ตอนที่ 2 ฉันคือหนึ่งในคนรวยระดับประเทศ
ตอนที่ 2 ฉันคือหนึ่งในคนรวยระดับประเทศ
ในเวลานี้ลู่หยวนได้บุกเข้ามาในห้องรับรอง VIP แล้ว
เมื่อเปิดประตูเข้ามาเขาก็พบกับชายสวมแว่นวัย 30 นั่งไขว่ห้างจิบกาแฟอยู่บนเก้าอี้ระหว่างอ่านหนังสือ เขาอยู่ในชุดสูทสีเทาฟ้าท่าทางดูเจ้าอารมณ์
เมื่อหันมาเห็นลู่หยวนเขาก็ถึงกับผงะ
ชายแว่นคนนี้เป็นผู้จัดการของธนาคารฮั่วหรุ่ยแห่งนี้ หน้าที่ของเขาคือเป็นคนดูแลลูกค้าระดับ VIP ทั้งหมด
ธนาคารฮั่วหรุ่ยเป็นธนาคารที่อยู่อันดับต้นๆ ของประเทศ แม้แต่ลูกค้าที่เป็น Member ธรรมดาๆ ก็เป็นคนที่น่าทึ่ง นับประสาอะไรกับลูกค้าระดับ VIP ที่เขาดูแลอยู่
ลูกค้าที่ชายแว่นคนนี้ได้ต้อนรับในทุกๆ วัน ต่างก็เป็นคนใหญ่คนโตและนักธุรกิจที่มีชื่อเสียงทั้งนั้น
กลุ่มลูกค้าของเขานั้นประการแรกอายุจะอยู่ที่ประมาณ 40-50 ปี ประการที่สองคือ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าหรือนาฬิกาที่พวกเขาสวมใส่ล้วนแสดงถึงฐานะที่ร่ำรวยของพวกเขา
แต่ลู่หยวนไม่ได้ใกล้เคียงลักษณะข้างต้นที่กล่าวไว้เลย
“ขอโทษนะครับ คุณเข้าห้องผิดหรือเปล่า?” เมื่อเห็นการแต่งตัวของลู่หยวน ผู้จัดการก็รู้สึกแปลกใจ แต่ก็ยังคงยับยั้งชั่งใจไว้อยู่
“ผมไม่ได้เข้าห้องผิดหรอก ผมมาที่นี่เพื่อถอนเงิน”
“คุณมีบัตรสมาชิก VIP ของธนาคารเราแล้วใช่ไหมครับ?”
“ผมไม่มีบัตรสมาชิกและผมก็จะไม่ใช้บัตรในการถอนเงิน” ลู่หยวนกล่าว
“ถ้าคุณไม่ใช้บัตรแล้วคุณจะถอนเงินยังไงครับ?” ผู้จัดการนั่งนิ่งมองไปที่ลู่หยวนอย่างสงสัย เขาคิดในใจว่าเด็กหนุ่มคนนี้เล่นตลกอะไรกัน? เขาบ้าหรือเปล่า?
เจิ้งเยว่มัวทำอะไรอยู่ถึงได้ปล่อยให้ไอเด็กบ้านี่เข้ามาในห้องนี้ได้
ถ้าเกิดมันพรวดพราดเข้ามาตอนที่มีลูกค้า VIP อยู่ ชื่อเสียงของธนาคารได้เสื่อมเสียหมดแน่
ผู้จัดการนึกตำหนิเจิ้งเยว่อยู่ในใจ ถ้าเกิดเสร็จสิ้นเรื่องนี้แล้ว เขาจัดการกับเธอแน่
“ผมจะใช้ลายนิ้วมือในการถอนเงิน” ลู่หยวนกล่าว
เมื่อผู้จัดการได้ยินเช่นนั้น ร่างกายของเขาก็ลุกขึ้นยืนโดยไม่รู้ตัว
ท่าทางของผู้จัดการไม่ได้แสดงถึงความโกรธ แต่เป็นการแสดงความเคารพ
แม้แต่ลูกค้า VIP ก็ยังต้องมีบัตร VIP ถึงจะทำการถอนเงินได้
แต่ธนาคารฮั่วหรุ่ยแห่งนี้มีอีกหนึ่งระบบที่จัดเตรียมไว้ให้สำหรับผู้ที่มีสถานะสูงมากหรือมีตัวตนที่พิเศษมากๆ เท่านั้น นั่นก็คือการยืนยันตัวตนจากลายนิ้วมือ
มีสมาชิกเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถใช้ระบบนี้ของธนาคารได้
ซึ่งมีโอกาสน้อยมากที่จะได้พบเจอลูกค้าระดับนี้
ถึงแม้ว่าลู่หยวนจะดูไม่เหมือนคนที่มีฐานะเลย แต่ผู้จัดการก็ไม่ได้ละเลยหน้าที่ เพราะถ้าหากที่เขาพูดมันเป็นเรื่องจริงขึ้นมาล่ะ?
