ตอนที่ 10 หลีกไป
ตอนที่ 10 หลีกไป
"ห๊ะ! ผู้อำนวยการสำนักงานจัดเก็บภาษีเลยเหรอ?" ฉินจิ่วเอ๋อร์อุทาน "นี่พ่อรู้จักกับผอ.หวงด้วยเหรอ?"
"ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก" ฉินเฟินกล่าว "พ่อได้ลองติดต่อหาผอ.หวงเพื่อสอบถามว่าใครเป็นคนที่ช่วยแก้ไขเรื่องนี้ แต่ก็ไม่มีการตอบรับใดๆ กลับมาเลย"
"จิ่วเอ๋อร์ ลูกบอกว่าลูกจะขอให้เพื่อนช่วยไม่ใช่เหรอ เพื่อนของลูกได้ช่วยไหม?" ฉินเฟินกล่าว
ฉินจิ่วเอ๋อร์คิดในใจ
อาจจะเป็นไปได้ เพราะทางพ่อไม่มีใครรู้จักกับผอ.หวง หรือว่า อาจจะเป็นเพื่อนของฉันที่เป็นคนช่วยแก้ไขเรื่องนี้
หลังจากวางสาย ฉินจิ่วเอ๋อร์ก็เล่าเรื่องทั้งหมดที่คุยกับพ่อให้ทุกคนฟัง
สิ่งที่เธอพูดได้กระตุ้นความอยากรู้ของทุกคนมากขึ้น
"ไม่น่าเชื่อว่าพ่อของเธอจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครที่เป็นคนจัดการเรื่องนี้"
"ถ้าฉันเป็นเธอ ฉันจะพยายามถึงที่สุดเพื่อค้นหาว่าเขาคือใครและตอบแทนน้ำใจที่ยิ่งใหญ่ครั้งนี้"
"เรื่องนี้ไม่ยากเลยจิ่วเอ๋อร์ เธอแค่นึกว่าเธอบอกเรื่องนี้กับใครไปบ้าง บางทีเธออาจจะได้รู้ก็ได้ว่าใครเป็นคนช่วยเธอ" เพื่อนๆ ของฉินจิ่วเอ๋อร์ต่างพากันออกความคิดเห็น
“นั่นสิ! ทำไมฉันถึงคิดเรื่องนี้ไม่ได้นะ” ฉินจิ่วเอ๋อร์กล่าว
"อย่างไรก็ตาม พวกเธอทุกคนที่อยู่ที่นี่ล้วนรู้เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด เฉินเฟิงใช่นายหรือเปล่าที่ช่วยครอบครัวฉัน?"
เฉินเฟิงรีบปฏิเสธ "ฉันโทรหาพ่อแม่ของฉันก็จริง แต่พอพวกท่านได้ยินว่าเป็นบริษัทเชิ่งถัง พวกท่านก็บอกว่าไม่สามารถช่วยอะไรได้"
"หมินหมิน นานา หมานหมาน หรือว่าจะเป็นพวกเธอ?" ฉินจิ่วเอ๋อร์ถามอีกครั้ง
ทั้งสามส่ายหัว
ฉินจิ่วเอ๋อร์เริ่มถามทุกคนที่นั่งอยู่ทีละคน
"คงจะไม่ใช่พวกนายหรอกใช่ไหม?" ฉินจิ่วเอ๋อร์ก็มองไปที่จางฮุยและซงซุน
แม้ว่าเธอจะเอ่ยถาม แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเธอนั้นถามเป็นมารยาทเท่านั้น
ทั้งจางฮุยและซงชุนรีบโบกมือ แม้ว่าทั้งคู่จะขอร้องให้คนที่รู้จักช่วยแต่อีกฝ่ายก็ทำอะไรไม่ได้เช่นกัน
แต่สำหรับลู่หยวนฉินจิ่วเอ๋อร์ไม่ได้ถามเลย
ลู่หยวนเป็นคนเดียวที่นั่งอยู่ที่นี่แต่เธอไม่ได้ถาม
เห็นได้ชัดว่าเธอตั้งใจที่จะไม่ถาม เพื่อทำให้ลู่หยวนนั้นรู้สึกอับอาย
เฉินเฟิงและคนอื่นๆ ก็รู้ว่าฉินจิ่วเอ๋อร์จงใจทำแบบนี้
ถึงแม้ว่าเขาจะรู้สึกไม่พอใจ แต่เพื่อที่จะไม่ให้เกิดปัญหา พวกเขาจึงไม่ได้พูดอะไรออกมา
"ถ้าไม่ใช่พวกเธอ งั้น..." ฉินจิ่วเอ๋อร์ขมวดคิ้วและคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ "อาจจะเป็น..."
