล้วนำมือทั้งสองข้างมาประสานกันตรงหน้าอกก่อนที่เปลือกตาทั้งสองข้างจะพับปิดลง หลิงเฉินกำลังจะเริ่มเข้าสู่การฝึกตนขั้นแรก เขาต้องทำให้แก่นพลังวิญญาณภายในร่างกายของเขามีพลังวิญญาณไหลเวียนเสียก่อนเขาถึงจะเรียกได้ว่าเข้าสู่วิถีแห่งการฝึกตน
คนปกติถ้าคิดจะทำให้แก่นวิญญาณภายในร่างกายมีพลังวิญญาณเริ่มไหลเวียนคงจะต้องใช้เวลาเป็นเดือนหรือหลายเดือนถึงจะสามารถทำได้ แต่เขาเป็นถึงจักรพรรดิอักขระแม้ว่าจะมาอยู่ในร่างกายของเด็กน้อยหลิงเฉินผู้นี้ แต่ความรู้ของเขาในตลอดการฝึกตนมาก็ยังคงอยู่ภายในหัว หลิงเฉินมั่นใจว่าเพียงแค่คืนเดียวเขาก็สามารถทำได้แล้ว
หลังจากนั้นหลิงเฉินก็เริ่มฝึกฝนขั้นตอนแรกตามความรู้ที่เขามี ผ่านไปหลายชั่วยามหลิงเฉินยังคงนั่งอยู่ท่าเดิมโดยไม่ขยับมิแต่เพียงนิด
ก่อนที่ฟ้าจะสางไม่นานเท่านั้นตอนนี้ร่างกายของหลิงเฉินเริ่มมีพลังวิญญาณแผ่ออกมาจากร่างกายแม้ว่าจะเบาบางก็ตาม ดูเหมือนว่าเป้าหมายของเขาอย่างแรกจะสำเร็จลุล่วงไปได้ดี เขาสามารถทำมันได้การที่กระตุ้นพลังวิญญาณภายในร่างกายให้เริ่มไหลเวียน
ดวงตาทั้งสองข้างของหลิงเฉินได้เปิดขึ้นมาหลังจากพับปิดอยู่นาน
“รู้สึกได้แล้วถึงพลังวิญญาณที่กำลังไหลเวียนอยู่ในร่างกายของข้า”
หลังจากที่สามารถสัมผัสพลังวิญญาณภายในร่างกายได้หลิงเฉินก็ฉีกยิ้มที่มุมปากข้างขวาของตนเอง เขาสามารถทำมันได้สำเร็จการที่จะทำให้แก่นพลังวิญญาณภายในร่างกายมีพลังวิญญาณไหลเวียนได้ในคืนเดียวคงจะมีแต่เขาเท่านั้นที่ทำมันได้
ตอนนี้ร่างกายของหลิงเฉินมีพลังวิญญาณไหลเวียนอยู่แล้วการที่เขาจะลองวาดอักขระเริ่มต้นขึ้นมาสักอันมันก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอันใด
หลิงเฉินเริ่มเรียกเร้นพลังวิญญาณภายในร่างกายมาอยู่ที่ปลายนิ้วก่อนที่จะใช้นิ้วชี้ของตนเองลองวาดอักขระพื้นฐานที่ด้วยไม่ซับซ้อนขึ้นมา พลังวิญญาณถูกขีดเขียนขึ้นมาเป็นเส้นพลังบนอากาศ เมื่อสามารถขีดเขียนอักขระจนเสร็จแล้ว เปลวเพลิงเล็กๆปรากฏขึ้นมาบนอากาศ
“สำเร็จ!!!” หลิงเฉินอดดีใจไม่ได้ที่ตนเองสามารถทำมันสำเร็จ แม้ว่าเปลวเพลิงที่ปรากฏขึ้นมานั้นมันจะมีขนาดเพียงเทียบเท่ากับเปลวเพลิงของเทียนแท่งเล็กๆที่เขาจุดเพื่อให้แสงสว่างในยามค่ำคืนเท่านั้น
ผลของอักขระที่ขีดเขียนขึ้นมันจะขึ้นอยู่กับพลังวิญญาณของผู้ที่วาด ตอนนี้หลิงเฉินอยู่ในระดับเริ่มต้นเพราะว่าเขาเพิ่งจะสามารถทำให้พลังวิญญาณไหลเวียนในแก่นพลังวิญญาณภายในร่างกายได้เท่านั้น
ในใต้หล้าแห่งนี้มีอักขระมากมายถ้าจะให้พูดถึงรูปแบบมันก็มีมากกว่าหนึ่งหมื่นชนิดแล้ว นี่ยังไม่รวมกับสิ่งที่เรียกว่าการผสมผสานอักขระอีกถ้าจะให้นับรวมกันมันก็คงจะนับไม่หมด
หลิงเฉินคือผู้ที่เหล่าผู้คนเรียกว่าจักรพรรดิอักขระแม้ว่าเขาจะถูกเรียกว่าจักรพรรดิอักขระแต่ว่าเขาก็ไม่สามารถเรียนรู้อักขระได้ทั้งหมดในใต้หล้า
หลังจากที่สามารถทำให้พลังวิญญาณไหลเวียนภายในแก่นพลังวิญญาณได้สำเร็จแสงอาทิตย์ยามเช้าก็เปล่งประกายทอแสงสีทองลอดผ่านเข้ามาตามรูของโรงเลี้ยงม้าเก่าๆหลังนี้พอดิบพอดี
“ต่อจากนี้สามปีข้าจะต้องทำให้พลังวิญญาณของข้ากลับไปให้ได้ครึ่งหนึ่งของชีวิตเก่าของข้า” หลิงเฉินกล่าวออกมาอย่างหนักแน่น เขามั่นใจว่าเขาจะสามารถทำมันได้เพราะว่าชาติที่แล้วเขาตั้งเริ่มวิถีแห่งการฝึกตนโดยมิมีความรู้อันใดกว่าเขาจะสามารถวาดอักขระระดับสีทองได้อายุก็ปาเข้าไปสี่สิบปีแล้ว
แต่ตอนนี้เขามั่นใจว่าเขาสามารถพัฒนาได้รวดเร็วกว่าชาติก่อนหลายเท่าตัวนัก
จบบท