ผู้จัดการเชิญให้ลู่หยวนนั่งรออยู่ที่โซฟาก่อน ไม่นานก็มีพนักงานเดินถือเครื่องแสกนลายนิ้วมือเข้ามา
ลู่หยวนกดนิ้วโป้งลงบนเครื่องสแกนลายนิ้วมืออย่างเก้ๆ กังๆ
ทันทีที่เขากดนิ้วโป้งลงบนเครื่องนั้น เสียงกริ่งแจ้งเตือนความปลอดภัยก็ดังขึ้น
สีหน้าของผู้จัดการกลายเป็นเคร่งขรึม ดูเหมือนว่าเขาจะเรียกรปภ. ในไม่ช้า
เมื่อเห็นสีหน้าของผู้จัดการเริ่มไม่ดีนัก ลู่หยวนจึงรีบพูดขึ้นว่า “ใจเย็นๆ ก่อน ผมบอกตามตรงว่าผมจำไม่ได้แล้วว่าใช้นิ้วไหน อดทนรอให้ผมได้ลองอีกสักครั้ง”
ผู้จัดการพยักหน้าตอบลู่หยวนเบาๆ แต่สีหน้าของเขายังคงเคร่งขรึมเหมือนเดิม
ยิ่งผู้จัดการมองลู่หยวนมากเท่าไหร่ มันก็ทำให้เขาก็รู้สึกโมโหเจิ้งเยว่มากขึ้นที่ปล่อยให้เด็กนี่เข้ามา
เขาคิดว่าจริงๆ แล้วลู่หยวนเป็นแค่ตัวสร้างปัญหาที่เข้ามาก็เพื่อความสนุกสนานเท่านั้น
ลู่หยวนไม่ได้สนใจสายตาที่มองมาของผู้จัดการ เขาเริ่มใช้นิ้ว โป้ง ชี้ กลาง นาง อีกข้างกดลงไปที่เครื่องสแกนลายนิ้วมือทีละนิ้ว
ในที่สุด…. ก็มีเสียง ‘ปี๊ป!’ ดังขึ้น
ยืนยันตัวตนสำเร็จ!
ในตอนนี้ใบหน้าของผู้จัดการได้เปลี่ยนไป ท่าทางไม่ไว้ใจในตอนแรก ตอนนี้กลายเป็นยิ้มกว้างดั่งสายลมในฤดูใบไม้ผลิ
“อ่า... คุณลู่ ก่อนหน้าที่ผมต้องขออภัยด้วยจริงๆ ที่ทำให้คุณต้องรู้สึกขุ่นเคือง ผมชื่อจางเจ๋อครับ เป็นผู้จัดการของธนาคารฮั่วหรุ่ยสาขานี้ ในอนาคตได้โปรดให้ผมช่วยดูแลนะครับ”
หลังจากยืนยันตัวตนสำเร็จ ชื่อของลู่หยวนก็ได้ปรากฏขึ้นบนเครื่องพิมพ์ลายนิ้วมือ
ผู้จัดการโค้งตัวลงอย่างนอบน้อม จากนั้นก็ผายมือนำทางให้ลู่หยวน
“เชิญทางนี้ครับคุณลู่”
จางเจ๋อนำทางลู่หยวนไปยังห้องที่มีประตูเหล็กห้องหนึ่ง เขากดปุ่มที่อยู่ด้านข้างประตูและทันใดนั้น ผนังก็ค่อยๆ แยกออกจากกันอย่างช้าๆ เหมือนในภาพยนตร์ ด้านในเป็นทางเดินโลหะสีขาวที่ส่องแสงสว่างแวววับออกมา
