ตอนที่ 1 กลับสู่ความร่ำรวย
ตอนที่ 1 กลับสู่ความร่ำรวย
ภายในมหาวิทยาลัยเต๋อเข่อฉี่
ด้านในศูนย์อาหารของมหาวิทยาลัย สาวสวยผมยาวคนหนึ่งกำลังนั่งกินเฟรนช์ฟรายส์พร้อมกับใช้นิ้วปัดโทรศัพท์ขณะที่นั่งไขว่ห้าง
ด้านหน้าของสาวสวยมีเบอร์เกอร์ ปีกไก่และน้ำส้มวางอยู่
ที่โต๊ะข้างๆ เธอมีนักเรียนชายคนหนึ่งกำลังอ่านหนังสืออย่างตั้งใจ คิ้วของเขาผูกกันเป็นปม มือของเขาจับคางราวกับว่ากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่
นี่เป็นฉากที่เห็นได้ทั่วไปในมหาวิทยาลัยที่มีนักเรียนตั้งใจเรียนอย่างหนัก
หลังจากที่สาวสวยนั่งทานอาหารไปได้ไม่นาน จู่ๆ เธอก็ทำหน้ามุ่ยและมองดูอาหารตรงหน้า จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินออกไป
ทันทีที่สาวสวยคนนั้นลุกขึ้นออกไป เด็กนักเรียนชายที่ตอนแรกนั่งจ้องหนังสืออยู่ที่โต๊ะข้างๆ สายตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นเพ่งเล็งไปที่อาหารที่ยังเหลืออยู่บนโต๊ะของเธอ
เขามองไปรอบๆ อย่างถี่ถ้วนและเมื่อเห็นว่าไม่มีใครสังเกต เขาจึงรีบเดินไปนั่งแทนที่หญิงสาวคนนั้น
การเคลื่อนไหวของเขานั้นคล่องแคล่วราวกับว่าเขาวางแผนมาแล้ว
“ผู้หญิงคนนี้นี่กินทิ้งกินขว้างจริงๆ การกินอาหารไม่หมดนั้นมันเป็นบาป ผมจะเป็นคนช่วยให้คุณพ้นจากบาปครั้งนี้เองก็แล้วกัน” นักเรียนชายพูดกับตัวเองพร้อมกับยัดอาหารที่เหลือของหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าเขาเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย
ถึงแม้ว่าหญิงสาวคนนั้นจะกินน้ำส้มแก้วนี้ไปแล้ว แต่เห็นได้ชัดว่าเด็กนักเรียนชายคนนี้ไม่ได้รังเกียจเลยแม้แต่น้อยที่ดื่มมันต่อ
หลังจากกินไปได้ไม่นาน เด็กนักเรียนชายก็รู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมา
หญิงสาวที่เดินจากไปแล้วในตอนแรก กลับกำลังยืนมองหน้าเขาอยู่ด้วยใบหน้าที่ตกใจ
“นี่… ฉันไปเข้าห้องน้ำมาแป๊บเดียว… แต่นายกลับมาขโมยอาหารของฉันเนี่ยนะ!” หญิงสาวแทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง
ในมหาวิทยาลัยแห่งนี้มีนักเรียนที่กล้ามาขโมยอาหารของคนอื่นอยู่จริงๆ เหรอ
มีคนยากจนถึงขนาดที่ต้องขโมยของคนอื่นกินด้วยเหรอ?
