Chapter 45: เจ้าชายกำลังกลับบ้าน – 2 (ส่วนที่1)
เล่าปี่ได้ไปเยี่ยมจูกัดเหลียงถึงสามครั้งและคุกเข่าที่หน้าที่พักของเขาถึงสามครั้งเพื่ออ้อนวอนให้นักกลยุทธ์อย่างเขามาอยู่เคียงข้าง
นี่คือสิ่งที่ถูกต้อง แม้แต่คนอย่างเล่าปี่ยังพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อที่จะโน้มน้าวจูกัดเหลียงมาอยู่เคียงข้างเขาเลย การกระทำที่มุ่งมั่นแบบนั้นได้ทำให้จูกัดเหลียงตื้นตันใจและตกลงที่จะออกจากที่พักของเขา
ยังไงก็ตาม...
“ฝ่าบาท”
เมื่อการกระทำที่มันซื่อตรงเกินไปและมันเริ่มกลายการตื้อ มันก็มากพอที่จะทำให้คุณหงุดหงิดกับเรื่องแบบนี้ได้
พูดตามตรงแล้ว เล่าปี่ไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความอดทนระดับตำนาน เมื่อตอนที่เขาไปเยี่ยมจูกัดเหลียงถึงสามครั้งสินะ
“ท่านจักรพรรดิ...”
ฉันผลักฮาร์แมนออกไปนอกประตูโบสถ์ หลังจากที่เขาปรากฏตัวขึ้นมาอีกหนึ่งครั้ง
“ฝ่าบาทได้อัญเชิ..”
“ชาร์ลอตต์ หาเกลือให้ฉันกินหน่อยสิ!!”
เธอเข้าไปด้านในห้อง หลังจากนั้นเธอก็ใส่เกลือลงในถังใบเล็ก หลังจากที่ฉันตะโกนออกมาอย่างดังก้องนั่น ฉันอดที่จะเลียริมฝีปากไม่ได้ ถึงแม้ว่าเกลือมันจะไม่ได้แพงมากมายอะไร มันก็ยังสิ้นเปลืองอยู่ดี
แต่ตราบเท่าที่ฉันสามารถหยุดไอ้พาลาดินนี้ให้มันหยุดพูดได้แล้วละก็...!
ฉันใช้ถังที่ใส่เกลือทั้งหมดกับเขาไป
“....เชิญท่าน... ฝ่าบาท”
ยังไงก็ตาม เจ้าบ้านี้ก็ยังพูดได้จนจบประโยค ดวงตาของเขาที่จ้องมายังฉันนั้นกระตุกอย่างเห็นได้ชัด
ฉันรู้ดีว่ามันคงทำได้ไม่นานเท่าไหร่ ฉันได้ใช้ข้ออ้างที่ว่าฉันรู้สึกไม่ค่อยดีในการส่งเขาออกไปหลายต่อหลายครั้ง แต่หลังจากนั้น เขาก็ปรากฏตัวขึ้นอีก ซึ่งมันไม่ใช่แค่ครั้งเดียว แต่มันถึงสามครั้งในวันเดียว!
ทั้งมื้อเช้า มื้อกลางวันและมื้อเย็น ก่อนที่ฉันจะนั่งลงกินข้าว เขาจะปรากฏตัวขึ้นและพูดพึมพำ “...กลับไปยังพระราชวัง” ยิ่งแย่ไปกว่านั้นก็คือเขาจะเปิดปากพูดพร้อมกับหน้าตายที่เป็นเอกลักษณ์ของเขาตอนที่ฉันกำลังตักอาหารเข้าปาก
ถ้าคุณฟังคำพูดนี้มานานนับเดือน คุณจะรู้สึกยังไงกันละ?!
อารมณ์หงุดหงิดที่ฉันรู้สึกจากเรื่องนี้ มันทำให้อาหารมื้อล้ำค่าของฉันมันไม่ได้อร่อยอีกต่อไปและทุกครั้งที่ฉันกัดมันลงไป มันเหมือนกับว่าความรู้สึกไม่อยากอาหารนั้นกระแทกหน้าของฉันครั้งแล้วครั้งเล่า
แม่งเอ้ย เขายังยืนอยู่นอกหน้าต่างที่อยู่ข้างเตียงฉันและมองฉันผ่านหน้าต่างออกมาตอนที่ฉันกำลังจะทุบหมอนข้างอีกด้วย มันคงเป็นความเมตตาเพียงเล็กน้อยแล้วละที่เจ้าเทอร์มิเนเตอร์บ้านี้ไม่ได้มาทรมานฉันตอนที่ฉันกำลังฝันอยู่
“ฉันบอกเธอแล้วว่าเขาแม่งเป็น T-800 บ้าเลือดนั่น!”