จางเจ๋อเดินนำทางลู่หยวนมาถึงห้องโลหะที่มีเครื่องสแกนม่านตาอยู่ด้านหน้าประตู
“รบกวนคุณลู่โปรดกดรหัสผ่านและสแกนม่านตาตรงนี้ครับ”
ลู่หยวนพยักหน้าและยืนคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะกดรหัส
เนื่องจากครอบครัวบอกรหัสผ่านเซฟกับเขาตั้งแต่ 3 ปีก่อน และตลอด 3 ปีที่ผ่านมารหัสผ่านก็ไม่เคยได้ใช้งานจริงเลยสักครั้ง จนเขาเกือบจะลืมมันไปแล้วด้วยซ้ำ
ลู่หยวนเริ่มกดรหัสผ่านและสแกนม่านตาตามขั้นตอน
ในที่สุด… ขั้นตอนการยืนยันตัวตนก็สำเร็จ
ประตูเหล็กค่อยๆ เปิดออกช้าๆ
ด้านหลังประตู เป็นห้องเดี่ยวที่เต็มไปด้วยตู้เซฟ
“คุณลู่ครับ ตู้เซฟทั้งหมดด้านหน้านี้เป็นตู้เซฟที่เก็บทองคำแท่งไว้ทั้งหมด” จางเจ๋อเปิดตู้เซฟทั้งหมดที่อยู่ทางด้านตะวันออก
ทันใดนั้น ตู้เซฟสีเงินก็มีแสงสีทองสว่างวาบออกมา ด้านนี้มีตู้เซฟอยู่ 5 ตู้ แต่ละตู้มี 5 ชั้น แต่ละชั้นจะมีกล่องใสอยู่ 10 กล่องและแต่ละกล่องจะมีทองคำแท่งอยู่ 10 แท่งโดยแต่ละแท่งมีน้ำหนัก 2 กิโลกรัม
ลู่หยวนพยักหน้าและเดินต่อโดยที่ไม่สนใจทองคำแท่งในตู้เลยแม้แต่น้อย
“ส่วนด้านนี้เป็นตู้เซฟสำหรับเก็บนาฬิกาครับ” จางเจ๋อพูดพร้อมกับเปิดตู้เซฟที่มีนาฬิกาสุดหรูมากมายถูกวางเรียงอย่างสง่างามอยู่ด้านใน
ฝั่งนี้เองก็มีตู้เซฟ 5 ตู้และแต่ละตู้มี 5 ชั้น แต่ละชั้นเป็นนาฬิกาสวิสหลากหลายแบบและทั้งหมดก็เป็นรุ่น Limited ทั้งนั้น นาฬิกาที่ระลึกของ Rolex ทุกเรือนมีมูลค่ามากกว่าหนึ่งล้านหยวน ถึงแม้ว่านาฬิกาเหล่านี้จะหรูหราเพียงใดก็ไม่ได้ทำให้ลู่หยวนรู้สึกตื่นเต้นเลย
"ส่วนด้านนี้เป็นตู้เซฟสำหรับเก็บเงินดอลลาร์ครับ" จางเจ๋อเปิดตู้เซฟที่อยู่ทางทิศใต้ออก ด้านในมีเงินดอลลาร์หลายร้อยปึกวางเรียงกันอยู่เต็มตู้จนแทบจะล้นออกมา
"ผมต้องการเงินหยวนครับ" ลู่หยวนกล่าว "คุณสามารถนำเงินสดหนึ่งล้านหยวนมาให้ผมได้มั้ย?"
