Ep.878 - สิ่งที่น่ากลัวที่สุด คือลูกรักของพระเจ้าด้วยกันเอง!
3/5
Ep.878 - สิ่งที่น่ากลัวที่สุด คือลูกรักของพระเจ้าด้วยกันเอง!
ฉินเฟิงหรี่ตามองหมาจักรกล
แม้มันเป็นเพียงเครื่องจักร แต่ในฐานะที่มีมันสมอง ประกอบกับเป็นสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาแล้ว ทันใดนั้นหมาจักรกลรู้สึกได้ทันที ถึงความเย็นเยียบที่เสียดแทงเข้ามาในจิตวิญญาณต่างมิติของมัน
แม้หมาจักรกลจะไม่มีการรับรู้ทางอารมณ์ แต่ด้วยหลักการคิดของมัน ทำให้สามารถแยกแยะ ตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าฉินเฟิงกำลังไม่พอใจ
“แต่หุ่นยนต์เกราะทมิฬมีแกนหลักของเทคโนโลยีต่อสู้อยู่ในตัว ขอแค่ถอดมันออกมา แล้วสร้างหุ่นยนต์ตัวใหม่ ก็น่าจะสามารถเปลี่ยนเจ้านายได้!”
“เอาแบบนั้นแล้วกัน!”
ฉินเฟิงเฝ้ามองพลังงานที่เก็บรวบรวมไว้ในเกราะทมิฬ ตกลงสู่ดินแดนล่มสลายของเผ่าวิญญาณ เนื่องจากดวงดาวศักดิ์สิทธิ์มีแรงโน้มถ่วง ฉินเฟิงที่ยืนอยู่ที่นี่ เลยสามารถมองเห็นดินแดนล่มสลายของเผ่าวิญญาณ ลอยอยู่เหนือท้องฟ้าจากในมุมมองของเขา
พลังงานจำนวนมหาศาลถูกถ่ายเทออกมา เกิดการแย่งชิงทั่วไปทั่วบริเวณ
พลังงานนี้บริสุทธิ์มาก มันได้ถูกเปลี่ยนแปลงเป็นพลังงานที่มีเพียง ‘วิญญาณ’ เท่านั้นที่สามารถดูดซับได้
ฉินเฟิงฉุกคิดอะไรบางอย่าง เขายกมีดกษัตริย์ครามขึ้น แต่ครั้งนี้ไม่ได้ใช้มันโจมตีหุ่นยนต์เกราะศักดิ์สิทธิ์ แต่อัดฉีดกำลังภายในเข้าไปยังมีดกษัตริย์คราม
“กระบวนท่าหมื่นวิญญาณ …”
ทว่าอำนาจทำลายล้างมิได้ปะทุออกมา เพียงปลดปล่อยพันธนาการ เรียกวิญญาณหลากหลายสายพันธุ์ที่ถูกกักขังไว้ออกมา
ตั้งแต่ฉินเฟิงปรับแต่งมีดกษัตริย์คราม ไม่ต้องกล่าวถึงหมื่นวิญญาณตามชื่อ กระทั่งแสนวิญญาณก็มารวมกันอยู่ในนี้
วิญญาณพวกนี้แม้มิใช่สายพันธุ์ทรงภูมิปัญญา แต่ยังถือว่าจัดอยู่ในหมวดประเภทวิญญาณเช่นกัน ดังนั้นเมื่อถูกฉินเฟิงปลดปล่อย พวกมันก็ตรงเข้าดูดซับจุดแสงสว่างไสวเหล่านั้นทันที
ยังไม่พอ วิญญาณหลากสายพันธุ์ทั้ง 100,000 ตน เมื่อปรากฏก็กระจุกตัวกันแน่น บดบังผืนฟ้า ปกคลุมเกือบเต็มบริเวณจานฉายรังสีที่กำลังปลดปล่อยพลังงานออกมา กล่าวได้ว่าแสงจรัสส่วนใหญ่ ล้วนถูกพวกมันกลืนกินสิ้น
จิตวิญญาณที่ถูกกักขังค่อยๆเติบโต แข็งแกร่งขึ้นอย่างเป็นล่ำเป็นสัน
