ตอนที่ 349 ผู้มาเยือนจากเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์
ตอนที่ 349 ผู้มาเยือนจากเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์
ติดตามแฟนเพจอัพเดทข่าวสารอ่านนิยายก่อนใครได้ที่ FB: ND Translate นิยายแปลไทย
ยู่ฉางตงได้กอดดาบยืนยาวเอาไว้ ตัวเขาได้บ่นพึมพำกับตัวเอง “ข้าเคยบอกเอาไว้แล้วแท้ๆ ...ว่าจะอยู่อย่างสันโดษหลังจากที่ต่อสู้กับศิษย์พี่ใหญ่ แล้วทำไมข้าถึงต้องถูกบังคับให้ทำเช่นนี้?” ยู่ฉางตงได้มองไปยังทิศทางที่ผู้เป็นอาจารย์เดินจากไปก่อนที่จะถอนหายใจออกมาเบาๆ
“อายุขัยที่เหลืออยู่...ข้าจะต้องทำให้ได้ไม่ว่าอะไรก็แล้วแต่ ข้าจะต้องฝังเจ้าเอาไว้กับข้าในยามที่ข้าตายจากไป” ยู่ฉางตงยกดาบยืนยาวขึ้นมาวัดอายุขัยที่เหลื่ออยู่ ใบดาบของมันยังคงส่องแสงสีแดงเช่นเดิม แต่น่าเสียดายแสงสีแดงจากใบดาบจางหายไปจากเดิมมาก ยู่ฉางตงกลับไปที่ส่วนลึกของถ้ำแห่งเงาสะท้อน ตัวเขานั่งไขว่ห้างทำสมาธิและไม่พยายามที่จะคลายพลังผนึกมนตราอีกต่อไป
สามวันต่อมา
มีรถม้าลอยฟ้าออกจากเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์มา รถม้าคันนั้นไม่ได้คิดที่จะเดินทางไปไหน มันกำลังเดินทางตรงไปยังทิศที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าตั้งอยู่
บนรถม้าลอยฟ้า
หลี่หยุนเฉากำลังยืนอยู่ข้างกายของอัครมเหสี “พระอัครมเหสี ท่านไม่จำเป็นจะต้องกังวลเลย...ข้าเคยติดต่อกับท่านปรมาจารย์ของศาลาปีศาจลอยฟ้ามาก่อนหน้านี้แล้ว เขาไม่ใช่พวกคนชั่วไร้เหตุผล ยิ่งไปกว่านั้นองค์หญิงจ้าวยู่ก็ยังเป็นศิษย์ของเขา ถ้าหากปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าชั่วร้ายอย่างที่ทุกคนร่ำลือกันจริงๆ องค์หญิงจ้าวยู่คงจะไม่คิดกลับไปที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าแน่”
ที่เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ได้รับการปกป้องมาจากพลังเขตแดนทั้งสิบ ดังนั้นจึงไม่มีผู้ฝึกยุทธคนไหนกล้าที่จะสร้างปัญหาที่เมืองหลวงแห่งนี้ได้
อัครมเหสีที่ได้ฟังแบบนั้นเอนกายนั่งก่อนที่จะพูดออกมา “ข้ารู้สึกโล่งใจจริงๆ ที่ได้ยินเช่นนั้น”
ในตอนนั้นเองเจียงเหลียงก็ได้ปรากฏตัวขึ้นจากพังงารถม้า ตัวเขาได้กอดอกก่อนที่จะพูดออกมา “อัครมเหสี ยังไงคนชั่วช้าก็ยังเป็นคนชั่วช้าอยู่วันยังค่ำ พวกเราควรจะระวังตัวเอาไว้จะดีกว่า”
หลี่หยุนเฉาที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้พูดออกมาอย่างไม่พอใจ “เจียงเหลียง เจ้าน่ะเคยอยู่แต่กับองค์รัชทายาทมากว่าหลายปี อย่างเจ้าจะไปรู้อะไรกัน”
“ถ้าหากไม่ถือสาก็ช่วยบอกข้าทีเถอะขันทีหลี่”
