ตอนที่ 1 เทพอักขระหวนคืน
ตอนที่หนึ่ง
เทพอักขระหวนคืน
อักขระคือสิ่งที่ผู้ฝึกยุทธ์ทุกผู้มุ่งมั่นฝึกฝนทั้งชีวิต พลังวิญญาณภายในร่างกายถูกเรียกเร้นออกมาแล้วขีดเขียนเป็นเส้นทางแห่งพลังยุทธให้ปรากฏแสดงออกมาในรูปพลังต่างๆ ข้าหลิงเฉินผู้ที่มุ่งมั่นในเส้นทางแห่งการฝึกตนมาตั้งแต่ยังเยาว์ จนข้านั้นบรรลุเส้นทางแห่งการฝึกตนตอนวัยสามสิบปี
ข้าขีดเขียนเส้นอักขระมาแล้วหลายสิบหมื่นครั้งไม่สิบางทีมันอาจจะมากกว่านั้นแล้วก็ได้ แทบจะมิมีอักขระรูปแบบใดที่ข้าขีดเขียนมิได้ ข้าสามารถวาดอักขระที่เรียกว่าเป็นอักขระที่ฝืนชะตาฟ้าดินมาแล้วหลายอันไม่ว่าจะเป็น อักขระอายุยืน อักขระหยุดเวลา แต่มีหนึ่งอักขระที่ข้าใช้เวลาเป็นร้อยปีในการวาดมัน
อักขระที่เป็นอักขระที่สามารถกำหนดโชคชะตาชีวิตของตนเองได้ไม่ให้อยู่ใต้ชะตาของฟ้าดิน ข้ามุ่งมั่นในการฝึกฝนมันมานับร้อยๆปีจนถึงตอนนี้มันเป็นช่วงสุดท้ายของชีวิตข้าได้วาดมันจนสำเร็จแล้ว
ข้ายังจำวินาทีนั้นได้เป็นอย่างดีตอนที่ข้าสามารถวาดมันสำเร็จตอนนั้นสติของข้านั้นหลุดลอยไปที่ไหนสักแห่ง หรือว่านี่คือผลจากการที่วาดอักขระที่ใช้ในการฝืนชะตาฟ้างั้นรึ!!! แต่ว่าถ้าสามารถวาดได้สำเร็จแล้วเหตุใดถึงข้ายังมิสามารถเลือกชะตาชีวิตของตนเองได้ละและเหตุใดทุกอย่างถึงมืดไปหมดแถมร่างกายยังรู้สึกว่าถูกไอเย็นแทรกเข้ามาทำร้ายร่างกายอีก
ร่างกายผอมแห้งที่สามารถเรียกได้ว่าแทบจะเหลือแต่กระดูก ร่างของชายผู้นั้นกำลังนอนหดตัวอยู่ภายในโรงเลี้ยงม้าที่แสนจะโกโรโกโส อาภรณ์ที่เขาสวมใส่อยู่นั้นเสื้อผ้าเก่าๆที่ขาดเสียเป็นรูกว้างเสียจนแทบจะไม่สามารถปกป้องร่างกายจากความหนาวเหน็บในยามค่ำคืนเช่นนี้ได้แล้ว
ดวงตาทั้งสองข้างที่พับปิดอยู่ค่อยๆเปิดขึ้นอย่างช้าๆ มันเป็นดวงตาสีดำที่แสนจะธรรมดาๆ หลิงเฉินกำลังงุนงงทัศนียภาพรอบกายของเขาเต็มไปด้วยความมืด แถมร่างกายยังรู้สึกหนาวเหน็บเช่นนี้ทำให้แขนทั้งสองข้างค่อยๆขยับมาโอบกอดร่างกายที่ผอมแห้งของตนเองเอาไว้
เมื่อฝ่ามือที่เย็นเฉียบสัมผัสเข้าที่ผิวหนังเพื่อหวังจะบรรเทาความหนาวเหน็บที่กำลังเล่นงานร่างกายอยู่แต่สิ่งที่ได้กลับมามันคือความเจ็บปวดที่สุดแสนจะทรมาน
“โอ๊ย!!!” หลิงเฉินส่งเสียงร้องออกมาอย่างเบาๆ
ดวงตาทั้งสองข้างของเขากวาดมองไปตามผิวหนังบริเวณที่เขาใช้มือสัมผัสลงไป มันเต็มไปด้วยรอยเขียวช้ำมากมาย
“ทำไมร่างกายของข้าถึงเป็นเช่นนี้เนี่ย!!!”