"ได้เลยครับคุณลู่ กรุณารอสักครู่"
จางเจ๋อนำทางไปที่ด้านหลังตู้เซฟที่ใหญ่ที่สุดทางทิศเหนือซึ่งเต็มไปด้วยเงินหยวนเรียงรายจนเต็มผนัง ราวกับว่าพวกเขากำลังยืนอยู่ในห้องสมุด
“เชิญทางนี้ครับคุณลู่”
เมื่อเดินตามมาลู่หยวนก็ยื่นถุงพลาสติกสีดำเก่าๆ ให้กับจางเจ๋อ
เมื่อเห็นเช่นนั้น จางเจ๋อก็รู้สึกประหลาดใจ เขาจะใช้ถุงพลาสติกใบนี้ใส่เงินสดล้านหยวนเนี่ยนะ? นี่มันบ้าเกินไปแล้ว
ทั้งการแต่งตัวที่ดูมอมมอม อีกทั้งยังต้องการใช้ถุงดำที่สกปรกใบนี้ใส่เงินล้านหยวน นี่เขากำลังคิดอะไรอยู่
แต่เอาจริงๆ ถ้าหากคุณลองนึกถึงความมั่งคั่งที่แท้จริงของเขาแล้ว เงินล้านหยวนนี้ก็เป็นเพียงแค่เงินจำนวนเล็กน้อยสำหรับเขาก็เท่านั้น สำหรับเขาแล้วคงไม่มีความจำเป็นที่ต้องสนใจว่าจะใส่อะไรกลับไป
จางเจ๋อไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาก้มหน้าก้มตาหยิบปึกเงินใส่ถุงดำให้ลู่หยวน
“นี่ครับคุณลู่ เงินสดหนึ่งล้านหยวน”
เมื่อได้รับถุงดำจากจางเจ๋อ ลู่หยวนก็ไม่รอช้า
เขาเดินหันหลังกลับออกจากห้องไป ทิ้งจางเจ๋อให้ยืนงงอยู่ในห้องเพียงคนเดียว
จางเจ๋อรีบจัดการล็อคตู้เซฟเพื่อที่จะตามออกไปส่งลู่หยวน
ในเวลานี้ที่ห้องโถงธนาคาร
เจิ่งเยว่ยืนอยู่ที่ล็อบบี้อย่างกระวนกระวาย
เธอไม่รู้เลยว่าด้านในห้อง VIP เกิดอะไรขึ้นบ้างตั้งแต่ลู่หยวนเข้าไป
ใจเธอต้องการที่จะตามเข้าไป แต่ก็ไม่สามารถทำได้ เพราะเธอไม่มีสิทธิที่จะเข้าไปโดยที่ไม่ได้รับอนุญาตก่อน
เธอคิดว่าถ้าหากผู้จัดการพบกับลู่หยวนเขาจะต้องถูกไล่ออกมาอย่างแน่นอน เพราะลู่หยวนนั้นเป็นเพียงคนจนที่เข้ามาเพื่อก่อกวนเท่านั้น
ในที่สุดลู่หยวนก็เดินออกมา เขาเดินออกมาพร้อมกับถุงพลาสติกใบใหญ่สีดำ
“เอ๊ะ? หมอนี่เดินเข้าไปมือเปล่าไม่ใช่เหรอ? แล้วนั่นถือถุงอะไรออกมา?”
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
เจิ้งเยว่รีบวิ่งเข้าไปคว้าตัวลู่หยวนไว้ทันที
“เข้าไปทำอะไรข้างในมาน่ะ!?”
ลู่หยวนไม่คาดคิดว่าผู้หญิงคนนี้จะมาหาเรื่อง
ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้ผู้หญิงคนนี้จะดูถูกและแสดงกิริยาไม่ดีต่อเขา แต่ลู่หยวนก็ไม่ได้คิดจะเอาเรื่องเธอ พูดตามตรงว่ามันเป็นเรื่องที่ง่ายมากๆ ยิ่งกว่าปลอกกล้วยที่จะจัดการเธอ ถ้าเขาต้องการก็แค่เพียงพูดกับจางเจ๋อ ไม่นานเธอก็จะถูกลงโทษอย่างแน่นอน
แต่ทว่าลู่หยวนได้สิ่งที่เขาต้องการแล้ว มันจึงไม่มีความจำเป็นที่เขาจะอยู่ที่นี่ต่อ
โดยไม่คาดคิด จู่ๆ เจิ่งเยว่ก็กระชากมือลู่หยวนที่ถือถุงพลาสติกอยู่
ด้วยแรงกระชากทำให้ถุงดำหลุดออกจากมือตกลงไปที่พื้น
เงินจำนวนมากที่อยู่ในถุงได้ตกกระจายเต็มพื้นต่อหน้าคนทั้งห้องโถง
เมื่อเห็นเช่นนั้นดวงตาของเจิ้งเยว่ก็เบิกกว้าง
คู่สามีภรรยาสกุลหวังก็ตกตะลึง
คนอื่นๆ ในธนาคารต่างก็ตกตะลึงเช่นกัน
แม้ว่าลูกค้าของธนาคารฮั่วหรุ่ยจะมีฐานะที่ดี แต่ก็ไม่เคยมีใครออกมาพร้อมกับถุงพลาสติกที่มีเงินเป็นล้านเช่นนี้
“นี่แกเข้าไปขโมยเงินมางั้นเหรอ!? ทุกคนช่วยกันจับโจรเร็ว!”
เจิ่งเยว่ไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีคนมาขโมยเงินของธนาคาร เพราะระบบรักษาความปลอดภัยของที่นี่นั้นแน่นหนามาก
“จับเขา จับเขาไว้!”
ด้วยความตกใจ คู่สามีภรรยาสกุลหวังรีบกระโจนเข้าไปคว้าตัวลู่หยวนไว้ทันที
ตอนนี้สถานการณ์ในห้องโถงกลายเป็นวุ่นวาย
ทุกๆ คนในธนาคารเชื่อไปแล้วว่าลู่หยวนนั้นเป็นโจรที่เข้ามาขโมยเงินจริงๆ
เวลานี้ที่ห้อง VIP
ในที่สุดจางเจ๋อก็ล็อคตู้เซฟเสร็จแล้ว เขาจึงรีบวิ่งตามลู่หยวนออกไป
อันที่จริงแล้วจางเจ๋อไม่จำเป็นจะต้องออกมาส่งหลังจากที่ทำธุรกรรมของลู่หยวนเสร็จแล้ว แต่ตั้งแต่ที่เขาได้ทำงานที่ธนาคารแห่งนี้มานานนับสิบปี เขาไม่เคยพบเจอคนที่ร่ำรวยขนาดนี้เลย และแน่นอนว่าเขาจะไม่ยอมพลาดโอกาสนี้ไป เขาต้องการที่จะประจบประแจงลู่หยวน
อย่างน้อยๆ ถ้าเขาช่วยลู่หยวนเปิดประตูและส่งลู่หยวนเข้าไปในรถ กล่าวชมเชยเล็กน้อยเพื่อให้ตัวเองมีความประทับใจในหัวใจของลู่หยวนสักนิดหน่อยมันก็คุ้มค่ามากแล้ว
เมื่อจางเจ๋อออกมาเห็นสถานการณ์ที่วุ่นวายก็ถึงกับผงะ ตอนนี้ลู่หยวนกำลังถูกเจิ้งเยว่และคนอื่นๆ ล็อคตัวไว้ อีกทั้งเจิ้งเยว่ยังตะโกนให้ทุกๆ คนช่วยกันจับโจร
ถึงแม้ว่าจางเจ๋อจะไม่รู้ภูมิหลังที่แท้จริงของลู่หยวน แต่เขาก็รู้ว่าลู่หยวนนั้นร่ำรวยมาก ไม่มีทางที่เขาจะเป็นขโมยอย่างแน่นอน
ตอนนี้ลู่หยวนถูกเข้าใจผิดว่าเป็นขโมยและยังถูกจ้องมองด้วยสายตาดูถูกของคนหลายสิบคน
หากทำให้ลู่หยวนไม่พอใจขึ้นมาละก็เขาเพียงใช้เวลาแค่ไม่กี่นาทีก็สามารถทำให้ระดับผู้จัดการถูกเด้งออกได้และไม่เพียงแค่เท่านั้น แต่เขาอาจไม่สามารถทำงานด้านการธนาคารได้อีกเลยตลอดชีวิต
“นี่เธอกำลังทำบ้าอะไรอยู่!?” จางเจ๋อวิ่งเข้าไปและตะโกนถามเจิ้งเยว่
เจิ้งเยว่รีบตอบอย่างตื่นเต้น เธอคิดว่าจะได้รับคำชมจากจางเจ๋อ "ผู้จัดการจางคะ ผู้ชายคนนี้เป็นขโมยค่ะ เขาขโมยเงินออกมาจากห้อง VIP และฉันคนนี้เป็นคนที่จับตัวเขาไว้ได้!"
จิ้งเยว่กล่าวอย่างกระตือรือร้นด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มมีความสุข เธอคิดว่าเธอจะได้ได้รับการยกย่องในการกระทำครั้งนี้
ผู้จัดการจางเป็นถึงหัวหน้าแผนกของธนาคารฮั่วหรุ่ยสาขาจินหลิง หากทำให้เขาพึงพอใจได้มันจะเป็นประโยชน์กับเธออย่างมากเลยทีเดียว
“ปล่อยเขาเดี๋ยวนี้!”
