Ep.864 - นักฆ่าหวู่เหิน
4/5
Ep.864 - นักฆ่าหวู่เหิน
แม้จะยังไม่มีหลักฐานยืนยันก็ตาม แต่อ้างอิงจากเหตุการณ์ในอดีต รุ่นเยาว์ที่ช่วงอายุก่อนถึง 20 ปี และสามารถขึ้นเป็นลูกรักของพระเจ้า ในช่วงเลเวล D ตราบใดที่สามารถปีนป่ายขึ้นไปถึงระดับจักรพรรดิได้ ในอนาคตพวกเขาสามารถก้าวสู่เลเวล A ได้อย่างไม่ต้องสงสัย
และหากรุ่นเยาว์ในช่วงเลเวล D สามารถปีนป่ายสู่ระดับราชันย์ได้ โอกาสที่พวกเขาจะก้าวสู่เลเวล B แทบจะ 100 เปอร์เซ็นต์!
สุดท้าย ในช่วงเลเวล D หากเป็นระดับนายพล พวกเขาสามารถตัดผ่านสู่เลเวล C ได้อย่างไม่มีอุปสรรคใด
นี่ถือเป็นบรรทัดฐานที่รู้ๆกัน รากฐานเหล่านี้จะทำให้ผู้ใช้พลังสามารถต่อกรกับคนที่มีเลเวลมากกว่าได้ และกลายเป็นตัวตนคงกระพันในเลเวลเดียวกัน
ตลอดเส้นทางของฉินเฟิง ความแข็งแกร่งทางกายภาพและพลังสมาธิของเขา ล้วนอยู่ในระดับคงกระพันในเลเวลเดียวกัน โดยเฉพาะกำลังภายใน มันมากกว่าคนอื่นหลายสิบเท่า ชนิดที่ว่าต่อให้พยายามแทบตาย ก็ไม่มีทางไต่ขึ้นมาอยู่ในระดับเดียวกับเขา
“กำลังภายในตอนนี้ หากคิดสังหารเหอเทียนสิง น่าจะเพียงพอแล้ว!” ฉินเฟิงใช้จิตเข้าสำรวจตันเถียนของตัวเอง ทะเลสาบกำลังภายในกับมหาสมุทรกำลังภายในย่อมแตกต่างกัน
ถึงฉินเฟิงจะไม่รู้ว่ามันต่างกันขนาดไหน แต่มั่นใจได้เลยว่าต่อให้เขาเผชิญซึ่งๆหน้ากับเหอเทียนสิงไม่ได้ แต่หากคิดลอบสังหาร ผสานกับการร่วมมือด้วยเทคนิคมิติของไป๋หลี น่าจะทำได้สำเร็จ!
ตอนนี้ ที่ฉินเฟิงต้องรู้ก็เหลือแค่เรื่องเหอเทียนสิงกบดานอยู่ที่ไหน เขาจะได้วางแผนลงมือ
แน่นอน ฉินเฟิงไม่คิดยอมละทิ้งผลประโยชน์เช่นกัน เวลานี้กลุ่มเฟิงหลีกำลังวุ่นอยู่กับการตามล่าอสูรโลหิต เก็บกู้ซากสัตว์ร้าย สร้างเม็ดเงินก้อนใหญ่
เมื่อสมาชิกกลุ่มประตูแห่งความตายที่เหลือกลับมาสมทบ ฉินเฟิงและคนอื่นๆก็ถอนตัวจากไปแล้ว เพราะเมื่อฉินเฟิงจากไป คนอื่นๆก็ไม่มีความกล้าสร้างปัญหาแก่กลุ่มประตูแห่งความตายอีก
สำหรับไอซาน เวลานี้ฉินเฟิงจะยังไม่ลงมือกับอีกฝ่าย แต่เลือกวางแผนเตรียมจัดการเหอเทียนสิงเป็นอันดับแรก
…
ณ กลางดึกในมิติธารโลหิต พระจันทร์สีแดงเลือดลอยเด่นอยู่บนฟากฟ้า ห่างออกไปราวๆ 10 กิโลเมตรรอบนอกของป้อมปราการที่ได้รับการปกป้องอย่างแน่นหนา ร่างสิบร่างค่อยๆย่องเข้ามาอย่างเงียบๆ
คนพวกนี้มิใช่ใครอื่น เป็นมือสังหาร!