ในขณะที่ฉินจิ่วเอ๋อร์กำลังพูดอยู่นั้น ก็ได้มีสายโทรเข้ามายังมือถือของเธอ
"หวังเหลย!" ฉินจิ่วเอ๋อร์พูดกับปลายสาย
"จิ่วเอ๋อร์ ฉันได้บอกพ่อถึงปัญหาของครอบครัวเธอแล้วนะ พ่อบอกว่าเขาพอจะรู้จักผู้อำนวยการสำนักงานจัดเก็บภาษี เขาไปที่สำนักงานภาษีเมื่อเช้านี้เพื่อที่จะไปหาผอ.หวง ฉันไม่รู้ว่ามันจะมีประโยชน์ไหมแค่อยากโทรมาบอกเธอไว้...."
ก่อนที่หวังเหลยจะพูดจบ ฉินจิ่วเอ๋อร์ก็พูดแทรกขึ้น "หวังเหลยฉันรู้ว่านี่เป็นความช่วยเหลือของนาย มันมีประโยชน์กับฉันมาก บริษัทของพ่อฉันกลับมาเป็นปกติแล้ว ลุงหวังจัดการเรื่องนี้ได้ ขอบคุณนายมากเลยนะ"
ฉินจิ่วเอ๋อร์พูดพร้อมกับน้ำตาคลอเบ้า
สิ่งที่เชิ่งถังกรุ๊ปทำในตอนนั้นมันทำให้ตระกูลของเธอนั้นจนตรอกอย่างไม่มีทางรอด หากไม่ได้รับการช่วยเหลือจากหวังเหลยในครั้งนี้ ครอบครัวของเธออาจจะต้องนอนบนถนนก็เป็นได้
นี่กล่าวได้ว่าเป็นพระคุณครั้งยิ่งใหญ่เลยก็ว่าได้
"อ่า ไม่เป็นไรๆ เรื่องเล็กน้อยน่า" หวังเหลยตกใจ เขาไม่คิดเลยว่าพ่อของเขานั้นจะมีอำนาจมากมายเช่นนี้่
"หวังเหลย ตอนนี้นายมาที่ร้านอาหารไป่เชิ่งหยวนสิ ฉันอยากจะเลี้ยงขอบคุณนายน่ะ" ฉินจิ่วเอ๋อร์กล่าว
"ฮ่าฮ่า โอเคๆ ฉันจะรีบไป"
หวังเลยเป็นเพื่อนที่อยู่คนละมหาลัยกับฉันจิ่วเอ๋อร์ เขาแอบชอบฉินจิ่วเอ๋อร์มาตั้งนานแล้วและคอยติดตามเธออยู่ตลอด
ตอนนี้เขาได้ช่วยฉินจิ่วเอ๋อร์ไว้แถมเธอยังเอ่ยปากชวนเขาไปกินข้าวอีก เขาจะพลาดโอกาศนี้ไปได้อย่างไร!
ไม่นานหวังเหลยก็มาถึง
หวังเหลยมีรูปร่างอ้วนท้วมไม่สูงมาก เขาสวมใส่เสื้อผ้าแบรนด์ดังทั้งตัวเสื้อ Adidas รองเท้าแบรนด์ Balenciaga และนาฬิกา Rolex
“หวังเหลย ทางนี้ๆ!”
