ตอนที่แล้วChapter 48: เจ้าชายกำลังกลับบ้าน – 3 (ส่วนที่2)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปChapter 50: เจ้าชายเข้าร่วมงานเลี้ยง -1 (ส่วนที่ 2)  

Chapter 49: เจ้าชายเข้าร่วมงานเลี้ยง -1 (ส่วนที่ 1)


ฉันพยายามจะหนีจริงๆ

อย่างไรก็ตาม ฉันทำไม่ได้

คนสวนที่โผล่มากลับกลายเป็นจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังทำสวนอยู่ ในส่วนของฉันนั้น ฉันได้ถูกเรียกตัวไปที่โถงรับแขกของจักรวรรดิอย่างรวดเร็ว หรือจะพูดให้ถูกก็คือถูกลากไปโดยไม่สนความต้องการของฉันมากกว่า

มีพาลาดินจำนวนมากยืนต่อแถวกันที่สองฝั่งของโถงที่กว้างใหญ่ ขุนนางชั้นสูงและสมาชิกนักบวชกำลังเพ่งสายตามาที่ฉัน แต่ฉันก็เพ่งไปที่ข้างหน้าอย่างเดียวด้วยความหนักแน่น

“ฮื่มม...”

ชายแก่ไม่ได้สวมเสื้อผ้าซอมซ่อเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว ตอนนี้เขาสวมเสื้อผ้าที่งดงามสมกับเป็นจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ มงกุฎถูกสวมเอาไว้ที่ศีรษะของเขา และเสื้อคลุมหรูหราสีขาวที่ประดับด้วยลวดลายสีทองก็ได้เสริมความสง่าของเขาขึ้นไปอีก

ในขณะที่กำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์ที่โอ่ฮ่า เขาก็มองมาที่ฉัน ศีรษะของเขาเอียงไปที่ด้านข้างเล็กน้อย “ไม่เจอกันพักนึงแล้วนะ เจ้าชายองค์ที่เจ็ด อัลเลน ออโฟเซ่”

กับคำพูดพวกนี้ ฉันจบลงด้วยการเหลือบมองไปด้านข้าง

พวกขุนนางกำลังกระซิบกระซาบกันเอง

“...มันเป็นความจริงใช้ไหมที่บอกว่าเขาล่าแวมไพร์ได้?”

“เจ้าชายองค์ที่เจ็ดทำอะไรนะ? ได้ยังไงกัน?”

“จากที่ฉันได้ยินมา แวมไพร์ที่เป็นตัวปัญหานั้นมีระดับพลังมารที่มหาศาลพอๆกับเคานต์เลย หรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ ต่อให้ทั้งภาคีอัศวินไปโอบล้อมมันก็คงจะไม่เพียงพอที่จะกำราบเจ้าสิ่งนั้น มันค่อนข้างชัดเจนว่ากองทัพและฮาร์แมนมีส่วนเกี่ยวข้องกับความสำเร็จนี้

“แต่ว่า ประชาชนของโรเนียได้บอกว่าพวกเขาสนับสนุนเจ้าชายใช่ไหม?”

“จะต้องมีผู้เชี่ยวชาญหรือคนที่คล้ายๆแบบนั้นมาเกี่ยวข้องด้วยแน่นอนครับ มันค่อนข้างชัดเจนเลยว่าเจ้าชายแค่ฉกฉิงความสำเร็จนี้มาเพื่อตัวเขาเอง”

จินตนาการของผู้อาศัยในโลกนี้ดูค่อนข้างหยาบคายชะมัด

เนื่องจากฉันไม่รู้มารยาทที่ถูกต้องของศาลจักรวรรดิมาตั้งแต่แรกแล้ว มันจึงทำให้ฉันหนักใจมากว่าจะเอายังไงต่อดี

จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เฝ้าสังเกตฉันอยู่ซักพักก็ที่จะเอ่ยปากพูดออกมา “ฉันได้รับแจ้งมาว่าเจ้าล่าแวมไพร์ได้สำเร็จ ข้อมูลนี้เป็นความจริงแค่ไหน?”