“...ท่านไล่เขาออกไปด้านนอกอีกแล้วงั้นเหรอคะ?”
เมื่อชาร์ลอตต์วางจานอาหารและช้อนส้อมไว้บนโต๊ะ เธอก็ถามคำถามฉันขึ้นมา
ฉันโบกมือปฏิเสธเธอไป “ลืมเรื่องนี้ไปเถอะ กินกันดีกว่า”
แม้ว่าเธอจะพยักหน้า เธอยังคงเหลือบตามองออกไปที่ประตู ฉันเดาว่าเด็กสาวบ้านนอกอย่างเธอที่เป็นคนอ่อนโยนแบบนี้คงจะกังวลเกี่ยวกับฮาร์แมนที่อยู่ด้านนอก
“...ไปหาอะไรให้เขากินสักหน่อยไป”
เธอพยักหน้าก่อนที่จะวางแซนวิชที่เธอทำเองไว้บนจาน หลังจากที่เธอเปิดประตูออก เธอได้ส่งพวกมันให้กับฮาร์แมนที่ยืนอยู่ด้านนอกเหมือนกับท่อนไม้
“ขอบคุณ” เขารับจานไปและเหลือบตามองมาที่ฉัน ก่อนที่จะเปิดปากพูดอีกครั้งหนึ่ง “องค์จักรพรรดิได้อัญเชิ...”ฉันปิดประตูทันทีที่ได้ยินคำตอบ
หลังจากเหตุการณ์แม่มดมอร์กาน่า รวมทั้งการผจญภัยในปราสาทโรเนีย ฉันพบว่าตัวเองไม่ค่อยได้ทำอะไรในโบสถ์สักเท่าไหร่ กลับกันฉันพบว่ามันเป็นการเพลิดเพลินในความสงบสุขและความเงียบ!
สามเดือนที่ผ่านไปของฤดูหนาว ช่วงเวลาที่นำเชื้อโรคมาใกล้จะหมดลงและทำให้ฤดูใบไม้ผลิอันแสนอบอุ่นเข้ามาหาพวกเรา ฉันไม่ได้โง่มากพอที่จะละทิ้งไลฟ์สไตล์ที่สงบสุขและสบายอย่างนี้ไป
หลังจากจัดการมื้ออาหารของฉันเสร็จ ฉันพบว่าตัวเองกำลังจมอยู่กับการอ่านตำราไสยเวทจนถึงมื้อค่ำ
“ฟู่ว...”
ฉันกำลังเรียนรู้ทฤษฎีเวทมนตร์ของราชวงศ์ ซึ่งมันเกี่ยวกับการควบคุมพลังศักดิ์สิทธิ์
[ผู้แต่ง : ราฟาเอล แอสโทเรีย]
“...ไอ้นี่มันจะต้องเป็นพวกคลั่งศาสนาแน่เลย”
ภายในหนังสือมันมีทฤษฎีเกี่ยวกับการควบคุมพลังศักดิ์สิทธิ์ซึ่งมันสามารถที่จะต่อกรอย่างง่ายดายกับวิชาของเนโครแมนเซอร์แล้ว ปัญหาของฉันเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้มันเป็นเพราะว่ามันดูจะยกย่องเทพีมากเกินไปจนรู้สึกเกินตัว
เอาละ ฉันทำให้เจ้าแวมไพร์นั่นตายลงได้เพราะหนังสือเล่มนี้ แต่มันทำให้ฉันรู้สึกฝาดในปากของตัวเอง
“....ยังไงก็ตาม แม้แต่หนังสือเล่มนี้ยังไม่มีคำอธิบายกับฉันเลยว่าจะควบคุมหัวกะโหลกเอม่อนดีๆยังไง”
ฉันจำเป็นต้องหาทางควบคุมพลังศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากกว่านี้ในอนาคต
ฉันคิดถึงหัวกะโหลกที่ฉันได้รับมาจากปราสาทโรเนีย มันเป็นหัวกะโหลกแพะภูเขาที่หน้าตาดูน่าชั่วร้ายมาก
เพื่อทำการทดสอบมัน ฉันได้ไปยังพื้นที่เปิดกว้างที่ไม่มีผู้คน สวมหัวกะโหลกและใช้สกิลของฉัน มันทำให้ฉันรู้ว่าฉันไม่จำเป็นต้องภาวนาหรือรวบรวมพลังศักดิ์สิทธิ์เพิ่มเติม ฉันสามารถที่จะใช้สกิลรัวๆได้โดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับคูลดาวน์ของมัน
เงื่อนไขในการเพิ่มพลังศักดิ์สิทธิ์นั้นแสดงให้เห็นว่ามันเป็นไอเทมที่ยอดเยี่ยม แต่ปัญหาของฉันนี่คือ…