เมื่อนักเรียนที่อยู่รอบๆ ได้ยินเช่นนั้น พวกเขาก็จ้องมองมาที่นักเรียนชายด้วยสายตารังเกียจ
"เอ่อคือ ผม.. ผมขอโทษ ผมคิดว่าคุณไม่กินแล้ว"
เมื่อพูดจบนักเรียนชายก็รีบลุกขึ้นและเดินจากไปภายใต้สายตาของทุกคน
“พลาดไปจนได้ ดูเหมือนว่าคราวหน้าฉันต้องเช็คให้ดีกว่านี้ก่อนค่อยลงมือ” นักเรียนชายบ่นพึมพำกับตัวเอง จากนั้นก็เดินออกจากมหาวิทยาลัยไป
“เฮ้อ.. ฉันมาอยู่ในจุดที่ต้องขโมยอาหารคนอื่นกินแล้วหรือเนี่ย ถ้าฉันมีเงินซื้อฉันก็ไม่อยากทำแบบนี้หรอก ใครมันจะไปอยากทำเรื่องน่าละอายแบบนี้กัน”
ลู่หยวนถอนหายใจพร้อมกับลูบท้องและเดินตรงไปที่หอพัก
ทันทีที่ลู่หยวนเดินเข้าไปในหอพักก็มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งเดินตรงเข้ามาหา เขาคนนี้มีชื่อว่าจางฮุย เป็นเพื่อนสนิทที่พักอยู่ห้องเดียวกับลู่หยวน
“ลู่หยวน หลี่เมิ่งเหยาฝากให้ฉันเอานี่มาให้นาย”
จางฮุยพูดพร้อมกับควักโทรศัพท์ OPPO-R17 ออกมาจากกระเป๋ากางเกง
เมื่อเห็นโทรศัพท์เครื่องนี้ลู่หยวนก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาในใจอย่างช่วยไม่ได้
หลี่เมิ่งเหยาที่จางฮุยพูดถึงคืออดีตแฟนสาวของลู่หยวนที่เพิ่งทิ้งเขาไปเมื่อสามวันก่อน
โทรศัพท์เครื่องนี้ราคาประมาณ 4,000 หยวน ซึ่งมันคือเงินเดือนทั้งหมดที่ลู่หยวนตั้งใจเก็บตอนทำงานพาร์ทไทม์เพื่อซื้อให้หลี่เมิ่งเหยาเป็นของขวัญวันเกิดสำหรับเธอ
เขายังจดจำใบหน้าที่มีความสุขและสดใสในตอนที่เธอได้รับโทรศัพท์เครื่องนี้ได้อยู่เลย
แต่เห็นได้ชัดว่าโทรศัพท์เครื่องนี้มันไม่มีค่าสำหรับเธออีกต่อไปแล้ว เธอจึงส่งมันกลับมาให้เขา
เมื่อลู่หยวนปลดล็อคโทรศัพท์ก็มีข้อความแจ้งเตือนเด้งขึ้นมาว่า
‘ขอบใจนายนะลู่หยวนที่อุตส่าห์ซื้อโทรศัพท์ราคาถูกเครื่องนี้ให้ฉัน แต่ฉันไม่ต้องการมันอีกแล้ว เพราะตอนนี้แฟนใหม่ของฉันซื้อ Apple X ให้กับฉันและเขาก็รักฉันมาก นายไม่มีอะไรดีเทียบกับเขาได้เลย’
สุดท้าย… มันก็เป็นเพราะเรื่องเงินอีกแล้วสินะ
ฉันไม่มีเงิน เธอถึงได้ทิ้งฉันไปแบบนี้
“ลืมเธอซะเถอะลู่หยวน”
จางฮุยพูดพร้อมกับตบไหล่ลู่หยวน “ฉันเคยบอกนายไปแล้วว่าคนอย่างหลี่เมิ่งเหยาไม่จริงใจกับนายหรอก เธอทั้งสวย หน้าตาดี ผิวขาวแถมยังหน้าอกใหญ่และยังเจ้าชู้มากอีกด้วย เธอชอบแต่งตัวตุ้งติ้งหว่านเสน่ห์ผู้ชายไปทั่ว อย่างเธอคงเหมาะสมที่จะเป็นผู้หญิงอุ่นเตียงสำหรับคนรวยรุ่นที่สองเท่านั้นแหละ คนธรรมดาๆ อย่างเราจะเอาอะไรไปสู้กับพวกผู้ชายที่มาตามจีบเธอได้ ขืนยังไม่เลิกไปยุ่งกับเธอนายเองนั่นแหละที่จะเป็นทุกข์”
“แต่ก็ช่างมันเถอะ อย่างน้อยนายก็เคยได้นอนกับเธอแล้ว นี่ก็เท่ากับว่านายไม่ได้สูญเสียอะไร”
“ฉันยัง… ไม่เคย”
“ห๊ะ! ให้ตายเถอะ นายคุยกับเธอมาเป็นปีแล้วแต่กลับไม่เคยมีอะไรกับเธอเลยเนี่ยนะ? แล้วที่นายเคยบอกว่าไปเปิดห้องที่โรงแรมกับเธอล่ะ?” จางฮุยตบเข่าอย่างเสียดาย
“เป็นเรื่องจริงที่ฉันไปเปิดโรงแรมกับเธอ แต่ฉันจองห้องที่เป็นเตียงคู่ แล้วคืนนั้นก็ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น” ลู่หยวนกล่าว
“ไม่นะลู่หยวน! นายยอมจ่ายเงินให้เธอตั้งหลายหมื่นหยวนทั้งที่ไม่เคยมีอะไรกับเธอเลยเนี่ยนะ?!”