เอาหล่ะ....ฉันควรตอบเขาไปยังไงดี?

ตอนนี้มีแวมไพร์ตัวนึงอาศัยอยู่ในลอเรนซิส เมืองหลวงของจักรวรรดิทีโอเครติค

เนื่องจากพ่อค้าแม่ค้าในตลาดพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘อีกแล้ว’ ในบทสนทนาของพวกเขา มันก็น่าจะค่อนข้างเป็นไปได้อยู่ที่จะสันนิษฐานว่าราชวงศ์รู้ถึงตัวตนของ ‘เจ้าสิ่งมีชีวิตนี้’ ที่ซุกซ่อนอยู่ในเมืองแล้ว

พูดตามตรง มีโอกาสสูงมากที่นี่จะเป็นอุบายเพื่อตรวจสอบดูว่าฉันเป็นคนที่สามารถล่าแวมไพร์ได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังทำให้ความสำเร็จในโรเนียของฉันเป็นที่รับรู้โดยทั่วกันด้วย ไม่ว่ายังไงนี่ก็คือสิ่งที่ฉันคิด

นอกจากนี้มันยังมีบรรยากาศความสงสัยอยู่แล้วด้วยว่าฉันกับฮาร์แมนล่าแวมไพร์ตัวนั้นได้จริงรึเปล่า

“...มันเป็นความจริงครับ ฝ่าบาท” แม้ว่าฉันจะพยักหน้า แต่ฉันก็ไม่ลืมที่จะทำสีหน้าลำบากใจและก้มต่ำลงในเวลาเดียวกัน “ถ้าแค่ผมคนเดียวนั้นคงไม่มีทางล่าสิ่งมีชีวิตแบบนั้นได้แม้ว่าจะผ่านไปเป็นล้านปีก็ตาม เหตุการณ์แบบนั้นจะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อได้รับความช่วยเหลือจากคนมากมาย ผมทำได้แค่ขอบคุณฮาร์แมน ชาร์ลอตต์ ท่านเจ้าเมืองเจนาล ริปปังค์ และนอกจากนี้ก็คือประชาชนมากมายในโรเนียที่ร่วมมือกันช่วยเหลือ”

แน่นอนว่าฉันควรจะยอมรับความจริง แต่ฉันก็ยังต้องทำให้มันเป็นความสำเร็จของคนอื่นในเวลาเดียวกันด้วย คนๆเดียวที่เป็นพยานว่าฉันจัดการแวมไพร์เคานต์กับตาตัวเองก็คือชาร์ลอตต์และฮาร์แมน อย่างไรก็ตาม มีหลายคนที่เห็นฉันซุ่มโจมตีเจ้าอันเดทนั่นจากกำแพงของโรเนีย

ต่อให้ฉันกำลังจะโกหก ฉันก็ต้องผสมความจริงบางอย่างเข้าไปด้วย

ความประหลาดใจแสดงอยู่บนหน้าของจักรพรรดิ จากนั้นเขาก็ลูบคางของเขา เหมือนกับว่าสิ่งที่ฉันพูดออกไปนั้นค่อนข้างน่าสนใจทีเดียว “อืม แสดงว่าทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณคนอื่นใช่ไหม?”

“แน่นอนครับฝ่าบาท ทั้งหมดต้องขอบคุณความทุ่มเทของพวกเขาผมถึงได้มายืนอยู่ตรงหน้าท่านทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่และมีร่างกายครบสมบูรณ์ดี นอกจากนี้ พวกเรายังป้องกัน ‘กระแสแห่งความตาย’ ได้ด้วย”

“...เข้าใจหล่ะ”

จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์พยักหน้า สีหน้าของเขานั้นผสมผสานกันระหว่างความคิดที่ซับซ้อนและคลุมเครือ

เขาเหลือบมองไปทางพวกขุนนาง เช่นเดียวกับผู้ติดตามที่ซื่อสัตย์ของเขา พวกเขากำลังกระซิบกระซาบกันในขณะที่แสดงความเย้ยหยันมาทางฉัน

-นี่ก็หมายความว่าเจ้าชายไม่ได้มีส่วนในการล่ามันสินะ?