“อาการหลังใช้นี้แม่งไม่ตลกเลย แม่งเอ้ย”
สภาพหลังใช้หัวกะโหลกมันร้ายแรงมากเกินไป มันช่วยเพิ่มพลังศักดิ์สิทธิ์ของฉันก็จริง รวมทั้งการเพิ่มพลังรักษาในช่วงเวลาอันสั้น แต่ว่าฉันก็จะล้มลงหมดสภาพจากการใช้พลังศักดิ์สิทธิ์เกินตัวไป
ทุกครั้งที่มันเกิดขึ้น หมอที่อยู่ในปราสาทโรเนียจะต้องมาที่นี่เพื่อดูแลฉัน เขาคอยถามฉันอยู่ตลอด
‘ท่านทำอะไรถึงได้ใช้พลังศักดิ์สิทธิ์หมดถึงเพียงนี้ครับ ฝ่าบาท?! นี่มันไม่ได้เกิดแค่ครั้งหรือสองครั้งแล้วนะครับ! ท่านใช้พลังเกินกำลังจนสามารถที่จะพิการได้เลยนะ…’
ต้องขอบคุณการทดลองของฉัน ฉันจึงต้องนอนอยู่บนเตียงเพิ่มอีกสามถึงสี่วัน
“มันไม่ดีแน่...ถ้าการใช้สกิลทดสอบหลายครั้งแบบนี้มันทำให้ฉันตกอยู่ในสภาพแบบนี้ ฉันคงต้องหาวิธีอื่นแล้วละ”
ด้วยความคิดเหล่านี้ในหัว ฉันจึงให้ความสนใจในคัมภีร์เล่มอื่น
[พลังศักดิ์สิทธิ์และการชุบชีวิต : เรียนรู้การชุบชีวิต ผู้แต่ง : ราฟาเอล แอสโทเรีย]
ไอ้หมอนี้ เขาดูเหมือนมีความรู้กว้างขวางเกี่ยวกับหลายหัวข้อเลยนะ
มันเหมือนกับว่าเขาไม่ได้เพียงแต่ค้นคว้าเรื่องการควบคุมพลังศักดิ์สิทธิ์เพียงอย่างเดียว แต่ยังวิชาการรักษาขั้นลึกด้วยเช่นกัน หนังสือเล่มนี้ได้มีทฤษฎีหลายอย่างเกี่ยวกับเวทย์ที่ถูกบันทึกไว้ในเรื่องเล่ามากมาย
“แต่ทำไมมันหนาจังวะ?”
มันหนาเท่ากับหนังสือสารานุกรมสองเล่มรวมกัน ฉันทำได้เพียงเดาะลิ้น เมื่อฉันกำลังจะหยิบมัน ซึ่งมีคนเรียกฉันมาจากด้านหลัง
“ฉันจะไปพักตอนกลางคืนแล้วนะคะ องค์ชาย”
ฉันหันกลับไปมองชาร์ลอตต์ที่สวมชุดคลุมฤดูหนาวและผ้าพันคอโค้งตัวให้กับฉัน
ฉันพึมพำตอบกลับไป “อ๋า มันสายขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย?”
ด้านนอกก็มืดสนิทลง เมื่อฉันมองออกไปนอกหน้าต่าง
ชาร์ลอตต์จ้องมาที่ฉันสักพักหนึ่งก่อนที่จะเปิดปากพูดอย่างระมัดระวัง “ขอโทษนะคะ แต่...ท่านจะกลับไปยังพระราชวังไหม?”
“ทำไมฉันต้องไปยังที่ที่อันตรายแบบนั้นด้วยกัน?!”
ฉันยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครเป็นคนส่งแม่มดมอร์กาน่ามาที่นี่ ไม่เพียงแค่นั้น องค์จักรพรรดิคงจะไม่พึงพอใจอย่างมากกับหลานชายของเขาด้วยเช่นกัน มันบอกได้เลยว่าเขานั้นบังคับฉันให้ทำการ ‘สมัครใจ’ คอยช่วยสนับสนุนปราสาทโรเนีย
การไปที่นั่นคงจะทำให้ฉันได้คำตอบบ้าง ยังไงก็ตาม มันคงจะไม่ใช่เรื่องที่ฉลาดเท่าไหร่ที่จะคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะว่าฉันจะได้รับการปฏิบัติอย่างเย็นชา
เจ้าชายองค์อื่นคงจะไม่ดูถูกฉันด้วยสายตาที่เย็นยะเยียบและเหยียดหยาม แต่มันยังมาพร้อมกับสายตาที่เต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น ในขณะที่มองมายังแผ่นหลังของฉัน
“สถานที่อันตราย..”