แต่ถึงจางฮุยจะพูดอย่างนั้น ลู่หยวนก็ไม่ได้นึกเสียดายเลยสักนิด เพราะเขารักและให้เกียรติหลี่เมิ่งเหยามาก ดังนั้นเขาจึงไม่เคยร้องขอที่จะมีอะไรกับเธอเลยสักครั้ง
อย่างน้อยการเลิกกับหลี่เมิ่งเหยาครั้งนี้ก็มีเรื่องดีอย่างหนึ่ง ในที่สุดเขาก็สามารถเปลี่ยน NOKIA เก่าๆ ของเขาออกไปได้สักที
“ติ๊ดๆ” เสียงข้อความดังออกมาจากโทรศัพท์ OPPO
“การทดสอบความอดทนของตระกูลเป็นระยะเวลา 3 ปีได้สิ้นสุดลงแล้ว ตอนนี้นายน้อยเป็นอิสระแล้ว”
ลู่หยวนจ้องไปที่ข้อความบนหน้าจอโทรศัพท์อย่างตื่นเต้น ‘นี่เรื่องจริงใช่ไหม!? ฉันไม่ต้องถูกควบคุมอีกแล้วจริงๆ เหรอ?’
‘ฉันสามารถควบคุมความมั่งคั่งของตัวเองได้แล้วใช่ไหม?’
‘ฉันไม่จำเป็นต้องแสร้งทำเป็นน่าสงสารอีกแล้วใช่ไหม?’
ข้อความก่อนหน้านี้แจ้งเตือนจากโทรศัพท์ของหลี่เมิ่งเหยา แต่ลู่หยวนไม่ได้รู้สึกแปลกใจเลย
ลู่หยวนซื้อโทรศัพท์มือถือให้หลี่เมิ่งเหยาก็จริง แต่เบอร์นี้เป็นเบอร์ของลู่หยวนและเขาก็เป็นคนเติมเงินเข้ามาตลอด
เพื่อให้หลี่เมิ่งเหยาเซอร์ไพรส์ เขาจึงเลือกให้เบอร์ที่ทิ้งไว้ให้ครอบครัวติดต่อกลับมาไว้กับหลี่เมิ่งเหยา
ถ้าหลี่เมิ่งเหยาไม่ทิ้งเขาไปก่อนหรือถ้าเธอยังใช้โทรศัพท์เครื่องนี้อยู่ เธอก็จะได้เห็นข้อความนี้
เมื่อถึงตอนนั้น ลู่หยวนก็จะสารภาพความจริงทั้งหมดว่า ที่จริงแล้วเขานั้นเป็นรุ่นที่สองที่ร่ำรวย
แต่น่าเสียดายที่มันไม่เป็นเช่นนั้น
หลี่เมิ่งเหยาเพิ่งทิ้งเขาไปและส่งคืนโทรศัพท์เครื่องนี้มาแล้ว
เธอเลิกกับเขาเพราะเขานั้นยากจน
เธอคงคิดไม่ถึงแน่ๆ ว่าจริงๆ แล้วเขานั้นเป็นรุ่นที่สองที่โคตรจะร่ำรวย
ตอนนี้การถูกควบคุมสิ้นสุดลงแล้ว เขาสามารถใช้เงินของตระกูลได้อย่างอิสระ
แล้วจะรออะไรอีกล่ะ!
ลู่หยวนเดินออกจากหอพักแล้วตรงไปที่อาคารสไตล์ยุโรปอันงดงามที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง
มีคนเข้าออกที่นี่อยู่ตลอดเวลา และทั้งหมดก็เป็นคนที่ประสบความสำเร็จในชุดสูทราคาแพงทั้งนั้น
เมื่อเทียบกับคนเหล่านั้น เสื้อผ้าของลู่หยวนดูมอมแมมไปเลย
แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น เขากลับไม่มีความกังวลอยู่บนใบหน้าเลยแม้แต่น้อย ลู่หยวนเดินตรงเข้าไปในอาคารอย่างมั่นใจ
ด้านหน้าอาคารมีคำ 4 คำติดอยู่ “ธนาคารฮั่วหรุ่ย”
“สวัสดีค่ะ ธนาคารฮั่วหรุ่ยยินดีต้อนรับ คุณต้องการจะทำธุรกรรมด้านใดคะ?”
