ตอนที่ 7 - ไม่น่าเลย (2)
*ก่อนจะอ่านนิยาย โปรดตรวจสอบว่าท่านได้อยู่ในสถานที่ที่มีแสงเพียงพอ หรือถ้าท่านอ่านในความมืดก็อย่าลืมเปิด Night Mode หรือจอส้ม เพื่อป้องกันการปวดหัวและสายตาสั้นด้วยนะครับ*
--------------------------------------------------------------------------------------------
พอเสียงทุ้มสุดแมนของเขาไปถึงหูเธอ เอมิเลียก็หันควับมาทางเขาทันที “ป่าวโว้ย! ชั้นก็แค่กำลังคิดว่าน่าจะปล่อยให้นายตายที่ตรอกนั่นก็ดี!”
เจ้าเอล์ฟแสยะ, สายตาของเขาเริ่มเดือดขึ้นมาขณะที่ตอบกลับไปว่า “เออ ชั้นก็ไม่ได้ขอให้เธอช่วยชั้นไว้หนิ ใช่ปะ?”
จากที่เขาดูแล้ว ยัยบ้าคนนี้หัวร้อนมาก่อนที่จะเข้ามาที่นี่แล้ว บางทีเธอน่าจะไปอารมณ์เสียมาจากข้างนอก พอมาเจอเขา เธอเลยมาระบายใส่.
ยัยนี่ช่างหยาบคายและเน่าเฟะจากภายในจริงๆ เหมือนๆกับกลิ่นแห่งแสงที่โชยออกมาจากตัวเธอ.
เขาอยากจะด่าเพิ่ม, ปากของเขานั้นเตรียมพร้อมจะพ่นคำด่าใส่เธอ, ดวงตาของเขาก็แดงเดือดขึ้นเพราะความโมโห แต่เขาก็กัดปากห้ามใจเอาไว้ก่อนจะหันหน้าหนีเอมิเลีย.
เอมิเลียที่เดือดขีดสุดอยู่แล้วก็ยิ่งโกรธมากขึ้นไปอีก. ภาพต่างๆเริ่มผุดขึ้นมาในหัวเธอจนเธอเริ่มสงสัยในสิ่งที่เธอตัดสินใจทำลงไป ก่อนจะพูดขึ้นมาเบาๆว่า “นายฆ่าใครรึป่าว?”
ทั้งสองคนเงียบใส่กันพักหนึ่งจนเหลือแต่เสียงหายใจเบาๆของทั้งคู่ที่ดังไปทั่วห้องใต้ดิน.
เทียนเล่มนั้นก็ยังคงส่องแสงออกมาอย่างริบหรี่อยู่เรื่อยๆ. แสงสว่างทำให้ใบหน้าของเจ้าเอล์ฟเปล่งปลั่งอย่างสลัวๆ, ขนตายาวสีดำของเขาทอดเงาไปที่กำแพงข้างๆเขา.
เขานั่งเงียบ.
เอมิเลียมองไปที่ดวงตาของเขาท่ามกลางความมืด เธอเห็นว่าเขาค่อยๆหลับตาลงอย่างช้าๆ. หลังจากนั่งนิ่งอยู่พักหนึ่งเขาก็ตอบ “ชั้นจำไม่ได้”
เอมิเลียลืมไปเลยว่าเขาสูญเสียความทรงจำ เพราะเขาทำตัวฉลาดอย่างปากว่าอยู่ตลอดเวลา. เขาทั้งหัวดื้อหัวรั้น - ปฏิเสธความช่วยเหลือจากเอมิเลียอยู่ตลอด. เขาเป็นผู้ชายที่มีแต่เสี้ยนหนาม คอยทิ่มแทงคนที่กล้าเข้ามาใกล้อยู่เสมอ.
เขาหยิ่งเกินไปสำหรับคนที่เพิ่งบาดเจ็บเจียนตายมา, หยิ่งยโสมากๆด้วย.
เอมิเลียรู้สึกถึงความอึดอัดไม่สบายใจจากเสียงของเจ้าเอล์ฟและรู้ตัวว่าเธอถามแรงไป “โทดที” เอมิเลียพึมพำเบาๆแล้วไปหยิบถาดมาจากโต๊ะมาวางไว้ด้านหน้าของเขา “นายกินซะ ชั้นจะออกไปแล้ว”
เอมิเลียหมุนส้นสูงเธอแล้วเดินออกไปจากห้อง ประตูด้านหลังเธอปิดเสียงดัง.
เขาลืมตาขึ้นมามองอาหารธรรมดาๆตรงนั้นแล้วยิ้มแสยะออกมา.