ทุกครั้งที่เปิดใช้งานท่าวิญญาณสะบั้น ในความเป็นจริงมันมักสร้างความเสียหายให้กับจิตวิญญาณที่อยู่ภายใน จิตวิญญาณบางตนที่อ่อนแอ ถูกผลกระทบ ทำลายจิตสำนึกของมัน และอาจสูญสลายไปอย่างสิ้นเชิง
ในบรรดาพวกมัน ตัวอย่างเช่นจักรพรรดิมังกรตลบปฐพี , อสูรโลหิต และสัตว์เทวะที่ครอบครองอบิลิตี้ธาตุไฟกับดิน ฯลฯ จากในบรรดาทั้ง 100,000 วิญญาณ พวกมันโดดเด่นเป็นพิเศษ ทรงพลังเป็นอย่างมาก ดังนั้นความไวในการดูดซับก็เร็วมากเช่นกัน
เจ้าพวกนี้ ภายหลังจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ และจะยิ่งทำให้กระบวนท่าวิญญาณสะบั้นของฉินเฟิง ทรงพลังยิ่งขึ้น
…
ในดินแดนล่มสลายของเผ่าวิญญาณ ท่ามกลางซากปรักหักพัง
วิญญาณต่างมิติตระหนักได้ว่าแสงจากดาวศักดิ์สิทธิ์หายไป แม้เวลาที่แสงหมดลงจะไม่เหมือนกับในทุกๆปี แต่ด้วยสติปัญญาที่ต่ำต้อยของพวกมัน แม้รู้สึกได้ว่าสิ่งดีๆสำหรับพวกมันจบลงก่อนกำหนด แต่วิญญาณต่างมิติก็คร้านจะสนใจ
แต่สำหรับลูกรักของพระเจ้าจากต่างมิติ เป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะไม่สนใจเหตุการณ์นี้ ไม่ว่าจะเป็นคนที่เพิ่งมาครั้งแรก หรือมาหลายครั้งแล้วล้วนแหงนมอง
ไม่ต่างกล่าวถึงเรื่องที่ว่าเกราะศักดิ์สิทธิ์ได้หายไปแล้ว และการปรากฏขึ้นของดวงดาวศักดิ์สิทธิ์ ไหนจะเรื่องภาพของกลุ่มก้อนวิญญาณหลายหลายเผ่าพันธุ์บนท้องฟ้า หลายเหตุการณ์ที่ประทังเข้ามาเหล่านี้ จะไม่ให้พวกเขาเกิดความกังวล หรือไม่สนใจได้อย่างไร
ณ ตำแหน่งใจกลางซากปรักหักพัง โจวฮ่าวแหงนมอง และพบว่าแสงจากดวงดาวศักดิ์สิทธิ์หายไป ออกคำสั่งทันที
“รีบจบการต่อสู้ซะ เตรียมตัวออกเดินทาง ฉินเฟิงเคยบอกว่า ถ้าแสงจากดวงดาวศักดิ์สิทธิ์มอดดับลง มิติแห่งนี้จะถูกปิดอย่างสิ้นเชิง ต่อให้ปรารถนาแค่ไหน พวกนายก็ไม่สามารถกลับไปได้!”
“รับทราบ งั้นฉันขอปิดฉากแบบอลังการก่อนไปแล้วกัน จับตาดูให้ดีล่ะ!”
ลู่เหมิงกล่าว พร้อมนำปืนใหญ่ออกมา จากนั้นระดมยิงร่างศัตรูขนาดมหึมา จุดแสงพรั่งพราวจากกระสุนปืนใหญ่พลังงานแก่นสัตว์ร้าย จมลงในร่างของของวิญญาณต่างมิติและ-
-บรึ้มมมม!
วิญญาณต่างมิติตัวระเบิดแตกจากภายใน ร่างมหึมาร่วงครืน กายแหลกสลาย พังทลายลงอย่างยับเยิน
สิ่งที่อยู่ภายใน ถูกแรงระเบิดกระเด็นออกมาเช่นกัน ในมุมมองของลู่เหมิง แม้วิธีนี้จะรุนแรงไปบ้าง แต่อย่างน้อยสามารถจบการต่อสู้ได้อย่างรวดเร็ว แน่นอน ส่วนเรื่องที่ว่าสมบัติข้างในจะถูกทำให้เสียหายหรือไม่ ไม่ใช่ประเด็น ขอแค่นำมันออกไปได้ก็พอแล้ว!