ตั้งแต่ที่วางสายไป ฉินจิ่วเอ๋อร์ก็มองไปที่ประตูทางเข้าอยู่ตลอดเวลา
เมื่อเห็นหวังเหลย เธอจึงรีบลุกขึ้นยืนและตะโกนเรียกทันที
"อ่าว อยู่กันหลายคนเหรอ?"
เดิมทีหวังเหลยคิดว่าฉินจิ่วเอ๋อร์จะชวนเขามาคนเดียว เขาเลยจะใช้โอกาสนี้เพื่อที่จะได้ใกล้ชิดกับเธอมากขึ้น
แต่ผิดคาด เขารู้สึกผิดหวังที่ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด ประโยคนี้ทำให้รู้ว่าเขานั้นรู้สึกไม่พอใจ
"ทุกคนเป็นเพื่อนของฉันเอง ฉันชวนเพื่อนๆ ของฉันมาที่นี่ก็เพื่อฉลองที่นายได้ช่วยฉันไว้" ฉินจิ่วเอ๋อร์รีบแก้ตัวหลังจากเห็นสีหน้าที่ไม่พอใจของหวังเหลย
แม้ว่าทุกคนที่ได้ยินจะรู้สึกอึดอัด แต่พวกเขาก็ไม่ได้พูดอะไร
ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่เธอพูดมันก็เป็นเรื่องจริง หวังเหลยได้ช่วยฉินจิ่วเอ๋อร์ไว้ ก็ไม่แปลกที่เธอจะพูดให้หวังเหลยดูเป็นคนสำคัญในวันนี้
เมื่อหวังเหลยได้ยินเช่นนั้น เขาก็รู้สึกชื่นใจขึ้นมาเล็กน้อย
"แต่ถึงอย่างนั้นโต๊ะก็เต็มแล้วนี่ ฉันจะไปนั่งตรงไหนล่ะ?" หวังเหลยกล่าว
วันนี้ฉินจิ่วเอ๋อร์ได้ชวนเพื่อนในหอพักของเธอมาก็เกือบเต็มโต๊ะแล้ว ไหนจะเฉินเฟิงและเพื่อนของเขาอีก
เดิมโต๊ะนี้มีไว้สำหรับ 9 คนเท่านั้น แต่ในตอนนี้ที่นั่งอยู่มีถึง 11 คน โต๊ะตอนนี้มันแออัดเกินไปแล้ว
ถ้าหากมีหวังเหลยเพิ่มมาอีกก็จะเป็น 12 คน
เป็นไปไม่ได้เลยที่คน 12 คนจะนั่งโต๊ะที่มีไว้สำหรับ 9 คนเท่านั้น
"ตรงนี้ไง ว่างหนึ่งที่" ฉินจิ่วเอ๋อร์ชี้ไปที่ลู่หยวนและพูดอย่างไร้ยางอาย "นี่ลู่หยวน นายควรจะลุกให้หวังเหลยนั่งนะ"
ฉินจิ่วเอ๋อร์พูดพร้อมกับชี้ไปที่โต๊ะเล็กๆ ที่อยู่ถัดไปไม่ไกล "นายไปนั่งตรงนั้นก็แล้วกัน ไม่ต้องห่วงเรื่องอาหาร เดี๋ยวฉันจะให้บริกรไปเสิร์ฟอาหารให้นายเอง"
หลังจากสิ้นประโยคนี้ ทั้งโต๊ะก็กลายเป็นเงียบ
จางฮุย ซงชุนและเฉินเฟิงรู้สึกโกรธอย่างมากที่ฉินจิ่วเอ๋อร์ทำแบบนี้
"ไม่เป็นไร พวกนายกินกันไปเถอะ ฉันเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีธุระต้องไปทำก่อน"
ลู่หยวนไม่ได้บอกความจริงกับฉินจิ่วเอ๋อร์ว่าที่จริงแล้วเขาเองที่เป็นคนช่วยครอบครัวของเธอไว้ และเขาก็ไม่ได้ต้องการที่จะบอกเธอตั้งแต่แรก
มันไม่สำคัญว่าเธอจะคิดว่าใครเป็นคนช่วยเธอ เพราะสุดท้ายแล้ว เขาก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องเกี่ยวข้องกับเธออีก
ลู่หยวนลุกขึ้นเดินออกจากโต๊ะไป
“พี่ลู่!” ซงชุนรีบลุกตามลู่หยวนออกไป โดยมีจางฮุยและเฉินเฟิงตามออกไปด้วย
"พี่ลู่ ถ้าพี่ไม่กินผมก็ไม่กินเหมือนกัน!" ซงชุนไม่พอใจ "ให้ตายเถอะ ฉินจิ่วเอ๋อร์เธอดูถูกพี่มากเกินไปแล้ว!"