-คนช่วยแล้วยังไงหล่ะ? เขาน่าจะซ่อนตัวอยู่ที่มุมห้องซักห้องนึงแล้วก็โผล่มาหลังจากที่เรื่องทุกอย่างจบลงแน่ๆ

-แต่ว่า ยอดฝีมือที่ปกปิดตัวตนอยู่ต้องใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ที่ทรงพลังแน่ๆ ข้าได้ยินมาว่าเจ้าเมืองเจนาลเป็นคนระบุตัวตนว่าเขาเป็นเจ้าชาย...

-คนๆนั้นน่าจะสวมหน้ากากอยู่นี่ มันเป็นไปไม่ได้หรอกที่จะมีคนระบุตัวตนที่แท้จริงของยอดฝีมือที่ปกปิดตัวตนคนนั้นได้

แม้ว่าฉันจะคาดเอาไว้แล้วว่าต้องมาเจอกับการปฏิบัติที่เย็นชาแบบนี้ แต่ฉันก็ไม่คิดเลยว่าระดับการเยาะเย้ยและแดกดันนั้นจะเข้ามาหาฉันโดยตรง

ดูเหมือนว่าเจ้าชายลำดับเจ็ดจะเป็นที่รังเกียจของทุกคนไม่ใช่น้อยเลยหล่ะ

ไม่นานนัก ผู้ติดตามคนนึงที่รู้สึกถึงบรรยากาศที่น่าอึดอัดก็ได้เดินไปหาจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อย่างระมัดระวัง ซึ่งเขาก็ได้กระซิบข้างหู และกระตุ้นให้จักรพรรดิมองมาทางฉันอีกครั้ง

เขาพูด “เดินทางมาไกลขนาดนี้เจ้าคงจะเหนื่อยแล้วแน่ๆ ไปพักผ่อนเถอะ”

ฉันคิดว่าวันนี้ฉันจะโดนสอบปากคำจนตายหรืออะไรแบบนั้นซะอีก แต่จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้เค้นถามอะไรจากเรื่องนี้อีกแล้วส่งฉันไปที่ห้อง

ฉันถอนหายใจด้วยความโล่งอกอยู่ข้างในแล้วเตรียมตัวที่จะกลับ แต่ก่อนที่จะออกจากห้องโถงอันยิ่งใหญ่นี้ ฉันก็ตัดสินใจพูดเผื่อเอาไว้ก่อน “อ้ะ แล้วก็นะครับ ตอนนี้ในลอเรนซิส...”

สายตาของทุกคนจับจ้องมาที่ฉัน ซึ่งนี่รวมทั้งจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ด้วย สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความสับสน

ซึ่งฉันก็ได้ชี้แจงในทันที “มีแวมไพร์อยู่ในเมือง เพราะฉะนั้นหาทางทำอะไรซักอย่างกับเรื่องนั้นด้วยนะครับ ตอนนี้ประชาชนกำลังใช้ชีวิตด้วยความหวาดกลัวอยู่”

สิ่งที่ฉันพูดไปนั้นทำให้สีหน้าของจักรพรรดิตึงเครียดขึ้นมา และไม่ต้องพูดถึง บรรยากาศในห้องโถงนั้นเย็นยะเยือกในทันทีด้วย

เอ้ะ? อะไรกันหล่ะนี่ หรือว่าฉันไม่ควรพูดเรื่องนี้อย่างเปิดเผย?

