Chapter 35: หมดเวลาเล่นกับพวกเจ้าแล้ว
“ฟิ้ว!”
เฉินเฉินถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เขารู้สึกได้ถึงพลังเซียนที่เพิ่มขึ้นมากในร่างกายของเขา
หลังจากหยุดไปพักนึง เขาก็ยื่นมือออกมา ที่ปลายนิ้วของเขา มีไฟปรากฏขึ้น ซึ่งมันใหญ่กว่าไฟเล็ก ๆที่เขาเคยมีถึงสองเท่า
“ข้าน่าจะไปถึงขั้นฝึกพลังปราณระดับสองหรือไม่ก็สามสินะ ดูเหมือนว่ายาจะได้ผลสำหรับผู้ฝึกตนมากกว่า” เฉินเฉินคิดกับตัวเองในขณะที่มองเปลวเพลิง
ณ ตอนนี้ จางจีเต็มไปด้วยความรู้สึกตื่นเต้นเพราะเขารู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในร่างกายของเขา
พอสังเกตเห็นความตื่นเต้นของจางจี เฉินเฉินก็ยิ้มแล้วพูดขึ้น “เป็นยังไงบ้างหล่ะ? เจ้าอยู่ระดับฝึกพลังปราณขั้นแรกแล้วใช่ไหม?”
“ข้าก็ไม่มั่นใจครับ แต่ข้ารู้สึกได้ถึงอากาศที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ในร่างกายของข้า และข้าก็ยังสามารถควบคุมทิศทางการเคลื่อนไหวของมันได้ด้วย! นี่มันมหัศจรรย์มากเลย!”
จางจีตอบกลับด้วยน้ำเสียงงึมงำ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
เขาไฝ่ฝันที่จะเดินบนหนทางผู้ฝึกตนมาเนิ่นนานแล้ว อย่างไรก็ตาม ตอนนี้พอความฝันของเขาเป็นจริงขึ้นมา เขาก็ไม่ได้เตรียมใจเอาไว้เลย
“นั่นแหล่ะคือฝึกพลังปราณขั้นแรก มานี่สิ ข้าจะสอนเคล็ดควบคุมเพลิงให้”
“ย...เยี่ยมเลย ขอบคุณครับพี่ใหญ่!”
...
ทั้งสองเดินพูดคุยกันด้วยหนังสือบนหลังของพวกเขา เคล็ดวิชาเพลิงมันเป็นวิชาที่ง่ายจริง ๆ; หลังจากที่เดินไปได้ไม่กี่กิโลเมตร จางจีก็สามารถสร้างเปลวไฟเล็ก ๆที่ปลายนิ้วของเขาได้แล้ว
แม้กระนั้น เปลวไฟของเขาก็ยังคงอยู่ได้แค่ช่วงสั้น ๆ
“พี่ใหญ่ ในร่างกายของข้ามีพลังปราณที่จำกัด และไฟก็อยู่กับข้าได้ไม่นาน ถ้าเป็นการต่อสู้จริง ข้าคิดว่าข้าคงใช้มันได้แค่เจ็ดหรือแปดครั้ง”
“แค่นั้นก็ดีถมเถแล้วละ ถ้าเจ้าฝึกตนต่อไปเรื่อย ๆ เจ้าจะมีพลังเซียนมากขึ้นอย่างแน่นอน”
เฉินเฉินปลอบโยนความกังวลของจางจี
แม้ว่าจางจีจะมีคุณสมบัติสำหรับการฝึกตนสู่การเป็นเซียน แต่เขาก็ยังคงห่างไกลจากร่างบรรพกาลแห่งสวรรค์
ซึ่งผลก็คือ เขามีความเร็วในการฟื้นฟูพลังปราณที่ด้อยกว่าเมื่อเทียบกับเฉินเฉิน
ในตอนนี้เอง เฉินเฉินก็นึกขึ้นมาได้ว่าตราบใดที่มีแหล่งพลังปราณอยู่ใกล้ ๆ เขาก็สามารถรักษาไฟเอาไว้ได้เรื่อย ๆในตอนที่ใช้วิชาเพลิง
“พี่ใหญ่ ข้าได้ยินมาจากคนในสำนักเทียนหยุนว่ามันต้องใช้เคล็ดบางอย่างในการเข้าสู่ขั้นฝึกพลังปราณ แล้วพวกเราหล่ะครับ....”
“พวกจากสำนักเทียนหยุนเป็นคนธรรมดา พวกเราไม่ใช่คนธรรมดา เพราะฉะนั้นพวกเราไม่ต้องทำตามคำแนะนำของพวกเขาหรอก”
“...”
ครึ่งชั่วโมงต่อมา ในที่สุดทั้งสองก็กลับมาถึงจุดที่แยกกับคนของเขา ที่ซึ่งพวกเขาได้รับการต้อนรับด้วยฉากเกวียนโดนล้อมอยู่
สีหน้าของจางจีหม่นหมองในทันทีที่เห็นฉากตรงหน้า และโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง เขาก็วิ่งเข้าไปหาเกวียน
“เจ้าเป็นใครกัน?”
แม้ว่าตรงหน้าเขาจะเป็นกลุ่มนักรบบนหลังม้า แต่จางจีก็ไม่มีความกลัวอยู่เลย
“นายท่าน ในที่สุดท่านก็กลับมา พวกเราถูกกล่าวหาว่าเป็นฆาตกรครับ!”
“ใช่ครับนายท่าน โปรดช่วยทวงคืนความยุติธรรมให้พวกเราด้วย!”
ใบหน้าของคนเลี้ยงม้าและคนคุ้มกันบวมปูดจากการถูกอัด และถูกมัดติดอยู่กับเกวียน เมื่อเห็นจางจี พวกเขาก็เริ่มร้องไห้เหมือนกับว่าพวกเขาเจอพ่อแม่ของพวกเขา
ในทันทีที่เขาเห็นจางจี หัวหน้านักรบก็พูดด้วยความเดือดดาล “เจ้าคือหัวหน้าของไอ้พวกนี้สินะ? ข้าขอถามหน่อย เจ้าฆ่านายน้อยของเราได้ยังไง!”
สีหน้าของหัวหน้านักรบนั้นโหดร้าย เขาชักดาบแล้วเล็งไปที่จางจีในทันที
เมื่อเห็นการกระทำของหัวหน้านักรบสีหน้าของจางจีก็หม่นหมอง จากนั้นเขาก็รีบพูดออกมา “ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่านายน้อยของเจ้าเป็นใคร แล้วข้าจะฆ่าเขาได้ยังไง?”
“เจ้ามาถามข้าแบบนี้ แล้วข้าจะไปถามใครได้? ถ้าเจ้าไม่ได้ฆ่าเขา แล้วทำไมถึงรีบร้อนออกเดินทางตั้งแต่เช้าตรู่แบบนั้นหล่ะ?”
“วันนี้ ถ้าเจ้าไม่อธิบายเรื่องให้พวกเราฟัง พวกเจ้าก็ต้องเอาหัวมาให้เพื่อเป็นข้อแก้ต่างให้พวกเรา!”
ในตอนนั้นเอง จางจีก็มองเฉินเฉินที่พึ่งเดินมาอยู่ข้าง ๆ เขา
เฉินเฉินไม่ได้รีบร้อน เขาเอาหนังสือไปวางในเกวียน แต่เหลือย่ามใบนึงเอาไว้บนหลังของเขา
ด้วยการเหลือบมองรถม้าหรูหราที่อยู่ไกลออกไป เฉินเฉินก็พูดออกมาอย่างราบเรียบ “นายน้อยของพวกเจ้าตายยังไง?”
คำพูดที่เฉินเฉินทิ้งไว้ทำให้หัวหน้านักรบเดือดอย่างเต็มที่ จากนั้นเขาก็ตะคอกด้วยความโกรธ “เขาถูกสับเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย!”
“เพราะแบบนั้นเจ้าก็เลยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นสินะ นายน้อยของเจ้าตายจากการถูกอสูรดูดพลังชีวิต”
เฉินเฉินพูดในขณะที่เขามองรถม้าหรูสีขาวที่อยู่ไกล ๆ เขายังไม่รู้ว่าอสูรจิ้งจอกอยู่ข้างในรึเปล่า
แต่ตอนนี้ ด้วยสถานะฝึกตนที่พัฒนาขึ้นมากและของวิเศษยี่สิบชิ้นสำหรับต่อกรกับอสูรที่อยู่ในย่าม เขาก็มีความมั่นใจมากขึ้นกว่าเมื่อคืน
“อสูรหรอ? ลูกน้องของเจ้าพูดทฤษฎีนี้ให้ข้าฟังเป็นร้อยรอบแล้ว แต่ไม่เห็นมีอสูรตัวไหนอยู่ในที่พักเลย! ข้าคิดว่ามันก็เป็นแค่ข้ออ้างเท่านั้นแหล่ะ!”
สีหน้าของหัวหน้านักรบแดงก่ำจากที่หมดความอดทน
ตอนนี้นายน้อยที่เขาสมควรจะปกป้องได้ตายไปแล้ว ถ้าเขาหาตัวฆาตรกรไม่ได้ เขาจะจบภารกิจได้ยังไง?
เขาตัดสินใจเอาไว้แล้ว ไม่ว่าสาเหตุการตายของนายน้อยจะเป็นยังไง เขาก็จำเป็นต้องให้กลุ่มของเฉินเฉินเป็นคนรับผิดชอบ
ถึงยังไง มันก็ไม่น่าจะมีใครรู้ว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นข้างในป่าลึกแบบนี้
“อสูรอยู่ที่ไหนหรอ? นายน้อยของเจ้าไปเจอผู้หญิงคนนึงในระหว่างทางใช่ไหมหล่ะ?” เฉินเฉินพูด
พอได้ฟังคำถาม พวกนักรบก็หันไปมองรถม้าหรูโดยไม่รู้ตัว หลายคนถึงกับพยายามตีตัวออกห่างจากมัน
รถม้านั้นเป็นของนายน้อย และนายน้อยก็ซื้อผู้หญิงมาจริง ๆ ซึ่งผู้หญิงที่เขาซื้อมานั้นมีเสน่ห์มากจนไม่สามารถปล่อยไปได้ แม้ว่านายน้อยของพวกเขาจะตายไปแล้วก็ตาม
ทำไมถึงเป็นแบบนั้นหน่ะหรอ? มันก็เพราะว่าเจ้านายของพวกเขานั้นเป็นคนตัณหาจัด และด้วยการหาผู้หญิงดี ๆไปให้เจ้านาย พวกนักรบก็อาจจะได้รับการลดโทษ
อย่างไรก็ตาม เด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าอ้างว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นอสูรใช่ไหม?
พอคิดถึงความจริงที่ว่าพวกเขาอาจจะพาอสูรติดมาด้วย นักรบหลายคนก็รู้สึกว่าร่างกายของพวกเขาเริ่มสั่น
“กระซิก.... ข้าอยู่อย่างโดดเดี่ยวมาตั้งนาน หลังจากที่ทนมามากขนาดนั้น ในที่สุดข้าก็ได้เจอคนที่ต้องการข้า แต่ว่าเขากลับถูกฆ่าในเวลาไม่นาน! แล้วตอนนี้ข้ายังถูกกล่าวหาว่าเป็นอสูรอีกหรอ!”
“ทำไมข้าถึงได้อาภัพขนาดนี้? ที่รัก ข้าน่าจะตายไปกับท่าน....”
เสียงร้องไห้ดังมาจากรถม้าหรู
คำพูดที่ดังออกมานั้นดูมีเสน่ห์เป็นพิเศษ ในตอนนั้นเอง พวกนักรบก็ดูอับอายกับความคิดของพวกเขา พวกเขาเริ่มจ้องมองเฉินเฉินอย่างโกรธเคือง
“เจ้ากล้ามากล่าวหานายหญิงได้ยังไง!”
“เจ้าพูดแบบนั้นได้ยังไงกัน!”
ในตอนนี้เอง พวกนักรบก็เริ่มชี้นิ้วไปที่เฉินเฉิน หลายคนเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้กับเขาด้วยมีดและดาบของจริง
ทันใดนั้นเอง กลิ่นอายที่ยิ่งใหญ่และลึกลับก็แผ่ออกไปทุกทิศทางจากตัวเฉินเฉิน
“ข้าจะโกหกมนุษย์ธรรมดาอย่างพวกเจ้าไปทำไม?”
“เซียน!”
สีหน้าของหัวหน้านักรบเปลี่ยนไปในทันที แม้กระทั้งม้าของเขาก็ถอยไปสองสามก้าว
ในฐานะสมาชิกของตระกูลใหญ่ เขาคงไม่ได้แค่คุกเข่าลงเพื่อขอความเมตตา
“ฮ่าฮ่า พวกเราได้เจอกับแรงกดดันที่ยิ่งใหญ่ซะแล้วสิ แต่แรงกดดันแบบนี้ไม่จำเป็นต้องมาจากเซียนอย่างเดียวนะ มันยังมาจากอสูรได้ด้วย”
เสียงสะท้อนดังมาจากรถม้าด้วยเสน่ห์ที่มากขึ้น ตอนนี้ความเศร้าได้หายไปหมดแล้ว
อัศวินแต่ละคนสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในน้ำเสียงในขณะที่พวกเขาทุกคนเริ่มถอยห่างไปด้วยความกลัว
หลังจากที่เงียบไปครู่นึง หญิงสาวในรถม้าก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง
“เห้อ ข้าตั้งใจจะใช้เวลาเล่นกับพวกเจ้าอีกซักหน่อยนะเนี่ย แต่เอาเถอะ ในเมื่อตอนนี้ข้าได้อยู่กับผู้ฝึกตนแล้ว แก่นชีวิตจากผู้ฝึกตนคงจะยอดเยี่ยมกว่าขยะเมื่อคืนเยอะ”
“ตอนนี้ข้าชักอยากลิ้มรสมันแล้วสิ เพราะฉะนั้นพวกเจ้าหมดประโยชน์แล้ว”
วินาทีต่อมา สายลมอสูรก็พัดมาจากทุกทิศทาง ทันใดนั้นเอง ม้าของพวกนักรบก็เริ่มส่งเสียงร้องแล้วล้มลงไปกับพื้นทีละตัว ปากของพวกมันมีฟองสีขาวไหลฟอดออกมา