ในห้องโถงมีพนักงานสาวในชุดยูนิฟอร์มของธนาคารกล่าวทักทายลู่หยวนด้วยรอยยิ้ม
แม้ว่าใบหน้าของเธอจะถูกเติมเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่ก็ไม่อาจปกปิดสายตาที่ดูถูกของเธอเอาไว้ได้
ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเธอแต่งตัวมอมแมม อายุราวๆ 20 ปี เธอสำรวจการแต่งตัวของเขาและเดาได้ไม่ยากเลยว่าเขาจะต้องเป็นนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยในชนบทอย่างแน่นอน
ถ้าไม่ใช่เพราะว่าต้องทำตามหน้าที่แล้วล่ะก็เธอไม่มีทางที่จะพูดคุยกับผู้ชายคนนี้เด็ดขาด
ลู่หยวนมองไปที่ผู้หญิงคนนั้นแล้วคิดในใจ ‘ว้าว ธนาคารนี้ดีจริงๆ มีผู้หญิงหน้าตาดีมาคอยต้อนรับด้วย’
“สวัสดีครับ ผมต้องการจะถอนเงินบางส่วน” ลู่หยวนกล่าว
“ถอนเงิน? คุณมีบัตรสมาชิกของทางธนาคารเราหรือเปล่าคะ?”พนักงานสาวถาม
“เอ่อ ผมไม่มีบัตรสมาชิกของธนาคาร” ลู่หยวนตอบพร้อมกับเกาหัว
ทันทีที่พนักงานสาวได้ยินคำตอบของลู่หยวน รอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าก่อนหน้านี้ก็หายไป ดวงตาที่ดูถูกก็ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ที่เธอต้อนรับเขาก็เพื่อแสดงความเป็นมืออาชีพก็เท่านั้น
ในเมื่อเธอแน่ใจแล้วว่าชายหนุ่มคนนี้ไม่ใช่ลูกค้าของที่นี่ เธอก็ไม่จำเป็นต้องแสร้งยินดีอีกต่อไป
ท้ายที่สุดสถานะและขอบเขตธุรกรรมของธนาคารนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะสามารถสัมผัสได้ ผู้คนที่มาที่นี่เพื่อทำธุรกรรมล้วนแต่แต่งตัวอย่างดี เป็นไปไม่ได้เลยที่ชายหนุ่มคนนี้จะสามารถมาทำธุรกรรมกับธนาคารนี้ตั้งแต่อายุยังน้อยแบบนี้ มิหนำซ้ำยังแต่งตัวมอมแมมอีก
เมื่อเธอได้ยินคำตอบนั้น เธอก็มั่นใจในการตัดสินใจของตัวเองมากขึ้น
รอยยิ้มพี่เคยอยู่บนใบหน้าของเธอกลายเป็นเหยียดหยาม
พนักงานสาวพูดด้วยน้ำเสียงแดกดัน "ขอโทษค่ะคุณ! เราไม่สามารถถอนเงินให้ได้หากไม่มีบัตรของที่นี่ นอกจากนี้เราไม่สามารถสมัครบัตรธนาคารแบบไม่เป็นทางการได้ คุณต้องแสดงหลักฐานเป็นทรัพย์สินที่มีอยู่เท่านั้น และจำเป็นต้องมีทรัพย์สินมากกว่าหนึ่งล้านหยวนจึงจะสามารถสมัครบัตรธนาคารได้ และยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเราเปิดบัตรธนาคารเงินฝากให้คุณแล้ว เงินที่อยู่ในบัญชีธนาคารจะต้องมีมากกว่าหนึ่งแสน หากคุณไม่มีตามข้อกำหนด กรุณากลับออกไปด้วยค่ะ"
พนักงานคนนี้ดูถูกลู่หยวนตั้งแต่แรกที่เดินเข้ามา และในที่สุดเธอก็เปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงออกมา
ในขณะที่พนักงานสาวกำลังเชิญลู่หยวนออกก็มีคู่สามีภรรยาคู่หนึ่งเดินเข้ามา
ทันทีที่พนักงานสาวเห็นทั้งคู่เดินเข้ามา เธอก็รีบวิ่งตรงเข้าไปต้อนรับทันที ท่าทางที่ไม่สุภาพของเธอได้เปลี่ยนไปหนึ่งร้อยแปดสิบองศาจากหน้ามือเป็นหลังมือและกล่าวทักทายคู่สามีภรรยาด้วยรอยยิ้ม
"เสี่ยวเจิ้ง (เสี่ยว คือการเรียกแบบเอ็นดูจากคนที่มีอายุเยอะกว่า) มาตรฐานของธนาคารนี้ลดลงเรื่อยๆ เลยนะ เดี๋ยวนี้ธนาคารฮั่วหรุ่ยให้บริการกับลูกค้าทุกประเภทแล้วงั้นเหรอ?" คู่สามีภรรยามองไปที่ลู่หยวนด้วยหางตา
นี่เป็นเรื่องจริงของมนุษย์หลายๆ คนที่ชอบดูถูกคนอื่นและมักจะรู้สึกว่าตนเองนั้นเหนือกว่าคนอื่นอยู่เสมอ
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะคุณนายหวัง คุณกำลังเข้าใจผิด”
พนักงานสาวเริ่มกังวลถ้าเกิดคุณหวังและภรรยาของเขาขุ่นเคืองเพราะผู้ชายคนนี้เธอจะต้องเดือดร้อนแน่นอน
เธอขมวดคิ้วและจ้องมองไปที่ลู่หยวนอย่างไม่สบอารมณ์ "แล้วนี่ทำไมคุณไม่ยอมออกไปสักทีล่ะ? คุณต้องการให้ฉันเรียกรปภ. มาลากคุณออกไปหรือไง!?"
“ช่างเถอะ คุณไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะจัดการกับธุรกรรมของผม” ลู่หยวนยิ้มและตอบกลับพนักงานสาวอย่างสุภาพและเดินไปยังประตูที่อยู่ที่อยู่ด้านในของห้องโถง
ด้านบนประตูมีป้ายติดไว้ว่า ‘ห้องรับรองสำหรับลูกค้า VIP เท่านั้น’
“นี่คุณจะไปไหน? กลับมานี่เดี๋ยวนี้นะ!”
เมื่อเห็นว่าลู่หยวนกำลังเดินไปทางห้องนั้น พนักงานสาวก็เหยียบรองเท้าส้นสูงรีบวิ่งตามเขาไปทันที
ห้องนั้นเป็นห้องที่มีไว้สำหรับลูกค้าระดับสูงเท่านั้นและพนักงานที่จะสามารถเข้าไปได้ก็จะต้องมีตำแหน่งผู้จัดการขึ้นไป
ถ้ามีคนเห็นว่าเธอปล่อยให้ผู้ชายคนนั้นเข้าไป เธอจะต้องถูกไล่ออกอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตามรองเท้าส้นสูงของเธอทำให้เธอไม่สามารถวิ่งเร็วได้ แต่มันก็สายไป เมื่อเธอไปถึง เขาก็ได้ผลักประตูเข้าไปในห้องนั้นแล้ว
ผู้หญิงคนนี้เป็นเพียงพนักงานต้อนรับของธนาคารเท่านั้น เธอไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าไปโดยที่ไม่ได้รับอนุญาต เธอจึงก็ไม่กล้าที่จะไล่ตามเขาเข้าไป
“โอ๊ยยยย! ตายแน่ฉัน หมอนี่เข้ามาเพื่อสร้างปัญหาให้ฉันจริงๆ ด้วย” พนักงานสาวกระทืบเท้าและพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“ไม่ต้องกังวลไปหรอกเสี่ยวเจิ้ง” คู่สามีภรรยามองดูเสี่ยวเจิ้งอย่างเห็นใจและบอกกับเธอว่า "ถ้าหัวหน้าของเธอตำหนิเธอ พวกเราจะเป็นพยานให้เองว่าผู้ชายคนนั้นบุกเข้าไปโดยที่ไม่ฟังคำเตือนของเธอ เรื่องนี้มันไม่ใช่ความผิดของเธอเลยเสี่ยวเจิ้ง"
“คุณหวัง คุณนายหวัง ขอบคุณจริงๆ ค่ะ” พนักงานสาวรีบโค้งตัวและกล่าวขอบคุณ
'คอยดูเถอะกลับออกมาเมื่อไหร่ ฉันเอาแกตายแน่' พนักงานสาวบ่นในใจและเดินกลับมาที่ล็อบบี้