ทั้งห้าเก็บกวาดสนามรบ เปลี่ยนสถานที่ไปยังจุดปลอดภัยอย่างรวดเร็ว จากนั้นเปิดตัวเชื่อมมิติ กลับไปยังเมืองหลวงมังกร
เนื่องจากผลงานอันน่าเหลือเชื่อของฉินเฟิงในปีที่แล้ว ทำให้เวลานี้ ต่อให้โจวฮ่าวหรือลูกรักของพระเจ้าคนอื่นๆรั้งอยู่นานถึงวันที่ 15 ก็ไม่มีใครต้องเป็นห่วงอีกต่อไป
อบย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่ใช่กลุ่มสุดท้ายที่กลับมา แต่ยังเหลืออีกคนหนึ่ง ที่ขณะนี้ยังไม่ทราบเบาะแส ซึ่งยิ่งเฝ้ารอ คนๆหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับบุคคลคนนี้ ก็ยิ่งรู้สึกกังวลใจ
--คนที่กำลังกังวล มิใช่คนอื่นคนไกล แต่เป็นผู้นำตัวแทนจากภูมิภาคใต้ หนานกงชิ
ในปีนี้ หนึ่งในตระกูลของพวกเขาปรากฏอัจฉริยะขึ้น ทางตระกูลจึงทำการรวบรวมสมบัติฟ้าดินจากทุ่งล่า ป้อนทรัพยากรมหาศาลให้อัจฉริยะรุ่นเยาว์คนนั้นมีความแข็งแกร่งทางกายภาพมากขึ้น ใช้เวลาเพียง 6 เดือน เด็กคนนั้น จากความแข็งแกร่งในเลเวล E9 ก็กระโดดมาถึงเลเวล D6 กลายเป็นตัวแทนภูมิภาคใต้ ก้าวขึ้นสู่ยอดสุดของหอคอยประตูมังกร
กระนั้น แม้จะสามารถปีนป่ายไปได้ถึงเลเวล D6 แต่รากฐานยังไม่มั่นคง หลังจากทุกคนกลับไปแล้ว รุ่นเยาว์อัจฉริยะที่มีชื่อเรียกว่า หนานกงเฟยหยาง ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะกลับมา
หากไม่นับฉินเฟิง เขาคือลูกรักของพระเจ้าคนสุดท้ายที่ยังไม่กลับมา
ฉินเฟิงแน่นอนไม่จำเป็นต้องกังวล ด้วยความแข็งแกร่งของฉินเฟิง ต่อให้ติดอยู่ในดินแดนล่มสลายของเผ่าวิญญาณ น่ากลัวว่าอีกหนึ่งปีให้หลังก็ยังสามารถกลับมาได้
แต่หนานกงเฟยหยางไม่ใช่ หากเจ้าตัวติดอยู่ข้างในนั้นจริงๆ คงตายอย่างไม่ต้องสงสัย
และประเด็นก็คือ จนถึงป่านนี้แล้วอีกฝ่ายยังไม่กลับมา หลายคนพาลคิดไปแล้วด้วยซ้ำ ว่าหนานกงเฟยหยางคงประสบเภทภัยก่อนวัยอันควร
“บางที อาจเป็นเพราะความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นรวดเร็วเกินไป ทำให้เฟยหยางแพ้ภัยตัวเอง ไม่ทันนึกคิด ว่าดินแดนล่มสลายของเผ่าวิญญาณ สิ่งที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่วิญญาณต่างมิติ แต่เป็นลูกรักของพระเจ้าด้วยกันเอง!”