โดยไม่คาดคิด เจิ้งเยว่ถูกจางเจ๋อผลักออกอย่างแรง
ไม่เพียงแค่นั้น จางเจ๋อยังผลักคู่สามีภรรยาสกุลหวังที่กำลังจับตัวลู่หยวนไว้ด้วยท่าทางเกรี้ยวกราด
"คุณลู่คุณเป็นอย่างไรบ้างครับ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า? ผมขอโทษครับคุณลู่ที่ปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น" จางเจ๋อรีบก้มหัวกล่าวคำขอโทษลู่หยวนอย่างลุกลี้ลุกลน
เจิ่งเยว่ถึงกับตกตะลึงกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า
เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นจางเจ๋อก้มหัวกล่าวคำขอโทษเช่นนี้
เจิ้งเยว่มองทั้งหมดอย่างคนโง่เขลา
"ยืนทำอะไรอยู่รีบขอโทษคุณลู่ เร็วเข้า!" จางเจ๋อตะโกนใส่เจิ้งเยว่
เมื่อเห็นเช่นนั้นเจิ่งเยว่ถึงได้เข้าใจว่า คุณลู่คนนี้ต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน
เธอทำตามสั่งของจางเจ๋อและรีบก้มหัวโค้งตัวขอโทษลู่หยวนอย่างมีเจตนาจงใจ เธอก้มต่ำเผยให้เห็นร่องหน้าอกขาวเนียนที่อยู่ภายใต้เสื้อของเธอ
แต่ลู่หยวนไม่ได้มองเธอเลยด้วยซ้ำ มันยิ่งทำให้เธอรู้สึกแย่มากขึ้นกว่าเดิม
“ช่างมันเถอะ ผมไม่ได้เป็นอะไรมาก” ลู่หยวนกล่าว
“ต้องขออภัยจริงๆ ครับคุณลู่ ขอบพระคุณครับที่ไม่ถือโทษโกรธพนักงานของเรา หากคุณต้องการอะไรเพิ่มเติมในอนาคต สามารถเรียกหาผมได้เลยนะครับ”
จางเจ๋อเดินไปส่งลู่หยวนออกจากธนาคารเป็นการส่วนตัวและยื่นนามบัตรของตัวเองให้กับลู่หยวน
"คุณลู่แม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับธุรกรรมของธนาคาร หากคุณต้องการอะไรนอกเหนือจากนี้และผมสามารถช่วยคุณได้ โปรดอย่าลังเลที่จะติดต่อมาหาผมนะครับ ถือว่าเป็นการขอโทษสำหรับความบกพร่องของพนักงานเราในวันนี้" จางเจ๋อกล่าว
"ได้เลย ขอบคุณมากนะพี่จาง" ลู่หยวนตอบกลับอย่างสุภาพ
ประโยคที่ลู่หยวนกล่าวมานั้นทำให้หัวใจของจางเจ๋อพองโต
'โอ้ ชายหนุ่มที่ร่ำรวยคนนี้ช่างถ่อมตัวเสียจริง เขาไม่ได้ถือตัวเลยแม้แต่น้อย' ทั้งๆ ที่เขาร่ำรวยขนาดนี้แต่ยังเปรียบตัวเองว่าเป็นน้องชาย ทำเหมือนว่าตนเองนั้นอยู่ระดับเดียวกันกับเขา
ลู่หยวนเดินถือเงินล้านออกมาจากธนาคารพร้อมกับความรู้สึกที่คิดถึงหลี่เมิ่งเหยา
เขารู้สึกเสียใจอย่างมากที่หลี่เมิ่งเหยาทิ้งเขาไปแบบนี้ ไม่คิดเลยจริงๆ ว่าหลี่เมิ่งเหยาจะเป็นคนที่เห็นเงินสำคัญกว่าความรัก
หลี่เมิ่งเหยาจะรู้สึกยังไงนะ ถ้ารู้ว่าแท้จริงแล้วลู่หยวนนั้นเป็นรุ่นที่สองที่โคตรจะร่ำรวย! ยิ่งไปกว่านั้นธุรกิจมากมายกว่าครึ่งหนึ่งของโลกใบนี้ ก็เป็นของครอบครัวเขาเอง