ฉันอุทานออกมาเบาๆ ด้วยความคิดที่ว่าฉันอาจจะเผลอพูดโพล่งเรื่องที่ไม่จำเป็นซึ่งคนพวกนี้คงจะหาทางจัดการกันเอง และในที่สุดฉันก็ออกไปจากห้องโถง

**

(บรรยายบุคคลที่ 3)

เคลต์ ออโฟเซ่นึกถึงสิ่งที่เจ้าชายองค์ที่เจ็ดพูดก่อนจะออกไปจากห้องโถงเมื่อนาทีก่อน

เด็กชายขี้ขลาดคนนั้น เมื่อครึ่งปีก่อนเขาจะคุกเข่าอยู่เฉยๆโดยไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามองปู่ของตัวเองด้วยซ้ำ แต่คนแบบนั้นกลับยืนสุดตัวด้วยความภาคภูมิใจในวันนี้ และยังกล้าจ้องกลับมาที่จักรพรรดิด้วย

และจากนั้น ลืมเรื่องการผูกขาดความสำเร็จในการล่าแวมไพร์ไปได้เลย เขาถึงกับยอมรับว่าได้รับความช่วยเหลือจากคนอื่นด้วย

พอเสียความทรงจำไปแล้วนิสัยของคนเราจะเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้จริงๆหรอ?

‘ในส่วนของคู่หู กริลและเด็กที่ชื่อชาร์ลอตต์...’

เคลต์ ออโฟเซ่ได้รับรายงานจานจากฮาร์แมนมาเมื่อไม่นานนัก เห็นได้ชัดเลยว่า พวกเขาคือลูกหลานที่รอดชีวิตรุ่นสุดท้ายของสายเลือดเฮรายส์ แน่นอนว่าการล่าแวมไพร์เคานต์คงจะเป็นไปได้ยิ่งขึ้นถ้าเด็กชายได้รับความช่วยเหลือจากสองคนนี้ด้วยกันกับฮาร์แมน

‘อย่างไรก็ตาม มันก็ยังน่าทึ่งอยู่ดี’

ใช่แล้ว มีบางอย่างที่ไม่ค่อยสมเหตุสมผลซักเท่าไหร่

บ้านเฮรายส์เป็นตระกูลที่เน้นศิลปะการต่อสู้และเชี่ยวชาญทักษะดาบจักรวรรดิ แต่ก็แน่นอนว่าพวกเขาไม่สามารถปล่อยพลังศักดิ์สิทธิ์ออกมาได้ตามใจชอบในอดีต

มีอีกรายงานมาจากโรเนีย ซึ่งเรียบเรียงโดยเจ้าเมืองเจนาล ริปปังค์ รายงานนี้มีหลักฐานแปลกๆอยู่มากมาย

-ในตอนที่เจ้าชายจักรวรรดิใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ ทหารจำนวนมากที่อยู่ในสภาพเป็นตายเท่ากันนั้นกลับมีชีวิตชีวาขึ้นมาอย่างเต็มที่

คืนชีพทหารที่ใกล้ตายหรอ? คำกล่าวอ้างที่ไม่น่าเชื่อนี้มันคืออะไรกัน เจ้าชายไม่รู้จักวิธีร่ายเวทย์รักษาที่ถูกต้องด้วยซ้ำ แล้วเขาจะช่วยเหลือทหารที่กำลังจะตายได้ยังไง?

ไม่เพียงแค่นั้น เขายังระบุตำแหน่งของรูในพื้นทั้งหมดที่อันเดทเคยใช้บุกเขามาในป้อมด้วย

จักรพรรดิจบลงด้วยการส่งเสียงฮึดฮัดด้วยความเย้ยหยันในตอนที่เขาอ่านเรื่องพวกนี้

เนื่องจากเจ้าเมืองเจนาลตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าหลีกเลี่ยงภาษี เขาน่าจะหวังกลับไปยังดินแดนเดิมของเขาด้วยการประจบเจ้าชายองค์ที่เจ็ด