“ในระหว่างการต่อสู้ที่แท่นประลองดอกบัว...ปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าได้ต่อสู้กับกองกำลังที่ชั่วร้ายเพื่อที่จะช่วยผู้ฝึกยุทธจำนวนมากที่อยู่ที่นั่นเอาไว้ ข่าวอันยิ่งใหญ่นี้ได้ถูกพูดถึงกันอย่างกว้างขวางที่โลกของยุทธภพมาอย่างเนิ่นนานแล้ว นอกจากศิษย์คนแรกอย่างยู่เฉิงไห่ ชื่อของสาวกคนอื่นๆ ก็ได้ถูกลบหายออกไปจากบัญชีดำจนหมดแล้วอีกด้วย” หลี่หยุนเฉาได้พูดออกมา
“ข้าหวังว่ามันจะเป็นความจริงนะ” เจียงเหลียงพยักหน้าให้
“ข้ารู้ว่าพลังวรยุทธของเจ้ามันล้ำลึกแค่ไหน...แต่ข้าขอเตือนอะไรไว้จะดีกว่า ในตอนที่พวกเราอยู่ที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าอย่าคิดจะทำอะไรบุ่มบ่ามเชียว...ถ้าหากเจ้าทำอะไรแบบนั้นจริงแม้แต่ข้าหรืออัครมเหสีก็คงไม่อาจที่จะช่วยเหลือเจ้าได้” หลี่หยุนเฉาพยายามห้ามปรามไม่ให้เจียงเหลียงทำอะไรสิ้นคิด
“ขันทีหลี่ ท่านคิดมากเกินไปแล้ว...ภารกิจของข้ามีเพียงคุ้มครองความปลอดภัยของอัครมเหสีเท่านั้น” เจียงอาเฉียนตอบกลับ
“ถ้าหากเป็นแบบนั้นก็ดีแล้ว”
ในตอนนั้นเองอัครมเหสีที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ก็ได้แต่พูดออกมาอย่างนิ่งสงบ “เจียงเหลียง
เจียงเหลียงที่ได้ฟังแบบนั้นรีบโค้งคำนับก่อนที่จะโต้ตอบในทันที “อัครมเหสี”
“ข้าได้ยินมาว่าเจ้ามีพลังวรยุทธที่ลึกล้ำ”
“นั่นเป็นเพียงแค่เสียงลือเสียงเล่าอ้างเท่านั้น ข้าไม่สมควรที่จะได้รับคำเยินยอแบบนั้นหรอกครับ”
“เจ้าคิดว่าพลังวรยุทธที่ขันทีหลี่มีเป็นยังไงบ้าง?” น้ำเสียงของอัครมเหสีฟังดูนุ่มนวลเกินไป มันดูเหมือนกับว่าคำถามของนางมีอะไรบางอย่างแอบแฝงอยู่ด้วย
“อืม...” เจียงเหลียงใช้ความคิดก่อนที่จะตอบกลับมา “ถ้าหากพวกเราต่อสู้กันอย่างเต็มกำลัง ข้าก็คงจะสู้กับขันทีหลี่ไม่ได้ แต่ถ้าหากพวกเราสู้กันด้วยวิธีอื่น...ข้าคิดว่ามีโอกาสที่จะต่อสู้กับขันทีหลี่ได้”
หลี่หยุนเฉาที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้หัวเราะก่อนที่จะพูดออกมา “อัครมเหสี ท่านอาจจะยังไม่ทราบเรื่องนี้ เจียงเหลียงผู้คุ้มกันของท่านเคยลอบไปที่เมืองหรงเป่ยก่อนที่จะลอบสังหารราชวงศ์ทั้งหมดรวมไปถึงองค์ราชาด้วยตัวของเขาเอง นั่นคือผลงานที่ได้รับการพิสูจน์มาแล้ว ไม่มีใครที่เจียงเหลียงหมายตาแล้วจะรอดพ้นเงื้อมมือไปได้”
อัครมเหสีหัวเราะก่อนที่จะพูดออกมา “ถ้าหากเป็นเช่นนั้นเจ้าก็นับว่าเป็นคนที่มีพรสวรรค์อันล้ำค่าในดินแดนหยางอั้นยิ่งใหญ่ของพวกเรา ข้าหวังว่าเจ้าจะรับใช้พระราชสำนักต่อไปแบบนี้”
เจียงเหลียงโค้งคำนับก่อนที่จะตอบกลับมา “ทั้งกายและใจของข้าได้มอบกับทางพระราชสำนักไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”
“ขันทีหลี่รับใช้ข้ามานานหลายปี ข้าเชื่อมั่นในการตัดสินใจของเขา เจ้าเองก็ควรที่จะฟังคำแนะนำของเขาด้วยเช่นกัน” อัครมเหสีได้พูดออกมา
“ตามบัญชาของท่าน ท่านอัครมเหสี” รถม้าลอยฟ้ายังคงบินต่อไป
ขันทีหลี่มองไปรอบตัวก่อนที่จะมองหาเจียงเหลียงและกวักมือเรียกเขา “ผู้คุ้มกันเจียง...”