หนานกงชิทอดถอนใจ และข้อเท็จจริง ก็เป็นดั่งที่หนานกงชิคาดการณ์ไว้
ด้วยความแข็งแกร่งในเลเวล D6 ทำให้หนานกงเฟยหยางทรงพลังเป็นอย่างมาก เขาไม่ได้รวมตัวกับลูกรักของพระเจ้าจากมิติเดียวกัน เลือกมุ่งหน้าตรงเข้าไปยังซากปรักหักพัง และด้วยความแข็งแกร่งที่มี ทำให้เขาได้รวมกลุ่มกับตัวแทนของเผ่าพันธุ์มังกร ช่วยกันออกล่าสมบัติ ได้รับทรัพยากรมากมาย
ได้รับสมบัติถึงขนาดนี้ สามารถมั่นใจได้เลย ว่าเมื่อกลับไป สมาชิกในตระกูลจะหนุนหลังเขา ตำแหน่งผู้นำในรุ่นนี้คงอยู่ใกล้แค่เอื้อม
ปัจจุบัน เมื่อเห็นแสงจากดวงดาวศักดิ์สิทธิ์ริบหรี่ลง หนานกงเฟยหยางก็เตรียมที่จะจากไปเช่นกัน
“ทุกท่าน ยินดีที่ได้ร่วมมือกัน น่าเสียดายจริงๆที่ปีหน้าฉันอาจไม่ได้มาที่นี่อีกแล้ว แต่หวังว่าจะได้พบพานกันอีกในภายหลัง” หนานกงเฟยหยางกล่าวกับสหายร่วมรบ เขารู้สึกจริงๆว่าแม้คนเหล่านี้จะเป็นเผ่าต่างมิติ แต่พวกเขาแข็งแกร่งกว่าเพื่อนมนุษย์ด้วยกันมาก ยิ่งไปกว่านั้น ช่วงเวลาแรกฉินเฟิงเลือกละทิ้งเฟยหยางไว้เบื้องหลัง ปล่อยให้เขาต้องเข้าสู่มิติล่มสลายของเผ่าวิญญาณเพียงลำพัง
หนานกงเฟยหยางถึงกับคิด ว่าตนคงไม่รอดแล้ว แต่ไม่นึกเลยว่าจะได้เจอสหายเหล่านี้ นับว่าเขาโชคดีอย่างคาดไม่ถึง!
ยังไม่ทันได้ผละจากไป มังกรร่างมนุษย์ตัวสูงใหญ่ที่อยู่ข้างๆ ใช้พลังสมาธิถ่ายทอดเสียงมา
“หนานกง ข้าอยากไปเยี่ยมชมมิติของเจ้า ขอถามได้ไหมว่ามิติของเจ้าอยู่ที่ใด ยินดีต้อนรับชาวต่างมิติหรือไม่?”
หนานกงเฟยหยางขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว แม้เขาจะคิดว่าคำขอนี้ฟังดูแปลกมาก แต่หนานกงเฟยหยางไม่คิดว่ามันไร้เหตุผลซะทีเดียว เพียงแค่รู้สึกว่าน่าจะเป็นไปได้ยาก
“มิติที่ฉันกำลังจะกลับไป ไม่ยินดีต้อนรับชาวเผ่าต่างมิติ แต่พวกนายเป็นสหายของฉัน เอาไว้ถ้าฉันกลับไปยังภูมิภาคใต้เมื่อไหร่ ฉันจะเชิญพวกนายมาเอง!”
แม้ตระกูลหนานกงจะมีที่พำนักอยู่ในเมืองหลวงมังกร แต่ฐานใหญ่ยังคงอยู่ทางภาคใต้ ด้วยสถานะของหนานกงเฟยหยาง เมื่อเขากลับไป กับอีแค่การต้อนรับสหายต่างมิติไม่กี่คน จะนับเป็นสิ่งใด?
ยิ่งไปกว่านั้น นี่ไม่ใช่เรื่องน่ายินดีหรอกหรือ? เพราะชาวต่างมิติพวกนี้ ใช่ว่าทุกคนจะสามารถทำความรู้จักได้ซะที่ไหนกัน
ไม่ไกลออกไป มนุษย์ที่มีปีกนกอยู่บนแผ่นหลัง เผยรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้า เอ่ยปากออกมา แต่เจตนาในคำพูดกลับให้ความรู้สึกคลุมเครือ
“แล้วพวกเรา บอกตั้งแต่เมื่อไหร่--
--ว่าจะยอมปล่อยสหายหนานกงกลับไป?”