เธอพึมพำกับตัวเอง ก่อนที่เธอจะยิ้มจางๆให้และโค้งตัวให้อีกครั้งหนึ่ง
“เฮ้ ระหว่างทางกลับบ้านก็ระวังตัวด้วยนะ”
ฉันเดินร่วมกับเธอไปยังประตูโบสถ์ มันทำให้ฉันพบฮาร์แมนยืนรออยู่ด้านหน้าถนนที่นำทางไปยังหมู่บ้านด้านใต้เขา
ฉันสะดุ้งตัวทันที เมื่อฉันเห็นเขา เขานี่แม่งโคตรจะเป็นพวกสตอล์คเกอร์เลย
แต่ว่า...
“ข้าจะส่งท่านกลับบ้านเอง”
...มันเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมที่เขารอชาร์ลอตต์และพาเธอส่งกลับบ้าน เพื่อทำให้มั่นใจว่าเธอได้กลับบ้านอย่างปลอดภัยในตอนกลางคืน ฉันมองไปที่เธอและฮาร์แมนที่หายตัวไปจากถนน
**
(มุมมองที่3)
หลังจากที่เธอกลับมาถึงบ้านของเธอในหมู่บ้าน ชาร์ลอตต์ก็ถอดผ้าพันคอออกและเปลี่ยนไปเป็นชุดนอนกลางคืนที่สบายตัว แม้เธอจะเปลี่ยนชุดไปแล้ว ดวงตาของเธอยังแสดงให้เห็นถึงความครุ่นคิด
“อันตราย...”
เจ้าชายพูดว่ามันเป็นที่ที่อันตราย
คนที่ขับไล่เจ้าชายออกไปยังคงเล็งไปที่ชีวิตของเด็กหนุ่มอีกเหรอ?
มันเห็นได้ชัดเจนเลยว่าเจ้าชายรู้ถึงเรื่องนี้และนั่นคือคำอธิบายที่ว่าทำไมเขาถึงไม่อยากที่จะกลับไปที่นั่น..
เธอไม่รู้เลยว่ามันเป็นเรื่องอะไรที่ทำให้เขารู้สึกย่ำแย่แบบนั้น ถ้าเขาทำให้เธอรู้บ้างสักเล็กน้อย มันคงจะเป็นเรื่องที่ดีมาก
“แต่ว่า...ฉันจะช่วยอะไรได้ ถ้าฉันรับฟังปัญหาของเขาแล้ว?”
ชาร์ลอตต์กำหมัดแน่น
เธอนึกถึงสภาพที่เจ้าชายยืนประชันหน้ากับเคานต์แวมไพร์ในปราสาทโรเนีย
อัศวินที่ปล่อยแสงสว่างปรากฏขึ้นมากดดันแวมไพร์ หลังจากนั้นเจ้าชายก็สามารถที่จะตัดหัวของมันออกไปได้อย่างง่ายดาย
ในระหว่างที่มันเกิดขึ้น เธอไม่สามารถที่จะทำอะไรได้เลย
มันไม่ต้องสงสัยเลยว่าพระราชวังมันคงมีคนที่มีพละกำลังที่น่าหวาดกลัว ซึ่งสามารถที่จะคุกคามชีวิตของเจ้าชายได้ แต่เธอที่ยังคงเป็นเด็กยังเชื่อมั่นว่าเธอคงจะหาทางปกป้องเขาได้สักทางหนึ่ง
‘ฉันต้องขยันมากกว่านี้แล้ว’
เธอไม่ได้ดีมากพอ
แน่นอนว่าเธอจำเป็นต้องพยายามมากกว่านี้
ก่อนที่เธอจะก้าวออกไปนอกห้องของเธอ เธอสังเกตเห็นสมุดที่วางไว้บนชั้นวางของของเธอ มันเหมือนกับถูกทิ้งล้างไว้หลายสิบปีแล้ว มันเปรอะไปด้วยเลือดและโคลนดิน
หมึกของมันที่อยู่บนกระดาษทำให้ตัวอักษรอ่านได้ยาก ชาร์ลอตต์เห็นแผ่นกระดาษนี้และเอียงคอ เธอก้าวออกมานอกห้องและเห็นกริลและฮาร์แมนพูดคุยกันอยู่
“กริล เจ้ามีความคิดที่จะเข้าไปยังพระราชวังไหม?”
ตาของเธอแทบจะหลุดออกมาจากเบ้า เมื่อเธอได้ยินมัน
พระราชวัง? กริล...? ทำไมกันนะ?