พวกเขาถูกเรียกมารวมตัวกัน เพื่อจุดประสงค์เดียว นั่นคือลอบฆ่าฉินเฟิง
แน่นอน เพราะคนพวกนี้ ทั้งหมดล้วนเป็นนักฆ่าชั้นยอด ดังนั้นมีความทะนงในตนเอง มั่นใจว่าสามารถลอบสังหารการดำรงอยู่ที่เหนือกว่าตนได้ถึงหนึ่งระดับ
เพราะการลอบสังหาร กับการต่อสู้เผชิญหน้า มันไม่ใช่เรื่องเดียวกัน
“รางวัลคราวนี้เป็นสมบัติเลเวล S แค่ชิ้นเดียว นั่นหมายความว่าใครก็ตามที่นำหัวเป้าหมายภารกิจกลับไปได้ สมบัติเลเวล S ก็จะตกอยู่ในมือคนๆนั้น ฉะนั้น เพื่อไม่ให้ทุกคนฆ่ากันเองในภายหลัง พวกเรามาเสี่ยงดวงกัน แบบนี้เป็นไง?” นักฆ่าที่ครอบครองกลิ่นอายอันคลุมเครือกล่าวขึ้น
ความแข็งแกร่งของคนๆนี้ นักฆ่าคนอื่นๆไม่อาจทราบ แต่นักฆ่ามักมีเคล็ดลับในการปิดบังตัวตนอยู่เสมอ ดังนั้นต่อให้ปลอมกลิ่นอายให้ดูเหมือนคนธรรมดา ก็สามารถทำได้
อย่างไรก็ตาม ชายคนนั้นรู้แจ้งแก่ใจถึงความแข็งแกร่งของตัวเอง เขาเป็นถึงผู้ใช้วรยุทธโบราณเลเวล A8 ในบรรดาคนกลุ่มนี้ เขาไม่เชื่อว่าคนอื่นจะแข็งแกร่งกว่าตน
ถึงอย่างนั้น เจ้าตัวก็ยังตัดใจเลือกเลือกวิธีสันติ นั่นเพราะเป้าหมายไม่ใช่อ่อนแอ
สำหรับมือสังหาร พวกเขาจะไม่ประมาทภารกิจใด ระวังตัวแจ นี่แหละคือคุณสมบัติของนักฆ่ามืออาชีพที่แท้จริง
“จะเอาแบบนั้นหรอ? งั้นจะตัดสินกันยังไง? ให้สู้กันเองก่อนดีไหม” น้ำเสียงเย็นชาเอ่ยขึ้น
“ไม่ใช่แบบนั้น แค่ทอยลูกเต๋าบนอุปกรณ์สื่อสารก็พอแล้ว”
“ง่ายแค่นั้นเอง? ก็ได้!”
“ฉันเห็นด้วย”
“ตกลง”
ทั้งสิบขานรับ แต่ในความเป็นจริงฉากนี้อธิบายได้ว่าพวกเขายังหวังลงมือลอบสังหารเพียงลำพัง เพราะในกรณีนี้ จะได้ไม่มีคนอื่นมาวุ่นวาย
นักฆ่าไม่ค่อยอยากร่วมมือกัน แม้สถานการณ์วุ่นวายจะเป็นประโยชน์ต่อพวกเขา แต่หากนักฆ่าขัดขากันเอง การวิเคราะห์สถานการณ์ จะสิ้นเปลืองพลังงานอย่างมาก
นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ฉะนั้นทำไมไม่ผลัดกันสู้เล่า? แบบนี้สิถึงจะดี!