วังที่เหล่าเซ้นต์พักอาศัยอยู่นั้นจะถูกจัดให้พวกนางตามเกรด. ยิ่งได้เกรดดี วังที่อยู่ก็จะยิ่งใกล้ใจกลางเมืองมากเท่านั้น.
และด้วยเกรดครึ่งๆกลางๆของเอมิเลีย, วังของเธอจึงอยู่ห่างจากตัวเมืองมาก ไม่มีฝูงชนเซ็งแซ่เลย คนที่ผ่านมาก็มีไม่กี่คนเท่านั้น.
ดังนั้น คนที่มาหาเธอเป็นคนที่สองในวันนั้นทำให้เอมิเลียประหลาดใจมากโดยเฉพาะคนคนนั้นเป็นเดบรา.
เอมิเลียเปิดประตูออกแล้วเชิญเธอเข้ามา.
เธอมาทำอะไรที่นี่?
เอมิเลียพยายามรักษาระยะห่างจากเดบราอยู่ตลอด. แค่เธอเห็นหน้าก็ไม่พอใจแล้ว เธอไม่หลงกลไปกับรอยยิ้มและท่าทีเสแสร้งนั่นหรอก. แถมเอมิเลียก็ยังนึกย้อนไปตอนที่เดบราเปิดโปงริต้าต่อหน้าทุกคนด้วย.
เดบราเป็นคนที่เลวร้ายมาก, โหดร้ายโดยสันดานเลย.
เอมิเลียยืดอก “มีอะไรให้ชั้นช่วยงั้นหรอ?”
เดบรายิ้ม เธอกวาดสายตาไปรอบๆวังของเอมิเลีย “ไม่มีอะไรค่ะ. ดิชั้นแค่มาที่นี่เพราะเรื่องวิชาสอบสวนน่ะค่ะ ตอนนี้ท่านก็เป็นหัวหน้าแล้ว. ดิชั้นจึงนำของมาให้”
ก็ไม่เลวหนิแต่เอมิเลียก็ยังไม่วางใจ “เธอเอาอะไรมาให้งั้นหรอ?”
“กุญแจห้องทรมาณน่ะค่ะ” เดบรากล่าวแล้วหยิบกุญแจทองเหลืองออกมาจากกระเป๋าเธอจากนั้นก็วางใส่มือของเอมิเลีย “ตอนนี้ท่านคือหัวหน้าแล้วดังนั้นก็โปรดทำตัวให้เป็นตัวอย่างแก่ทุกคนด้วยนะคะ. ท่านจะเป็นผู้นำทุกคนในวิชาสอบสวน. ท่านจำได้ใช่มั้ยคะว่าหนังสือกล่าวอย่างไรบ้าง” เดบราถามแล้วยิ้มให้เอมิเลียพร้อมกับกวาดสายตามองไปมา.
“แน่นอน” เอมิเลียกล่าว พยายามทำเสียงให้นิ่งไว้.
เดบราเริ่มยิ้มมากขึ้น รอยยิ้มกว้างๆของเธอดูน่ากลัวแปลกๆ “ดีค่ะ. ดิชั้นจะรอดูนะคะว่าท่านจะทำอะไรได้บ้าง”
เดบรากล่าวอำลาแล้วออกจากวังของเอมิเลียไป. แม้เดบราจะไปแล้วแต่เอมิเลียก็ยังรู้สึกถึงตัวตนที่น่าขนลุกของเธออยู่ในห้องนั่น ราวกับว่าเธอยังอยู่ต่อหน้าอยู๋เลย.
เอมิเลียปิดประตูด้วยความไม่สบอารมณ์.
ในคืนนั้นก่อนจะเข้านอน เอมิเลียก็เปิดหนังสือออกมาอ่าน ตาเธอมองไปทีละบรรทัดแล้วอ่านออกมาเบาๆ.
“เก้าอี้ทรมาณนั้นจะมีหนามแหลมอย่างน้อย2พันดอกปกคลุมอยู่พร้อมกับสายคาดตรงกลาง เอาไว้พันธนาการเหล่าคนบาป. คนผู้นั้นจะได้รับโอกาสให้พูดและถ้าหากยังดื้อดึงอยู่ ก็จะถูกนำไปวางไว้บนกองไฟให้เปลวไฟแผดเผาผิวหนังจนร้องโหยหวนออกมาด้วยความเจ็บปวด”
(ตอนนี้สั้นเพราะผมต้องจัดให้ตรงกับตอนต้นฉบับนะครับ)