"พวกเราเปลี่ยนไปกินที่โรงอาหารกันเถอะ" จางฮุยพูดขึ้น
เฉินเฟิงตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ตอนนี้เหอหมินยังอยู่ข้างในร้านอาหาร ถ้าเขาจากไปกับลู่หยวนตอนนี้ มันคงจะไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไหร่
"พวกนายควรกลับเข้าไปข้างในนะ" แน่นอนว่าลู่หยวนจะไม่ปล่อยให้พวกเขาทำแบบนี้ เขาพยายามเกลี้ยกล่อมทั้ง 3 คน จนสุดท้ายก็ยอมกลับเข้าไปโดยดี
ลู่หยวนไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนต่อ เขาเดินไปบนทางม้าลายอย่างไร้จุดหมาย
จู่ๆ เขาก็รู้สึกเหงาขึ้นมาและอดไม่ได้ที่จะนึกถึงหลี่เมิ่งเหยาอีกครั้ง
เขาเคยทานอาหารเย็นกับหลี่เมิ่งเหยาในเวลานี้ จากนั้นก็ไปเดินเล่นกับหลี่เมิ่งเหยา ตอนนั้นไม่ว่าหลี่เมิ่งเหยาจะไปที่ไหน เขาก็จะไปกับเธอด้วยทุกที่
ไม่ว่าหลี่เมิ่งเหยาอยากกินอะไร เขาก็จะพาเธอไปซื้อ
เวลาที่หลี่เมิ่งเหยาไปร้านทำผม เขาก็จะอ่านหนังสือรอจนกว่าเธอจะทำผมเสร็จ
แม้แต่ตอนที่หลี่เมิ่งเหยาขี้เกียจเดิน เขาก็จะให้เธอขึ้นขี่หลัง
ทุกเหตุการณ์ในชีวิตของลู่หยวนล้วนมีหลี่เมิ่งเหยา
แต่ตอนนี้ไม่มีหลี่เมิ่งเหยาอีกต่อไปแล้ว มันจึงทำให้เขารู้สึกหลงทาง
ระหว่างที่ลู่หยวนกำลังคิดถึงเรื่องนี้อยู่ก็มีสายเรียกเข้าจากเหล่าเซี้ยง
"นายน้อยครับ เจียงชุนหนานทราบว่าท่านอยู่ที่เมืองจินหลิง เขาจึงต้องการที่จะขอพบท่าน นายน้อยจะให้ผมตอบกลับไปว่าอย่างไรครับ?" เหล่าเซี้ยงถาม
"ตกลง ฉันจะไปพบเขา"
เจียงชุนหนานทำงานให้กับตระกูลของเขามานาน เป็นเรื่องดีถ้าหากเขาได้ไปพบเจอด้วยตัวเอง นี่ถือได้ว่าเป็นการแสดงความจริงใจต่อเครือข่ายของบริษัท
"ครับนายน้อย ผมจะบอกให้เขาไปพบท่านที่มหาลัย"
"ไม่ต้อง! ห้ามให้เขามาที่นี่ ฉันจะไปหาเขาเอง" ลู่หยวนพูดอย่างรีบร้อน
เจียงชุนหนานเป็นถึงผู้อำนวยการสถาบันในเขตจินหลิง เขาเป็นคนที่มีอำนาจและร่ำรวยมาก การพบเจอในคร้้งนี้เขาจะต้องใช้รถหรูขับมาที่มหาลัยอย่างแน่นอน
