Chapter 47: เจ้าชายกำลังกลับบ้าน – 3 (ส่วนที่1)
**
ฉันยังคงอ่านคัมภีร์อย่างต่อเนื่องจนหาวออกมาเสียงดัง หลังจากนั้นฉันก็พึมพำกับตัวเองต่อ “ไม่เคยคาดคิดเลยนะว่ากองพาลาดินจะถูกส่งมารับฉันแบบนี้”
จากสิ่งที่ฉันได้ยินมา กลุ่มคนเหล่านี้ต่างรวมตัวกันเพื่อหาคนที่จัดการกับเคานต์แวมไพร์ตัวจริง
นั่นไม่ได้ความว่าฉันควรที่จะพูดความจริงออกไป ฉันควรที่จะกล่าวถึงอะไรบางอย่างที่ฉันสามารถพูดออกไปได้เพื่อทำให้มันดูน่าเชื่อถือและหวังว่าทุกอย่างมันจะสมเหตุสมผล
“ฝ่าบาท ท่านดูเหมือนจะเพลิดเพลินกับการเรียนมนตราอย่างมากเลยนะครับ”
ฮาร์แมนนั่งลงด้านข้างชาร์ลอตต์ที่กำลังหลับอยู่ ซึ่งเธอกำลังพิงเข้ากับผนังของรถ เขาได้ถามฉันขึ้นมา
“หื้ม? อ๋า เจ้านี้เหรอ? เจ้าก็รู้ว่ามันค่อนข้างสนุกเลยละ เมื่อเจ้าได้เริ่มอ่านมันไปแล้ว”
เหตุผลดั้งเดิมของมันก็เป็นเพราะฉันสามารถที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งของตัวเองเพื่อทำให้ตัวเองยังเอาชีวิตรอดอยู่ได้ แต่พูดตามตรงแล้ว ฉันพบว่าเวทมนต์บนโลกใบนี้มันค่อนข้างน่าสนใจที่จะเรียนรู้พวกมัน อีกอย่างหนึ่ง มันให้ความรู้สึกประสบความสำเร็จตอนที่ฉันเรียนรู้มัน ซึ่งมันทำให้มันดูพิเศษกว่าสิ่งอื่น มันจึงกลายเป็นงานอดิเรกของฉันอย่างรวดเร็วมาก
“...มันไม่ได้ยากเกินไปเหรอครับ ฝ่าบาท?”
“ปกติดีครับ”
ฉันปัดบทสนทนานี้ออกไปและพลิกหน้าของคัมภีร์อีกครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นฉันก็เหลือบตาไปมองฮาร์แมน
เขามองกลับมาที่ฉันด้วยสายตาที่ดูมีพิรุธมาก
ตอนนั้นก็มีเสียงเคาะดังออกมาจากด้านนอกรถ ฉันเปิดหน้าต่างออกและพบกับพาลาดินกำลังก้มหัวให้กับฉันด้านนอกประตู
“ฝ่าบาท พวกเรามาถึงเมืองหลวงของจักรวรรดิแล้วครับ เมืองหลวงลอเรนซิส”
ตั้งแต่ที่มันเป็นเมืองหลวงของเมืองที่เต็มไปด้วยศาสนา ฉันคิดว่าเมืองนี้จะดูทื่อด้านมาก มันมีถนนจัตุรัสมากมายทั่วทุกแห่ง แต่ฉันกลับคิดผิด
เมืองนี้ดูน่าสนใจและสวยงาม มันมากจนถึงระดับที่ประเทศที่รุ่งเรืองในโลกยุคกลางไม่มีทางที่จะเทียบกับความงดงามของมันได้เลย จากมุมมองของฉันแล้ว
รอบข้างเมืองหลวง มันมีหมู่บ้านเล็กใหญ่ต่างล้อมรอบตัวเมือง กำแพงเมืองด้านนอกมันสูงกว่ายี่สิบเมตรล้อมรอบเมืองไว้
แม้ว่ามันจะเป็นเหมือนกับกำแพงของปราสาทใหญ่ ฉันสามารถที่จะมองเห็นรูปปั้นเทพีตั้งไว้ด้านบนหุบเขาได้อย่างง่ายดายและนอกจากนั้นแล้วมันยังมีพระราชวังของจักรวรรดิทีโอเครติค ซึ่งยอดของปราสาทกำลังชี้ไปที่สวรรค์เบื้องบน
สถาปัตยกรรมของมันนั้นน่ามหัศจรรย์มาก มั้นทั้งอลังการและงดงามมาก มันสมกับเป็นเหมือนหลวงของโลกแฟนตาซีที่เต็มไปด้วยมนตรา