-หลังจากที่เจ้าชายองค์ที่เจ็ดได้สวดภาวนากับเทพีไกอา เธอก็มอบพลังศักดิ์สิทธิ์ของเธอเพื่อปกป้องเขา และทำให้เขาทะลวงผ่านขาของแวมไพร์ได้

และเหนือสิ่งอื่นใด เด็กชายได้ใช้ปืนคาบศิลา ซึ่งเป็นของตกแต่งเล็กน้อยในการเจาะทะลวงการป้องกันของแวมไพร์ ถ้านักเวทย์และนักแปรธาตุที่ทำการวิจัยศักยภาพของวิถีเวทมนตร์มาเป็นเวลากว่า 200 ปีได้ยินเรื่องนี้เขา พวกเขาคงจะหัวเราะไม่หยุดจากความน่าขบขันของเรื่องนี้

จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ตัดสินใจที่จะไม่เชื่อเรื่องอะไรในนี้เลย เขาเตรียมที่จะมองข้ามรายงานของเจ้าเมืองเจนาลอย่างสมบูรณ์แล้ว

-หลักฐานพวกนี้มีผู้พบเห็นมากมายครับฝ่าบาท พวกเขาทุกคนบอกว่าผู้ที่ต้องสงสัยว่าเป็นเจ้าชาย สามารถทะลวงบริเวณช่องท้องของแวมไพร์ได้ด้วยปืนคาบศิลา

นี่เป็นผลลัพธ์การสืบสวนที่จัดทำโดยอัศวินของราชวงศ์ที่ออกไปสำรวจ และเหนือความสำเร็จนี้ เด็กชายได้ช่วยชีวิตคนนับร้อยด้วยการแจกจ่ายน้ำศักดิ์สิทธิ์ และหลังจากนั้นก็ธารน้ำที่ทำจากน้ำศักดิ์สิทธิ์ซึ่งทำให้มันกลายเป็นทางเข้าที่ยิ่งใหญ่อีก

นี่มันแทบจะอยู่ในระดับของนักบุญที่ได้รับชิ้นส่วนของเทพีจุติลงมาในโลกนี้จริงๆ

ไม่มีหลักฐานไหนที่ฟังดูน่าเชื่อถือเลย

พวกเขาต้องโกหกแน่ๆ

ไม่ต้องสงสัยเลย รายงานพวกนี้ต้องผิดหมดแน่นอน

แม้ว่าจะมีความคิดเช่นนี้อยู่ในหัว แต่จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เคลต์ ออโฟเซ่ก็ยังคงมีร่องรอยความหวังเล็กๆอยู่ในใจเขา

“พวกเจ้าคิดยังไงกับเรื่องนี้?”

จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ถามผู้ติดตามที่มารวมตัวกันเบื้องหน้าเขา

“พวกมันเป็นเรื่องโกหกทั้งหมดครับฝ่าบาท”

ไม่มีความลังเลอยู่ในคำตอบของพวกเขาเลย

“เจ้าชายอยู่ที่โรเนียอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ไม่มีใครสามารถพูดได้อย่างมั่นใจว่าเห็นเขาในระหว่างการต่อสู้ครับฝ่าบาท”

“ทั้งหมดที่พวกเขาเห็นก็คือยอดฝีมือสวมหน้ากากครับ”

“มันง่ายเกินไปหน่อยที่จะระบุว่าคนๆนั้นคือเจ้าชายครับฝ่าบาท”

พวกเขาไม่ได้ต้องการสิ่งที่เรียกว่าเหตุผล ผู้ติดตามทุกคนที่อยู่ที่นี่ปฏิเสธความเป็นไปได้ทั้งหมดอย่างไม่ต้องสงสัย

ซึ่งสาเหตุมันก็ชัดเจนอยู่แล้ว พวกเขากำลังอยู่บนเรือลำเดียวกันเพราะเจ้าชายคนอื่นๆกำลังยืนอยู่ข้างหลังพวกเขาในตอนนี้

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด