ตอนที่แล้วตอนที่ 9 ปาร์ตี้ที่ร้านอาหาร
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 11 มาสาย

ตอนที่ 10 หลีกไป


ตอนที่ 10 หลีกไป

"ห๊ะ! ผู้อำนวยการสำนักงานจัดเก็บภาษีเลยเหรอ?" ฉินจิ่วเอ๋อร์อุทาน "นี่พ่อรู้จักกับผอ.หวงด้วยเหรอ?"

"ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก" ฉินเฟินกล่าว "พ่อได้ลองติดต่อหาผอ.หวงเพื่อสอบถามว่าใครเป็นคนที่ช่วยแก้ไขเรื่องนี้ แต่ก็ไม่มีการตอบรับใดๆ กลับมาเลย"

"จิ่วเอ๋อร์ ลูกบอกว่าลูกจะขอให้เพื่อนช่วยไม่ใช่เหรอ เพื่อนของลูกได้ช่วยไหม?" ฉินเฟินกล่าว

ฉินจิ่วเอ๋อร์คิดในใจ

อาจจะเป็นไปได้ เพราะทางพ่อไม่มีใครรู้จักกับผอ.หวง หรือว่า อาจจะเป็นเพื่อนของฉันที่เป็นคนช่วยแก้ไขเรื่องนี้

หลังจากวางสาย ฉินจิ่วเอ๋อร์ก็เล่าเรื่องทั้งหมดที่คุยกับพ่อให้ทุกคนฟัง

สิ่งที่เธอพูดได้กระตุ้นความอยากรู้ของทุกคนมากขึ้น

"ไม่น่าเชื่อว่าพ่อของเธอจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครที่เป็นคนจัดการเรื่องนี้"

"ถ้าฉันเป็นเธอ ฉันจะพยายามถึงที่สุดเพื่อค้นหาว่าเขาคือใครและตอบแทนน้ำใจที่ยิ่งใหญ่ครั้งนี้"

"เรื่องนี้ไม่ยากเลยจิ่วเอ๋อร์ เธอแค่นึกว่าเธอบอกเรื่องนี้กับใครไปบ้าง บางทีเธออาจจะได้รู้ก็ได้ว่าใครเป็นคนช่วยเธอ" เพื่อนๆ ของฉินจิ่วเอ๋อร์ต่างพากันออกความคิดเห็น

“นั่นสิ! ทำไมฉันถึงคิดเรื่องนี้ไม่ได้นะ” ฉินจิ่วเอ๋อร์กล่าว

"อย่างไรก็ตาม พวกเธอทุกคนที่อยู่ที่นี่ล้วนรู้เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด เฉินเฟิงใช่นายหรือเปล่าที่ช่วยครอบครัวฉัน?"

เฉินเฟิงรีบปฏิเสธ "ฉันโทรหาพ่อแม่ของฉันก็จริง แต่พอพวกท่านได้ยินว่าเป็นบริษัทเชิ่งถัง พวกท่านก็บอกว่าไม่สามารถช่วยอะไรได้"

"หมินหมิน นานา หมานหมาน หรือว่าจะเป็นพวกเธอ?" ฉินจิ่วเอ๋อร์ถามอีกครั้ง

ทั้งสามส่ายหัว

ฉินจิ่วเอ๋อร์เริ่มถามทุกคนที่นั่งอยู่ทีละคน

"คงจะไม่ใช่พวกนายหรอกใช่ไหม?" ฉินจิ่วเอ๋อร์ก็มองไปที่จางฮุยและซงซุน

แม้ว่าเธอจะเอ่ยถาม แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเธอนั้นถามเป็นมารยาทเท่านั้น

ทั้งจางฮุยและซงชุนรีบโบกมือ แม้ว่าทั้งคู่จะขอร้องให้คนที่รู้จักช่วยแต่อีกฝ่ายก็ทำอะไรไม่ได้เช่นกัน

แต่สำหรับลู่หยวนฉินจิ่วเอ๋อร์ไม่ได้ถามเลย

ลู่หยวนเป็นคนเดียวที่นั่งอยู่ที่นี่แต่เธอไม่ได้ถาม

เห็นได้ชัดว่าเธอตั้งใจที่จะไม่ถาม เพื่อทำให้ลู่หยวนนั้นรู้สึกอับอาย

เฉินเฟิงและคนอื่นๆ ก็รู้ว่าฉินจิ่วเอ๋อร์จงใจทำแบบนี้

ถึงแม้ว่าเขาจะรู้สึกไม่พอใจ แต่เพื่อที่จะไม่ให้เกิดปัญหา พวกเขาจึงไม่ได้พูดอะไรออกมา

"ถ้าไม่ใช่พวกเธอ งั้น..." ฉินจิ่วเอ๋อร์ขมวดคิ้วและคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ "อาจจะเป็น..."

ในขณะที่ฉินจิ่วเอ๋อร์กำลังพูดอยู่นั้น ก็ได้มีสายโทรเข้ามายังมือถือของเธอ

"หวังเหลย!" ฉินจิ่วเอ๋อร์พูดกับปลายสาย

"จิ่วเอ๋อร์ ฉันได้บอกพ่อถึงปัญหาของครอบครัวเธอแล้วนะ พ่อบอกว่าเขาพอจะรู้จักผู้อำนวยการสำนักงานจัดเก็บภาษี เขาไปที่สำนักงานภาษีเมื่อเช้านี้เพื่อที่จะไปหาผอ.หวง ฉันไม่รู้ว่ามันจะมีประโยชน์ไหมแค่อยากโทรมาบอกเธอไว้...."

ก่อนที่หวังเหลยจะพูดจบ ฉินจิ่วเอ๋อร์ก็พูดแทรกขึ้น "หวังเหลยฉันรู้ว่านี่เป็นความช่วยเหลือของนาย มันมีประโยชน์กับฉันมาก บริษัทของพ่อฉันกลับมาเป็นปกติแล้ว ลุงหวังจัดการเรื่องนี้ได้ ขอบคุณนายมากเลยนะ"

ฉินจิ่วเอ๋อร์พูดพร้อมกับน้ำตาคลอเบ้า

สิ่งที่เชิ่งถังกรุ๊ปทำในตอนนั้นมันทำให้ตระกูลของเธอนั้นจนตรอกอย่างไม่มีทางรอด หากไม่ได้รับการช่วยเหลือจากหวังเหลยในครั้งนี้ ครอบครัวของเธออาจจะต้องนอนบนถนนก็เป็นได้

นี่กล่าวได้ว่าเป็นพระคุณครั้งยิ่งใหญ่เลยก็ว่าได้

"อ่า ไม่เป็นไรๆ เรื่องเล็กน้อยน่า" หวังเหลยตกใจ เขาไม่คิดเลยว่าพ่อของเขานั้นจะมีอำนาจมากมายเช่นนี้่

"หวังเหลย ตอนนี้นายมาที่ร้านอาหารไป่เชิ่งหยวนสิ ฉันอยากจะเลี้ยงขอบคุณนายน่ะ" ฉินจิ่วเอ๋อร์กล่าว

"ฮ่าฮ่า โอเคๆ ฉันจะรีบไป"

หวังเลยเป็นเพื่อนที่อยู่คนละมหาลัยกับฉันจิ่วเอ๋อร์ เขาแอบชอบฉินจิ่วเอ๋อร์มาตั้งนานแล้วและคอยติดตามเธออยู่ตลอด

ตอนนี้เขาได้ช่วยฉินจิ่วเอ๋อร์ไว้แถมเธอยังเอ่ยปากชวนเขาไปกินข้าวอีก เขาจะพลาดโอกาศนี้ไปได้อย่างไร!

ไม่นานหวังเหลยก็มาถึง

หวังเหลยมีรูปร่างอ้วนท้วมไม่สูงมาก เขาสวมใส่เสื้อผ้าแบรนด์ดังทั้งตัวเสื้อ Adidas รองเท้าแบรนด์ Balenciaga และนาฬิกา Rolex

“หวังเหลย ทางนี้ๆ!”

ตั้งแต่ที่วางสายไป ฉินจิ่วเอ๋อร์ก็มองไปที่ประตูทางเข้าอยู่ตลอดเวลา

เมื่อเห็นหวังเหลย เธอจึงรีบลุกขึ้นยืนและตะโกนเรียกทันที

"อ่าว อยู่กันหลายคนเหรอ?"

เดิมทีหวังเหลยคิดว่าฉินจิ่วเอ๋อร์จะชวนเขามาคนเดียว เขาเลยจะใช้โอกาสนี้เพื่อที่จะได้ใกล้ชิดกับเธอมากขึ้น

แต่ผิดคาด เขารู้สึกผิดหวังที่ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด ประโยคนี้ทำให้รู้ว่าเขานั้นรู้สึกไม่พอใจ

"ทุกคนเป็นเพื่อนของฉันเอง ฉันชวนเพื่อนๆ ของฉันมาที่นี่ก็เพื่อฉลองที่นายได้ช่วยฉันไว้" ฉินจิ่วเอ๋อร์รีบแก้ตัวหลังจากเห็นสีหน้าที่ไม่พอใจของหวังเหลย

แม้ว่าทุกคนที่ได้ยินจะรู้สึกอึดอัด แต่พวกเขาก็ไม่ได้พูดอะไร

ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่เธอพูดมันก็เป็นเรื่องจริง หวังเหลยได้ช่วยฉินจิ่วเอ๋อร์ไว้ ก็ไม่แปลกที่เธอจะพูดให้หวังเหลยดูเป็นคนสำคัญในวันนี้

เมื่อหวังเหลยได้ยินเช่นนั้น เขาก็รู้สึกชื่นใจขึ้นมาเล็กน้อย

"แต่ถึงอย่างนั้นโต๊ะก็เต็มแล้วนี่ ฉันจะไปนั่งตรงไหนล่ะ?" หวังเหลยกล่าว

วันนี้ฉินจิ่วเอ๋อร์ได้ชวนเพื่อนในหอพักของเธอมาก็เกือบเต็มโต๊ะแล้ว ไหนจะเฉินเฟิงและเพื่อนของเขาอีก

เดิมโต๊ะนี้มีไว้สำหรับ 9 คนเท่านั้น แต่ในตอนนี้ที่นั่งอยู่มีถึง 11 คน โต๊ะตอนนี้มันแออัดเกินไปแล้ว

ถ้าหากมีหวังเหลยเพิ่มมาอีกก็จะเป็น 12 คน

เป็นไปไม่ได้เลยที่คน 12 คนจะนั่งโต๊ะที่มีไว้สำหรับ 9 คนเท่านั้น

"ตรงนี้ไง ว่างหนึ่งที่" ฉินจิ่วเอ๋อร์ชี้ไปที่ลู่หยวนและพูดอย่างไร้ยางอาย "นี่ลู่หยวน นายควรจะลุกให้หวังเหลยนั่งนะ"

ฉินจิ่วเอ๋อร์พูดพร้อมกับชี้ไปที่โต๊ะเล็กๆ ที่อยู่ถัดไปไม่ไกล "นายไปนั่งตรงนั้นก็แล้วกัน ไม่ต้องห่วงเรื่องอาหาร เดี๋ยวฉันจะให้บริกรไปเสิร์ฟอาหารให้นายเอง"

หลังจากสิ้นประโยคนี้ ทั้งโต๊ะก็กลายเป็นเงียบ

จางฮุย ซงชุนและเฉินเฟิงรู้สึกโกรธอย่างมากที่ฉินจิ่วเอ๋อร์ทำแบบนี้

"ไม่เป็นไร พวกนายกินกันไปเถอะ ฉันเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีธุระต้องไปทำก่อน"

ลู่หยวนไม่ได้บอกความจริงกับฉินจิ่วเอ๋อร์ว่าที่จริงแล้วเขาเองที่เป็นคนช่วยครอบครัวของเธอไว้ และเขาก็ไม่ได้ต้องการที่จะบอกเธอตั้งแต่แรก

มันไม่สำคัญว่าเธอจะคิดว่าใครเป็นคนช่วยเธอ เพราะสุดท้ายแล้ว เขาก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องเกี่ยวข้องกับเธออีก

ลู่หยวนลุกขึ้นเดินออกจากโต๊ะไป

“พี่ลู่!” ซงชุนรีบลุกตามลู่หยวนออกไป โดยมีจางฮุยและเฉินเฟิงตามออกไปด้วย

"พี่ลู่ ถ้าพี่ไม่กินผมก็ไม่กินเหมือนกัน!" ซงชุนไม่พอใจ "ให้ตายเถอะ ฉินจิ่วเอ๋อร์เธอดูถูกพี่มากเกินไปแล้ว!"

"พวกเราเปลี่ยนไปกินที่โรงอาหารกันเถอะ" จางฮุยพูดขึ้น

เฉินเฟิงตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ตอนนี้เหอหมินยังอยู่ข้างในร้านอาหาร ถ้าเขาจากไปกับลู่หยวนตอนนี้ มันคงจะไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไหร่

"พวกนายควรกลับเข้าไปข้างในนะ" แน่นอนว่าลู่หยวนจะไม่ปล่อยให้พวกเขาทำแบบนี้ เขาพยายามเกลี้ยกล่อมทั้ง 3 คน จนสุดท้ายก็ยอมกลับเข้าไปโดยดี

ลู่หยวนไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนต่อ เขาเดินไปบนทางม้าลายอย่างไร้จุดหมาย

จู่ๆ เขาก็รู้สึกเหงาขึ้นมาและอดไม่ได้ที่จะนึกถึงหลี่เมิ่งเหยาอีกครั้ง

เขาเคยทานอาหารเย็นกับหลี่เมิ่งเหยาในเวลานี้ จากนั้นก็ไปเดินเล่นกับหลี่เมิ่งเหยา ตอนนั้นไม่ว่าหลี่เมิ่งเหยาจะไปที่ไหน เขาก็จะไปกับเธอด้วยทุกที่

ไม่ว่าหลี่เมิ่งเหยาอยากกินอะไร เขาก็จะพาเธอไปซื้อ

เวลาที่หลี่เมิ่งเหยาไปร้านทำผม เขาก็จะอ่านหนังสือรอจนกว่าเธอจะทำผมเสร็จ

แม้แต่ตอนที่หลี่เมิ่งเหยาขี้เกียจเดิน เขาก็จะให้เธอขึ้นขี่หลัง

ทุกเหตุการณ์ในชีวิตของลู่หยวนล้วนมีหลี่เมิ่งเหยา

แต่ตอนนี้ไม่มีหลี่เมิ่งเหยาอีกต่อไปแล้ว มันจึงทำให้เขารู้สึกหลงทาง

ระหว่างที่ลู่หยวนกำลังคิดถึงเรื่องนี้อยู่ก็มีสายเรียกเข้าจากเหล่าเซี้ยง

"นายน้อยครับ เจียงชุนหนานทราบว่าท่านอยู่ที่เมืองจินหลิง เขาจึงต้องการที่จะขอพบท่าน นายน้อยจะให้ผมตอบกลับไปว่าอย่างไรครับ?" เหล่าเซี้ยงถาม

"ตกลง ฉันจะไปพบเขา"

เจียงชุนหนานทำงานให้กับตระกูลของเขามานาน เป็นเรื่องดีถ้าหากเขาได้ไปพบเจอด้วยตัวเอง นี่ถือได้ว่าเป็นการแสดงความจริงใจต่อเครือข่ายของบริษัท

"ครับนายน้อย ผมจะบอกให้เขาไปพบท่านที่มหาลัย"