ที่นี่คือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเหล่าผู้ศรัทธา ลอเรนซิส มันเป็นใจกลางของจักรวรรดิและมันยังเป็นที่ที่ ‘พี่ชาย’ ของฉันจากราชวงศ์กำลังรอฉันอยู่
“...ฉันเริ่มเกร็งแล้วนะเนี่ย”
ฉันพึมพำจนทำให้ฮาร์แมนยิ้มจางๆ
ประตูขนาดใหญ่เปิดกว้างออกเพื่อให้นักเดินทางและประชาชนเข้าออกตามที่ใจของพวกเขาต้องการ พวกเราผ่านประตูเหล็กขนาดใหญ่ที่สูงกว่าสิบห้าเมตรและไปหยุดอยู่ที่ตึกที่เป็นโรงจอดรถและที่พักม้า
สายตานับไม่ถ้วนของนักเดินทางและประชาชนต่างมองมาทางพวกเรา
“ฉันเดาว่ามันคงไม่มีการต้อนรับที่ดีสำหรับฉันสินะ”
ปกติแล้ว มันจะมีกลีบดอกไม้ถูกโปรยร่วงโรยลงมาและประชาชนของจักรวรรดิจะเรียงตามข้างถนนและส่งเสียงร้องเชียร์กับการกลับมาของเจ้าชาย อย่างน้อยนั้นคือสิ่งที่เกิดขึ้นในนิยายที่ฉันเคยอ่าน พูดตามจริงแล้ว ฉันคาดหวังว่าจะมีการต้อนรับที่ดูน่าประทับใจกว่านี้ แต่สีหน้าที่พวกเขาแสดงออกมานั้นแสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่รู้ว่าใครเป็นคนที่ขึ้นมาบนรถ
ฮาร์แมนไอค่อกแคกกับคำถามของฉัน เขาดูมีสีหน้าที่ดูลำบากใจ “องค์จักรพรรดิไม่ได้แจ้งข่าวว่าท่านจะกลับมายังเมืองหลวงของจักรวรรดิครับ นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไม...”
“อืม เขารังเกียจฉันมากขนาดไหนกันเนี่ย”
ฉันพูดกับตัวเอง มันเป็นเรื่องที่น่าโล่งใจอย่างมากแล้วที่ปู่ของฉันไม่ได้บ่นฉันจนตายตอนที่พวกเราพบหน้ากัน
ด้วยความคิดเหล่านี้ที่อยู่ในหัวของฉัน ฉันเหลือบตามองออกไปด้านนอกและสังเกตถนนบนเมือง พวกมันต่างดูสะอาดสะอ้านมาก เด็กหลายต่อหลายคนต่างวิ่งเล่นสนุกกันในตลาด ในขณะที่ประชาชนทั้งหมดต่างค้าขายหรือซื้อของกันอยู่ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส พวกผู้ชายที่ดูเหมือนนักรับจ้างยืนคุยกันอย่างสนุกสนาน มันก็มีกลุ่มคนบางกลุ่มที่ถือหอกและโล่อยู่ ซึ่งน่าจะเป็นพาลาดินที่คอยเดินตรวจตราในตลาด ซึ่งมันสร้างความประทับใจกับฉันมาก
ฉันก็มีความคิดคร่าวๆ ตั้งแต่ที่พบกับฮาร์แมนก่อนหน้านี้แล้ว แต่ชายที่ถูกเรียกเป็นจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ เคลต์ ออโฟเซ่น่าจะเป็นจักรพรรดิที่ชาญฉลาดและใจกว้าง ซึ่งเป็นคนที่นำประชาชนของเขาได้อย่างยอดเยี่ยม มันเป็นเรื่องที่ง่ายดายที่จะคิดได้เช่นนี้ จากการดูใบหน้าที่ยิ้มแย้มของประชาชนบนถนนของเมืองหลวง
“นี่ไม่แย่เลยแหะ” ฉันพูด
ฮาร์แมนมองมาที่ฉัน เขามีรอยยิ้มบนใบหน้า เขาก็พยักหน้า
ฉันพูดต่อ “มันยอดเยี่ยมเลยนะที่มีสิ่งมากมายให้ดูที่นี่”
“ยังงั้นเหรอครับ ฝ่าบาท?”
พาลาดินพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดูพึงพอใจ
ฉันไม่มีความคิดเลยว่าฉันจะรู้สึกเหมือนกับนักท่องเที่ยวที่ประหลาดใจ แม้ว่าสถานที่แห่งนี้จะเป็น ‘บ้านเกิด’ ของฉัน ฉันอดที่จะสงสัยไม่ได้ว่าหน้าตาของฉันเป็นยังไงตอนที่ฉันมองบนถนน
มันน่าจะเป็นเหมือนกับเด็กเล็กที่ยังไม่โตละนะ
นี่คือความตื่นเต้นและเรื่องที่ฉันคาดหวังไว้อย่างมาก ถึงแม้ว่าระยะทางที่พวกเราไปมันจะไม่ได้ไกลสักเท่าไหร่ มันยังรู้สึกเหมือนกับว่าฉันได้เดินทางไปรอบโลกแล้วเลย
แต่โชคร้ายที่ความรู้สึกนี้อยู่ไม่ได้นานสักเท่าไหร่เนี่ยสิ
“...!?”
ฉันปิดจมูกทันที ตัวฉันสั่นสะท้านทันทีที่ได้กลิ่นอันเหม็นเน่าและน่ารังเกียจ ความรู้สึกที่ไม่พอใจปรากฏขึ้นมาภายในตัวฉันอย่างควบคุมไม่ได้
หลังจากที่ขยับตัวถอยออกมาจากตรงหน้าต่างแล้ว ฮาร์แมนก็เดินเข้ามาตบที่หลังของฉัน “ท่านเป็นยังไงบ้างครับ ฝ่าบาท? ท่านเมารถอย่างงั้นเหรอครับ?”
“....ให้ฉันถามเจ้าสักอย่างสิ ฮาร์แมน”
“ครับ?”
เขาเอียงคออย่างสับสน ยังไงก็ตาม การแสดงออกของเขาทำให้ริมฝีปากของฉันสั่น “เจ้าพวก.....อันเดทมันแอบซ่อนตัวอยู่ในเมืองหลวงของจักรวรรดิอย่างงั้นเหรอ?”
สีหน้าของเขาแข็งทื่อทันทีที่ได้ยินคำถามของฉัน
**
กลุ่มของพวกเราได้หยุดเดินอยู่กลางถนน ฉันก้าวเดินออกมาจากรถ ชาร์ลอตต์ได้ตื่นขึ้นมาจากการงีบหลับ เธอได้มาพร้อมกันกับฮาร์แมน ซึ่งพวกเธอต่างเดินใกล้กับฉันมาก ตอนที่ฉันกำลังเดินไปด้านหน้า
“นี่คือผลไม้ยาหลัวละ! ราคามันแค่ห้าเหรียญทองแดงเองนะ!”
“นี่ สาวน้อย! ฉันลดราคาเป็นพิเศษให้กับเธอเลยนะ ซื้อมันหน่อยสิ!”
“ฮ่าๆๆ! ถูกแล้ว! ฉันทำมันได้แล้วละ! ฉันไปสารภาพรักกับเธอแล้วเธอตอบตกลงกับฉันมาละ!”
ภายในตลาดนั้นครึกครื้นอย่างมาก ฉันเดินไปบนถนนที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะกับฮาร์แมน ชาร์ลอตต์และพาลาดินคนอื่นต่างเดินมาทางฉัน พร้อมกับสังเกตอารมณ์ของฉันไปด้วย
“ฝ่าบาท มันเกิดอะไรขึ้นกันครับ...?”
ฮาร์แมนถามฉันอย่างระมัดระวัง แต่ฉันไม่ได้สนใจอะไรเขา ฉันไม่หยุดขยับขาก้าวเดินไป มันเป็นเพราะความรู้สึกที่ย่ำแย่นี่
เพียงเวลาไม่นานที่พวกเราเดินเข้ามาภายในซอยที่อยู่ในตลาดที่ครึกครื้น มันแทบจะไม่มีผู้คนเดินผ่านตรงนี้สักเท่าไหร่ มันมีผ้าที่ตากไว้บนกำแพงของซอย
แม้ว่ามันจะเป็นช่วงเวลากลางวัน เงาที่ตกลงกระทบตรงนี้มันมืดมาก มันดูมืดมนและดูเงียบเกินระดับที่ฉันชอบ
สถานที่แห่งนี้ทั้งหมดต่างดูห่างไกลจากตลาดที่ดูครึกครื้นก่อนหน้านี้มาก
ฉันหยุดเดินและสายตาของฉันมองออกไปที่ด้านหน้า ฉันพูดขึ้น “...และนี่มันคืออะไรเนี่ย?”
มันมีสาวงามอยู่ตรงนั้น
ใบหน้าของเธอนั้นดูจะไม่รู้สึกตัว ในขณะที่ตาของเธอนั้นปิดสนิทพร้อมกับหยดน้ำตาที่ไหลลงมาอาบแก้ม มันมีดอกไม้ที่ถูกจัดไว้ล้อมรอบหัวที่ถูกตัดไว้บนพื้น
ฉันมองดอกกุหลาบที่ถูกจัดไว้ รวมทั้งหัวของเธอที่กองอยู่บนพื้น ฉันเงยหน้าขึ้นไป มันเป็นร่างที่ไร้หัว ซึ่งมันน่าจะเป็นร่างของเธอ
มันดูเหมือนกับมัมมี่แห้ง มันเหมือนกับว่าเลือดทั้งหมดในร่างกายของเธอถูกดูดออกไป ร่างที่ไร้หัวห้อยต่องแต่งไปทั่วจากลมที่พัดผ่านไปมา
ฮาร์แมนตะโกนออกมาอย่างประหลาดใจ “นี่มันอะไรกันเนี่ย…?!”
ชาร์ลอตต์หันหน้าหนี พาลาดินที่เดินตามพวกเรามาจากด้านหลังต่างมีหน้าที่ตึงเครียด พวกเขาต่างอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง
พวกเราต่างเงียบสงัด มันไม่มีใครเลยที่หลุดพ้นจากความตกใจนี้ไปได้ ยังไงก็ตาม คนแรกที่ทำลายความเงียบนี้คือหญิงสาวที่หัวขาด
-เคี้ยกก!
‘เธอ’ ได้เปิดตาของเธอออก ลูกตาของเธอเริ่มที่จะกวาดมองไปยังพื้นที่โดยรอบ เมื่อมันสังเกตเห็นกลุ่มของพวกเรา มันเริ่มที่จะเสียงร้องออกมา หัวที่ไร้ร่างของมันกำลังเปิดปากตะโกนและปิดลง
มันได้กลายเป็นอันเดทไปแล้ว พูดให้ชัดเจนไปกว่านี้ก็คือมันกลายเป็นซอมบี้ที่มีแต่หัว
ฉันวางฝ่ามือลงไปบนหัวของหญิงสาวและใส่พลังศักดิ์สิทธิ์ลงไป มันเริ่มที่จะหลอมละลายและกลายเป็นขี้เถ้าที่พัดกระจายไปตามสายลม เหลือทิ้งไว้แต่หัวกะโหลกที่ถูกแทงทะลุ
ตั้งแต่ที่กลิ่นเหม็นเน่ามันยังอยู่ที่นี่ ฉันรีบกวาดตามองไปยังพื้นที่โดยรอบ เจ้าสิ่งมีชีวิตที่สังหารหญิงสาวคนนี้และเปลี่ยนเธอกลายเป็นซอมบี้ยังคงอยู่รอบข้าง
ฉันลุกขึ้นยืนและพุ่งออกไปจากซอย
“ฝ่าบาท!”
ฉันเรียกพลั่วคู่ใจของฉันออกมาและจับมันไว้แน่น
หลังจากนั้น ฉันพบว่าตัวฉันกลับมาอยู่ภายในตลาด ท่ามกลางฝูงชนที่ต่างพูดคุยกันอย่างครึกครื้น สายตาของฉันจ้องทะลุไปที่หลังของชายวัยสามสิบปีซึ่งมีผมสีแดง
เขาเดินอยู่ท่ามกลางฝูงชน เขากลับสะดุ้งตัวด้วยเหตุผลบางอย่าง ก่อนที่จะเหลือบตามองกลับมาที่ด้านหลังของตัวเอง ฉันเห็นริมฝีปากของเขาที่ขยับขึ้นลงด้วย
-มันเหมือนกับว่าฉันโดนตามเจอแล้วสินะ
ตอนนั้นเอง – กลิ่นเหม็นเน่าก็เจือจางลง ก่อนที่กลิ่นแห่งความตายจะจางหายไปในอากาศ สำหรับชายคนนั้นแล้ว เขาได้หายตัวไปท่ามกลางฝูงชนโดยไร้ร่องรอย
ฉันยืนค้างไปเลย หลังจากที่เห็นภาพที่เกิดขึ้น พอฉันตั้งสติขึ้นมาได้ ฉันลดพลั่วลงอย่างช่วยไม่ได้และโอดครวญออกมา “อ๊า...แม่งเอ้ย”
เหตุผลเดียวที่ฉันมาที่นี่ มันเป็นเพราะว่าฉันต้องการเรียนเวทมนตร์ แต่มันเหมือนกับว่าฉันได้เอาตัวเองเข้าไปวุ่นวายกับเหตุการณ์อันยุ่งเหยิงนี้เข้าให้แทนเสียนี่...