ตอนนี้ลู่หยวนยังไม่ต้องการที่จะเปิดเผยตัวตนของเขาให้คนอื่นรู้
ดังนั้นเขาจึงจะไปพบเจียงหนานด้วยตัวเอง
"อา.. นายน้อย เรื่องนี้ผมควรจะพูดกับท่านอย่างตรงไหนตรงมา หากว่าท่านเป็นคนไปพบเขาเอง มันจะทำให้เขาเกร็งเปล่าๆ นะครับ" เหล่าเซี้ยงกล่าว
"อย่าคิดมากเลย บอกเขาว่าฉันจะไปหาเขาเอง" ลู่หยวนยืนกราน
"ครับนายน้อย ผมจะติดต่อกลับหาเจียงชุนหนานเพื่อแจ้งเรื่องนี้"
จากนั้นเหล่าเซี้ยงก็วางสายไปและโทรกลับมาอีกครั้ง "นายน้อยครับ เจียงชุนหนานได้จองห้องไว้แล้วที่ชั้นบนสุดของปี่ลี่โฮเทลครับ"
"โอเค เดี๋ยวฉันไป"
ลู่หยวนดูมีความสุขมาก เขาเพิ่งถูกฉินจิ่วเอ๋อร์ไล่ออกมาและกำลังกังวลอยู่ว่าจะไปทานอาหารที่ไหนดี ตอนนี้มีคนเสนอมาให้เขาถึงที่ขนาดนี้ เขาจะไม่ไปได้อย่างไร
ปี่ลี่โฮเทลเป็นหนึ่งในโรงแรมที่ได้ที่สุดของเมืองจินหลิง
ที่ชั้นบนสุดของโรงแรมปี่ลี่เป็นห้องอาหารที่ดีที่สุดของโรงแรม ว่ากันว่าวัตถุดิบที่ใช้นั้นเป็นวัตถุดิบที่นำเข้าจากต่างประเทศทั้งหมด ราคาอาหารเพียงหนึ่งจานของที่นี่สำหรับคนทั่วไปแล้วสามารถที่จะกินได้เป็นเวลาหนึ่งเดือน
ลู่หยวนโบกแท็กซี่ที่หน้ามหาลัย "ไปโรงแรมปี่ลี่ครับ"
"พ่อหนุ่มทำงานที่โรงแรมนั้นเหรอ ไม่เลวนี่" คนขับชวนคุยระหว่างขับรถ
ลู่หยวนไม่ได้ตอบอะไร เขาเพียงยิ้มให้คนขับแท็กซี่เท่านั้น
หลังจากเข้าไปในโรงแรมปี่ลี่ ลู่หยวนก็อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา
"โอ้โห หรูมาก"
ห้องโถงที่นี่มีขนาดใหญ่มาก มีบันไดวนที่ประดับด้วยคริสตัลอยู่ตรงกลางทำให้ผู้คนรู้สึกได้ถึงความหรูหรา
พนักงานของที่นี่สวยมาก ขาเรียวยาวที่สวมด้วยถุงน่องเพิ่มความน่ามอง
"หลีกไป!"
ขณะที่ลู่หยวนกำลังชื่นชมความหรูหราของโรงแรมอยู่นั้น
จู่ๆ ก็มีแรงกระแทกมาจากข้างหลังตามมาด้วยกลิ่นอันหอมหวลพัดโชยมา
สาวสวยคนหนึ่งที่มีรูปร่างที่ยอดเยี่ยมเดินเบียดแซงจากด้านหลังลู่หยวนรีบแซงเข้าไปในลิฟต์