หลิงเฉินเต็มไปด้วยความสงสัยท่ามกลางความมืดที่กำลังรายล้อมร่างกายอยู่เขาได้แสดงใบหน้างุนงงออกมา ผ่านไปไม่กี่วินาทีหลิงเฉินถึงฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าร่างกายของตนไม่ได้ผอมแห้งจนเหลือแต่กระดูกเช่นนี้
เขาค่อยๆพาร่างของตนเองลุกขึ้นมาจากพื้นที่เย็นเฉียบ ดวงตาสีดำสองข้างกวาดมองสำรวจรอบกายที่เต็มไปด้วยความมืด สถานที่แห่งนี้คือโรงเลี้ยงม้าเก่าๆที่มิมีม้าอยู่เลยสักตัว สำหรับหลิงเฉินแล้วสถานที่แห่งนี้มันคือสถานที่ที่แปลกตาสำหรับเขา
สถานที่แห่งนี้ทั้งมืดและหนาวเย็นในเวลานี้เขาควรจะตั้งสมาธิแล้วเริ่มวาดอักขระเพื่อให้แสงสว่างในที่มืดแห่งนี้ หลิงเฉินยกมือข้างขวาของตนขึ้นแล้วเริ่มพยายามใช้นิ้วชี้ของตนวาดไปบนอากาศเพื่อพยายามเขียนอักขระที่ให้แสงสว่างในความมืด
แต่เมื่อเริ่มใช้นิ้วชี้เขียนอักขระหลิงเฉินก็รู้สึกได้ว่ามันมิมีอะไรบางอย่างออกมาเลย พลังยุทธภายในร่างกายมันเหือดแห้งจนมิมีแม้แต่พลังที่จะวาดอักขระออกมาได้เลยสักนิด เส้นทางของพลังมันไม่ปรากฏออกมาเลยสักนิด
มันควรจะมีสิ!!! เหตุใดผู้ที่ศึกษาเรื่องอักขระมานับร้อยปีเช่นเขาถึงมิสามารถวาดอักขระที่เป็นอักขระพื้นฐานเพื่อให้แสงสว่างได้ แถมเมื่อรวบรวมสมาธิตรองดูดีๆแล้วร่างกายของเขาก็มิมีพลังวิญญาณเหลือเลยสักนิด
แก่นพลังวิญญาณภายในร่างกายมันเหือดแห้งไปหมดไม่เหลือแม้แต่สักนิดราวกับทะเลสาบที่เหือดแห้ง หลิงเฉินยังไม่ปักใจเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้นเขาได้ยกนิ้วมือขึ้นมาเริ่มวาดอักขระอีกครั้งนึงแต่มันก็มิมีอันใดเกิดขึ้นเลยสักนิด
“อะไร!!! เหตุใดข้าถึง!!!” หลิงเฉินพีมพำกับตนเองภายในความมืด
หลิงเฉินยังคงไม่ปักใจเชื่อกับสิ่งที่เกิดขึ้นเขานั้นใช้นิ้วของตนวาดอักขระภายในความมืดซ้ำไปมานับสิบครั้งแต่มันก็ยังคงมิมีอันใดปรากฏออกมา จนกระทั่งหลิงเฉินนั้นเริ่มตระหนักได้แล้วว่าบัดนี้แก่นพลังวิญญาณของเขาไม่มีแม้แต่พลังวิญญาณหลงเหลืออยู่เลยสักนิด
ภายในหัวของหลิงเฉินกำลังตั้งคำถามมากมายให้กับตัวของเขา เขากำลังพยายามถามกับตนเองว่าตอนนี้มันเกิดอันใดขึ้นแล้วเหตุใดแก่นพลังวิญญาณถึงมิมีพลังวิญญาณหลืออยู่เลยสักนิด เมื่อตรองดูจากสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วหลังจากที่เขาวาดอักขระชนิดนั้นสำเร็จเพื่อให้เขาจะสามารถกำหนดชะตาชีวิตของตนเองได้ แต่ดูเหมือนว่ามันจะผิดพลาดจนทำให้บางอย่างเกิดขึ้นกับร่างกายของเขา