“ทุกคนมีเวลาคนละ 10 นาที หลังครบกำหนดเวลา ขอให้สับเปลี่ยนเป็นคนใหม่ ใครก็ตามที่สังหารเป้าหมายภารกิจได้ ก็เอาหัวไปเลย!”
“ฟังดูไม่เลว!”
กลุ่มนักฆ่าพยักหน้า จากนั้นคลิกลงบนอุปกรณ์สื่อสาร ทอยลูกเต๋า
“ฉันได้89!”
“ฉัน56!”
“19!”
“อึก … บ้าชิบฉันโยนได้แค่ 2 แต้มซะงั้น!” ชายคนหนึ่งสบถออกมา จากนั้นปิดอุปกรณ์สื่อสาร ไม่มีใครสนใจเขา ตรงกันข้าม หากเขาบอกว่าตนโยนได้ 99 แต้ม ทุกคนคงขอดู แต่เมื่อโยนได้ 2 แต้ม นั่นหมายถึงเป็นคนสุดท้าย
ส่วนนักฆ่าเลเวล A8 ซึ่งเป็นคนเสนอแผน เขามีโชคได้ลุยเป็นคนแรกอย่างคาดไม่ถึง แม้เขาจะไม่ประมาทศัตรู แต่ก็ยังมั่นใจในความแข็งแกร่งของตนเป็นอย่างมาก
และเขาเชื่อสุดใจ ว่าหากลงมือ เป้าหมายตายแน่นอน!
“งั้นฉันไปก่อนล่ะ”
ในความมืดมิด มือสังหารคนแรกหายไปจากจุดเดิมอย่างรวดเร็ว แม้แต่นักฆ่าคนอื่นๆก็ยังตกใจ นั่นเพราะพวกเขาไม่พบร่องรอยของอีกฝ่ายเลย
“หวู่เหินเหมือนจะเก่งกาจไปอีกขั้นแล้ว”
“นั่นไม่แปลก เพราะเขาเป็นยอดนักฆ่า คือการดำรงอยู่ในอันดับห้าของรายชื่อนักฆ่า เขาจะไม่แข็งแกร่งได้อย่างไร?”
“ฉันคิดว่า เขาใช้เวลาแค่ 5 นาทีทุกอย่างก็จบแล้ว”
“แต่ฉันคิดว่าเป้าหมายจะทนได้ หัวนั่นต้องตกเป็นของฉัน!”
ท่ามกลางฝูงชน มีเพียงนักฆ่าที่โยนได้ 2 แต้มเท่านั้น ที่ก่นด่าในจิตใจ ‘หวู่เหินเอ๋ย วางใจได้เลย เดี๋ยวก็มีผีอาภัพโชคอีก 8 ตัวตามแกไป วันนี้จะเป็นวันไปเยี่ยมยมบาลของพวกแกทั้ง 9 คน! และฉันจะเป็นคนเดียวที่รอดชีวิต!’
หากฉินเฟิงอยู่ที่นี่ เขาคงจดจำอีกฝ่ายได้ทันที เพราะชายใต้ชุดคลุม คือกวนจินฮ่าว!
กวนจินฮ่าวเป็นนักฆ่าชั้นนำ เขาครอบครองตัวตนนักฆ่านับไม่ถ้วน ดังนั้นมีหลายชื่อที่ติดอันดับ และด้วยเหตุผลที่ต้องซ่อนสถานะกวนจินฮ่าวซึ่งติดอันดับรายชื่อนักฆ่าระดับสูง จึงเปลี่ยนไปใช้อีกสถานะหนึ่ง และครั้งนี้ได้รับการจ้างวานจากฟินิกซ์เพลิง
เอาจริงๆกวนจินฮ่าวไม่อยากมาเลย ต่อให้รางวัลภารกิจนี้มันจะดียังไง แต่เขาไม่ต้องการมัน แต่ถ้าไม่รับก็ไม่ได้ ฉะนั้น เอาไว้รอจนกว่าเจ้าพวกนี้จะถูกจับโยนขึ้นเรือข้ามแม่น้ำปรภพ เขาค่อยหนีไป ถึงเวลานั้นก็ไม่ต้องถูกใครทวงถามใดๆอีก
อย่างไรก็ตาม เรื่องการลอบสังหารนี้ กวนจินฮ่าวไม่ได้แจ้งข่าวแก่ฉินเฟิง เพราะต่อให้นักฆ่าพวกนี้เป็นยอดฝีมือ … ก็แล้วมันจะยังไง?
--คนพวกนี้สามารถลอบสังหารฉินเฟิงได้หรอ?
คำถามนี้ กวนจินฮ่าวได้คำตอบทันที --เป็นไปไม่ได้!
อีกด้านหนึ่ง ภายในป้อมปราการ ฉินเฟิงนั่งขัดสมาธิ กำลังศึกษาหนทางสู่เจตจำนงศักดิ์สิทธิ์ ฝึกฝนพลังสมาธิ
และตอนนี้ พลังสมาธิของเขา กำลังล็อคไปยังทิศทางหนึ่งอย่างลับๆ
ท่ามกลางความมืดมิด เงาร่างของบุคคลหนึ่ง ค่อยๆก้าวเข้ามา
เป็นมือสังหารคนแรก!
‘มาซักทีนะ’ มุมปากของฉินเฟิงยกยิ้มเย็นชา
ภายในป้อมปราการแห่งนี้ มีคนของกลุ่มเฟิงหลีไม่มากนัก แต่ฉินเฟิงก็ยังพยายามปกป้องพวกเขา ติดตั้งด้ายแห่งความมืดเอาไว้
ด้ายที่ว่าคืออบิลิตี้มืดชนิดหนึ่ง เป็นเส้นด้ายขนาดเล็กมากๆ กระจายไปทั่วรัศมี 10,000 เมตร
ยิ่งถูกขับหนุนด้วยท้องฟ้าอันมืดมิด เส้นด้ายนี้ยิ่งยากจะมองเห็น
อย่างไรก็ตาม ในฐานะมือสังหารอันดับต้นๆ อันที่จริงหวู่เหินค้นพบด้ายสีดำนี้แล้ว แต่เขาประเมินพลังสมาธิของฉินเฟิงต่ำไป แม้หวู่เหินไม่ได้สัมผัสด้าย แต่ในช่วงที่ทอยลูกเต๋า มีสองในสิบดันบังเอิญไปสัมผัสมันเข้า!
ดังนั้นฉินเฟิงเลยรับรู้ถึงการมาเยือน ล็อคพลังสมาธิลงบนร่างของคนพวกนั้นทันที
ปัจจุบัน หวู่เหินซุ่มอยู่เงียบๆ ไร้ซึ่งโล่ปราณกำลังภายในเล็ดลอดจากร่างกายเขา กลบซ่อนกลิ่นอายอย่างแนบเนียน ค่อยๆย่องเข้าไปใกล้ป้อมปราการอย่างช้าๆ ก่อนพลิกตัวกระโดดเข้ามาข้างใน
ร่างของเขาไม่ต่างจากเงาดำ พลิกกายราวกับแผ่นกระดาษ ระหว่างเคลื่อนไหว สายลมในอากาศพัดผ่านไป ราวกับว่าสายลมไม่อาจรับรู้ถึงการดำรงอยู่ของเขา
นี่แหละคือความหมายที่แท้จริงของหวู่เหิน (无痕 = ไร้ร่องรอย)
ตอนนี้ เป้าหมายภารกิจอยู่ตรงหน้าแล้ว อีกฝ่ายมิได้เปิดใช้งานโล่ปราณกำลังภายในเช่นเดียวกับตน จุดอ่อนตรงลำคอเปิดเผยออกมา
ไร้ซึ่งระลอกคลื่นของความลังเลใดๆกระเพื่อมไหวในสายตาของหวู่เหิน อาวุธในมือเขา กวาดสังหารออกไปทันที!