เจียงเหลียงตกตะลึงเล็กน้อย ตัวเขากำลังสงสัยว่าอะไรคือความจำเป็นที่ทำให้พวกเขาทั้งคู่ต้องพบกันอย่างลับๆ เช่นนี้ เจียงเหลียงได้ตัดสินใจเดินตามไป
มีหมอหลวงประจำราชวงศ์อยู่สองคนด้วยกันอยู่บนรถม้า ว่ากันว่าพวกเขาทั้งคู่เป็นผู้ฝึกยุทธด้วยเช่นกัน ไม่มีอะไรจะต้องกังวลถ้าหากจะปล่อยให้พวกเขาทั้งคู่อยู่ดูแลอัครมเหสีไป ทั้งหลี่หยุนเฉาและเจียงเหลียงได้เดินไปยังอีกด้านของรถม้า
หลี่หยุนเฉาเป็นฝ่ายพูดก่อน “ข้ามีอะไรบางอย่างที่อยากจะบอกเจ้าอย่างจริงใจ ผู้คุมกันเหลียง”
“พูดเลยเถอะขันทีหลี่”
หลี่หยุนเฉามองไปยังวิวทิวทัศน์ “ผู้คุ้มกันเจียง เจ้าได้รับภารกิจอะไรมาจากองค์รัชทายาทกันแน่?”
เจียงเหลียงตกตะลึงที่ขันทีหลี่ได้พูดตรงไปตรงมาแบบนี้ “ทำไมท่านถึงพูดแบบนั้นกันล่ะขันทีหลี่?”
“เจ้าน่ะมีทักษะในการลอบสังหารอันยอดเยี่ยม ถ้าหากองค์รัชทายาทต้องการที่จะปกป้องอัครมเหสีจริงๆ เหตุใดเขาถึงต้องส่งเจ้าที่เป็นมือสังหารมาทำหน้าที่เช่นนี้กัน?”
เจียงเหลียงถึงกับพูดไม่ออก ภารกิจของเขาถูกอ่านทางเอาไว้หมดแล้ว
หลี่หยินเฉาได้ยิ้มก่อนที่จะพูดออกมา “เจ้ารู้ไหมว่าทำไมองค์รัชทายาทถึงไม่ได้เป็นกังวลอะไรที่อัครมเหสีเดินทางไปที่ศาลาปีศาจลอยฟ้ากัน?”
เจียงเหลียงส่ายหัว ตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน
อัครมเหสีถือว่าเป็นบุคคลที่สำคัญคนหนึ่งและเป็นที่เคารพนับถือกับคนทั่วทั้งดินแดน แต่ตอนนี้นางกำลังเดินทางไปยังศาลาปีศาจลอยฟ้า สถานที่ที่อันตรายที่สุดในโลก เจียงเหลียงเองก็ประหลาดใจเช่นกันที่องค์รัชทายาทไม่ได้ขัดขวางอะไร เรื่องนี้ทำให้เจียงเหลียงสงสัยมานานแล้ว
หลี่หยินเฉาได้พูดต่อ “นั่นก็เป็นเพราะ...ปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าอย่างจีเทียนเด๋าเป็นคนรู้จักขององค์จักรพรรดิผู้ล่วงลับไปแล้วยังไงล่ะ”
เมื่อได้ยินแบบนั้นดวงตาของเจียงเหลียงก็เบิกกว้าง เขาไม่คิดว่าปรมาจารย์มหาวายร้ายผู้ที่ถูกคนทั้งโลกเกลียดเคยมีความสัมพันธ์เช่นนี้กับจักรพรรดิผู้ล่วงลับ เจียงเหลียงที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้ถามกลับมา “แล้วทำไมศาลาปีศาจลอยฟ้าถึงได้เป็นศัตรูกับเหล่าราชวงศ์ล่ะ? ข้ารู้ข่าวมาว่าทั้งสองฝ่ายได้เข้าต่อสู้กันหลายครั้งแล้ว”
“เจ้าน่ะผิดไปแล้ว” หลี่หยุนเฉาได้พูดออกมาอย่างเคร่งขรึม
“ข้าน่ะหรอผิดไป?”
“ศาลาปีศาจลอยฟ้าไม่เคยถูกนับว่าเป็นศัตรูของพวกเหล่าราชวงศ์...คนที่สร้างความขัดแย้งขึ้นมาคือศิษย์คนที่เจ็ดและศิษย์คนแรกของศาลาปีศาจลอยฟ้า สองคนนั้นก็คือสีวู่หยาและยู่เฉิงไห่ต่างหาก” หลี่หยุนเฉาตอบกลับมา
เจียงเหลียงรู้สึกสับสน “ขันทีหลี่ ข้าอยากให้ท่านพูดตรงไปตรงมากับข้ามากกว่า ข้าเป็นเพียงนักสู้ผู้เหี้ยมโหด ข้าไม่ได้มีมันสมองที่ได้รับการฝึกฝนมาเพื่อวิเคราะห์เรื่องที่ท่านพูดหรอกนะ”
หลี่หยุนเฉาพยักหน้าก่อนที่จะพูดออกไป “มันก็เป็นเหมือนกับที่ข้าได้พูดไปก่อนหน้านี้ ข้าแนะนำให้เจ้าชั่งใจดีๆ ก่อนที่จะคิดจะทำอะไรที่ศาลาปีศาจลอยฟ้า ถ้าหากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมาจริงๆ แม้แต่องค์รัชทายาทเองก็ยังไม่อาจที่จะช่วยอะไรเจ้าได้ และแน่นอนว่าเจ้าก็ยังไม่อาจช่วยอัครมเหสีได้ด้วย เจ้าควรจะชั่งใจให้ดีถึงข้อดีข้อเสียซะ” หลังจากที่พูดจบหลี่หยุนเฉาก็ได้สะบัดแขนเสื้อก่อนที่จะเดินจากไป
เจียงเหลียงที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้แต่ตกตะลึง ตัวเขาไม่ได้ขยับไปไหนอีกชั่วครู่หนึ่ง
ใกล้ค่ำ ณ ศาลาปีศาจลอยฟ้า
ลู่โจวกำลังศึกษาเกี่ยวกับขีดจำกัดของอายุขัยอยู่ที่ศาลาทางตะวันออก ในตอนนี้โต๊ะของเขาเต็มไปด้วยหนังสือมากมายหลายเล่ม
จะมีเหล่าสาวกหญิงเดินเข้าเดินออกศาลาทางตะวันออกเป็นระยะๆ พวกนางล้วนแต่ถือหนังสือเอาไว้ในอ้อมแขน “ท่านปรมาจารย์ หนังสือที่เกี่ยวข้องกับชีวิตอยู่ที่นี่หมดแล้ว”
ลู่โจวไม่ได้หันไปมองแม้แต่น้อย “เข้าใจแล้ว”
ในตอนนั้นเองเสียงของหยวนเอ๋อก็ได้ดังออกมาจากด้านนอก “ท่านอาจารย์มีรถม้าลอยฟ้าจากเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์มาถึงแล้ว ศิษย์พี่ห้าเองก็ไปทักทายพวกเขาอยู่ก่อนแล้ว...เอ๊ะ ท่านอาจารย์กำลังอ่านหนังสืออยู่!”
หยวนเอ๋อตัวน้อยที่เดินเข้าไปยังศาลาทางตะวันออกเห็นหนังสือมากมายหลายเล่มวางอยู่บนโต๊ะ
ลู่โจวได้เลือกหนังสือเพียงไม่กี่เล่มก่อนที่จะพลิกอ่านดู ตัวเขาไม่มีพลังมากพอที่จะอ่านหนังสือทุกๆ เล่ม ตัวเขาเงยหน้ามองไปที่หยวนเอ๋อก่อนที่จะเรียกชื่อนาง “หยวนเอ๋อ”
“ท่านอาจารย์?”
“เจ้าจับตาดูถ้ำแห่งเงาสะท้อนเอาไว้...ถ้าหากมีเรื่องอะไรผิดปกติเกิดขึ้นรีบบอกข้าทันที” ลู่โจวพูดต่อ
“ได้เลยค่ะ ท่านอาจารย์” หยวนเอ๋อรีบออกจากศาลาทางตะวันออกทันทีที่ได้รับภารกิจ
ลู่โจวเหลือบตาตัวเองจ้องมองไปที่หนังสือต่อ ตัวเขาได้พึมพำออกมา “ผู้คนที่อยู่ในดินแดนของเหล่าชนชั้นสูงล้วนแต่จะมีอายุขัยสั้น เพราะแบบนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะฝึกยุทธเพื่อยืดอายุขัยของตัวเองให้ยืนยาว อายุยืนยาวที่สุดของเหล่าชนชั้นสูงจะมีอายุยืนยาวอยู่ที่ 500 ปีเท่านั้น”
ถ้าหากจะพูดอีกนัยหนึ่ง ยู่ฉางตงที่มีดาบยืนยาวเองก็คงจะมีอายุขัยเพียงครึ่งเดียวถ้าหากจะเทียบกับผู้ฝึกยุทธธรรมดาอย่างงั้นสินะ? ในขณะที่ลู่โจวกำลังใช้ความคิดอยู่ ในตอนนั้นหมิงซี่หยินก็ได้มาหาตัวเขา “ท่านอาจารย์ ผู้มาเยือนจากเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์รออยู่ที่ห้องโถงใหญ่แล้ว”
“ข้ารู้แล้ว” ลู่โจวโบกแขนของตัวเองก่อนที่จะเดินออกจากศาลาตะวันออกไป
ภายในห้องโถงใหญ่
ลู่โจวได้กวาดตามองไปยังทุกคนที่มารวมตัวกัน
ในตอนนี้หลี่หยุนเฉาและคนอื่นๆ ได้ยืนอยู่ที่ใจกลางห้องแล้ว เบื้องหลังของหลี่หยุนเฉามีจ้าวยู่ และหนึ่งในหมอหลวงกำลังดูแลผู้สูงศักดิ์ยู่คนหนึ่ง
สายตาของเจียงอาเฉียนจ้องไปที่หญิงชราผู้สูงศักดิ์คนนั้น
“นั่งลงสิ”
ลู่โจวได้พูดออกมาโดยที่ไม่ได้คำนึงถึงยศถาบรรดาศักดิ์เลย แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็ไม่ได้นั่งอยู่บนบัลลังก์ ลู่โจวในตอนนี้กำลังนั่งอยู่ตรงข้ามกับที่นั่งของอัครมเหสี
หลี่หยุนเฉารู้ว่านี่คือศาลาปีศาจลอยฟ้า มันไม่ใช่สถานที่อย่างพระราชวังหรือสถานที่อื่น เพราะแบบนั้นพิธีรีตองของพระราชวังจึงไม่อาจใช้กับที่นี่ได้
อัครมเหสีเองก็ใจกว้างมากพอที่จะมองข้ามเรื่องพวกนี้ไป เมื่อนางมองไปที่ลู่โจว คิ้วของนางก็ขยับเล็กน้อย ดวงตาที่อ่อนล้าของนางกำลังทำเหมือนกับพบอะไรบางสิ่งบางอย่าง อัครมเหสีได้ยืนตัวขึ้นมา นางได้พูดออกมาเบาๆ “ท่านผู้อาวุโส ท่านเหมือนกับคนรู้จักเก่าของข้าจริงๆ”
ติดตามแฟนเพจอัพเดทข่าวสารอ่านนิยายก่อนใครได้ที่ FB: ND Translate นิยายแปลไทย