หลิงเฉินนั้นทำอันใดมิได้ดูเหมือนว่าบัดนี้ร่างกายของเขามันจะอ่อนแอเกินไปแถมแก่นพลังวิญญาณภายในร่างกายของเขายังมิมีพลังวิญญาณเหลืออยู่เลยสักนิดเดียว ภายในความมืดเช่นนี้เขาคงจะทำได้อย่างเดียวคือรอให้ด้านนอกเช้าแล้วเขาออกไปดูก็เท่านั้น
ท่ามกลางความมืดหลิงเฉินได้ใช้สองมือโอบกอดร่างกายของตนเองเพื่อบรรเทาความหนาวเย็นที่กำลังทำร้ายร่างกายของเขา เขามิเคยรู้มาก่อนเลยว่าหนึ่งราตรีมันจะยาวนานได้เช่นนี้ หนึ่งราตรีนี้มันเป็นหนึ่งราตรีที่แสนจะทรมานเขาถูกไอแห่งความหนาวเย็นกัดกินร่างกายที่ผอมจนเหลือแต่กระดูกของเขาอยู่ตลอดทั้งคืน
หลิงเฉินได้แต่ทนนอนหนาวสั่นอยู่ภายในโรงเลี้ยงม้าที่แสนจะโกโรโกโสแห่งนี้โดยทำอันใดมิได้เลยสักนิด เขาได้แต่ทนรอให้แสงอรุณแรกของวันนั้นปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าก็เท่านั้น
แสงอาทิตย์สีส้มอ่อนนั้นเริ่มเปล่งประกายทอแสงสว่างบนท้องฟ้า แสงสว่างเหล่านั้นเริ่มลอดผ่านช่องไม้ต่างๆเข้ามาด้านในโรงเลี้ยงม้าเก่าๆหลังนี้ที่หลิงเฉินกำลังนอนหลับใหลอยู่ เปลือกตาที่กำลังพับปิดอยู่ทั้งสองข้างของหลิงเฉินก็ค่อยๆเริ่มลืมตาตื่นขึ้นมา
บัดนี้รอบกายของเขาเริ่มมองเห็นทัศนียภาพต่างๆได้ชัดเจนมากขึ้น สิ่งแรกที่หลิงเฉินทำหลังจากที่สามารถมองเห็นรอบกายได้ก็คือการมองสำรวจร่างกายของตนเอง ตอนนี้ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยบาดแผลมากมายในตอนแรกเพราะความมืดมิดในยามราตรีมันจึงทำให้เขามิค่อยเห็นบาดแผลเหล่านี้ชัดเจนสักเท่าไหร่
“ไอ้หมาตัวไหนมันกล้ามาทำกับร่างของข้าเช่นนี้!!!” หลิงเฉินเปล่งเสียงดังลั่นออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว เขาเป็นถึงผู้ที่ผู้คนต่างเรียกว่าราชันย์แห่งอักขระผู้ใดมันกล้ากระทำเช่นนี้
ในขนาดที่ภายในใจยังคงเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวหูของหลิงเฉินก็ได้ยินเสียงของประตูไม้ที่ปิดอยู่เลื่อนเปิดออก แสงอรุณสีส้มอ่อนๆส่องทอประกายเข้ามาด้านใน ดวงตาทั้งสองข้างที่มองไปทางประตูบานไม้ที่ถูกเปิดเข้ามา
“หลิงเฉิน!!! เจ้าสวะ!!! ยังไม่ตื่นอีกงั้นรึ”
จบตอน