"ไม่ต้อง! ห้ามให้เขามาที่นี่ ฉันจะไปหาเขาเอง" ลู่หยวนพูดอย่างรีบร้อน

เจียงชุนหนานเป็นถึงผู้อำนวยการสถาบันในเขตจินหลิง เขาเป็นคนที่มีอำนาจและร่ำรวยมาก การพบเจอในคร้้งนี้เขาจะต้องใช้รถหรูขับมาที่มหาลัยอย่างแน่นอน

ตอนนี้ลู่หยวนยังไม่ต้องการที่จะเปิดเผยตัวตนของเขาให้คนอื่นรู้

ดังนั้นเขาจึงจะไปพบเจียงหนานด้วยตัวเอง

"อา.. นายน้อย เรื่องนี้ผมควรจะพูดกับท่านอย่างตรงไหนตรงมา หากว่าท่านเป็นคนไปพบเขาเอง มันจะทำให้เขาเกร็งเปล่าๆ นะครับ" เหล่าเซี้ยงกล่าว

"อย่าคิดมากเลย บอกเขาว่าฉันจะไปหาเขาเอง" ลู่หยวนยืนกราน

"ครับนายน้อย ผมจะติดต่อกลับหาเจียงชุนหนานเพื่อแจ้งเรื่องนี้"

จากนั้นเหล่าเซี้ยงก็วางสายไปและโทรกลับมาอีกครั้ง "นายน้อยครับ เจียงชุนหนานได้จองห้องไว้แล้วที่ชั้นบนสุดของปี่ลี่โฮเทลครับ"

"โอเค เดี๋ยวฉันไป"

ลู่หยวนดูมีความสุขมาก เขาเพิ่งถูกฉินจิ่วเอ๋อร์ไล่ออกมาและกำลังกังวลอยู่ว่าจะไปทานอาหารที่ไหนดี ตอนนี้มีคนเสนอมาให้เขาถึงที่ขนาดนี้ เขาจะไม่ไปได้อย่างไร

ปี่ลี่โฮเทลเป็นหนึ่งในโรงแรมที่ได้ที่สุดของเมืองจินหลิง

ที่ชั้นบนสุดของโรงแรมปี่ลี่เป็นห้องอาหารที่ดีที่สุดของโรงแรม ว่ากันว่าวัตถุดิบที่ใช้นั้นเป็นวัตถุดิบที่นำเข้าจากต่างประเทศทั้งหมด ราคาอาหารเพียงหนึ่งจานของที่นี่สำหรับคนทั่วไปแล้วสามารถที่จะกินได้เป็นเวลาหนึ่งเดือน

ลู่หยวนโบกแท็กซี่ที่หน้ามหาลัย "ไปโรงแรมปี่ลี่ครับ"

"พ่อหนุ่มทำงานที่โรงแรมนั้นเหรอ ไม่เลวนี่" คนขับชวนคุยระหว่างขับรถ

ลู่หยวนไม่ได้ตอบอะไร เขาเพียงยิ้มให้คนขับแท็กซี่เท่านั้น

หลังจากเข้าไปในโรงแรมปี่ลี่ ลู่หยวนก็อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา

"โอ้โห หรูมาก"

ห้องโถงที่นี่มีขนาดใหญ่มาก มีบันไดวนที่ประดับด้วยคริสตัลอยู่ตรงกลางทำให้ผู้คนรู้สึกได้ถึงความหรูหรา

พนักงานของที่นี่สวยมาก ขาเรียวยาวที่สวมด้วยถุงน่องเพิ่มความน่ามอง

"หลีกไป!"

ขณะที่ลู่หยวนกำลังชื่นชมความหรูหราของโรงแรมอยู่นั้น

จู่ๆ ก็มีแรงกระแทกมาจากข้างหลังตามมาด้วยกลิ่นอันหอมหวลพัดโชยมา

สาวสวยคนหนึ่งที่มีรูปร่างที่ยอดเยี่ยมเดินเบียดแซงจากด้านหลังลู่หยวนรีบแซงเข้าไปในลิฟต์

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด