ตอนที่ 7 - ไม่น่าเลย (1)
*ก่อนจะอ่านนิยาย โปรดตรวจสอบว่าท่านได้อยู่ในสถานที่ที่มีแสงเพียงพอ หรือถ้าท่านอ่านในความมืดก็อย่าลืมเปิด Night Mode หรือจอส้ม เพื่อป้องกันการปวดหัวและสายตาสั้นด้วยนะครับ*
--------------------------------------------------------------------------------------------
ทีมลาดตระเวนนั้นกำลังยุ่งมากๆเลยตอนบ่าย. พวกเขาค้นเมืองทั้งเมืองวุ่นไปหมด - ทั้งต้องคอยพิทักษ์เหล่าเซ้นต์จำนวนมากไปพร้อมๆกับลาดตระเวนประจำวันด้วย. พวกเขาได้รับคำสั่งมาให้ดูแลความปลอดภัยของชาวเมืองและที่พักอาศัยให้พวกเขาด้วย.
ที่ลานกว้างด้านหน้าสิ่งก่อสร้างสีขาวสูงๆนั้นชาวเมืองและเหล่าขุนนางพากันมารวมตัวเพื่อสนทนากันจนแทบจะล้นลานออกมา.
จากมุมไกลๆทางด้านถนนนั่น เอมิเลียก็กำลังเดินเข้ามาในกลุ่มฝูงชน ชุดเครื่องแบบสีขาวของเธอสะท้อนกับแสงใส่ตาของพวกเขาจนแทบจะบอด พวกเขาพากันหันมาทางเธอ เสียงที่กำลังคุยกันดังเซ็งแซ่อยู่นั้นก็ค่อยๆเงียบลงจนเหลือแค่เพียงเสียงเบาๆของรองเท้าเอมิเลีย.
พวกเขาต่างพากันก้มหัวลง ไม่กล้าที่จะมองความยิ่งใหญ่เซ้นต์ตรงๆเลย.
เอมิเลียมองเห็นเด็กผู้ชายตัวเล็กๆคนหนึ่งยังไม่ก้มหัว เขามองไปรอบๆจนพ่อแม่เขากดหัวให้ก้มลง สายตาของพวกเขาบอกเด็กคนนั้นเป็นนัยๆว่าให้อยู่เฉยๆเดี๋ยวเซ้นต์เอมิเลียจะโกรธเอา.
เอมิเลียเห็นว่าพวกเขาดูเครียดกันจึงรีบละสายตาออกจากครอบครัวนั้นเพื่อไม่ให้เขาต้องอึดอัด.
ขณะเธอเดินเข้าไปใกล้ๆสิ่งก่อสร้างสีขาวนั่น กลุ่มอัศวินก็โผล่ออกมาจากประตูนั่น นำโดยหัวหน้าอัศวินคนนั้นนั่นเอง.
เขายืนอยู่ห่างจากเอมิเลียไม่กี่เมตร, หัวหน้าอัศวินค่อยๆคุกเข่าลงหนึ่งข้างพร้อมกับก้มหัวลงเล็กน้อยแล้วพูด “มีสิ่งใดให้กระผมช่วยท่านผู้นำรึป่าวครับ?”
เอมิเลียยื่นเอกสารไปที่ด้านหน้าของหัวหน้า “เรากำลังสืบสวนคดีนี้อยู่. มีความคืบหน้าอะไรบ้างหรือไม่คะ?”
หัวหน้าอัศวินส่ายหัว “ไม่ค่อยคืบหน้าเลยครับ”
จากนั้นเขาก็พาเอมิเลียเข้าไปในบ้าน, ขณะที่เดินอย่างหนักแน่นอยู่นั้นเขาก็รายงานสิ่งที่พบให้ฟัง “ท่านผู้พยากรณ์เชื่อว่าเหตุสังหารหมู่ครั้งนี้เกิดจากน้ำมือของสัตว์บางอย่างครับ. เป็นไปไม่ได้ที่มนุษย์จะทำ”
“มนุษย์ไม่ได้ทำงั้นหรอคะ?” เอมิเลียถาม, หัวใจของเธอตกไปอยู่ที่กระเพาะ.
หัวหน้าอัศวินพยักหน้า “ทางเราได้ส่งคนไปหาเบาะแสสัตว์ทุกตัวที่ผ่านถนนโอย่าในวันนั้นแล้วครับ แต่ก็ยังไม่ได้ความอะไรเลย”
“เราเห็นเอกสารระบุว่ามันอยู่ที่ตลาดทาส. ท่านคิดว่าจะเป็นไปได้มั้ยคะที่สัตว์พวกนั้นจะก่อจลาจลแล้วฆ่าทุกๆคนเพื่อเป็นการแก้แค้น?” เอมิเลียถาม.
หัวหน้าเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะตอบ “อาจจะเป็นไปได้ครับ.
พวกเขายังคงทำงานต่อเรื่อยๆขณะที่หัวหน้าอัศวินคอยรายงานผลให้เอมิเลียฟัง พวกเขาแจ้งความคืบหน้าและแผนที่วางไว้ให้เอมิเลียฟัง. พอมาถึงที่ห้องโถงรับแขกหรูๆแห่งนึง หัวหน้าอัศวินก็ขอให้เอมิเลียนั่งลงรอขณะที่เขาไปเตรียมของมาให้เธอดื่ม.
เอมิเลียไม่รู้สึกหิวใดๆเลย กระเพาะเธอกำลังเครียดและกังวลมากๆ.
เธอนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งแล้วขยับแหวนไปมา แหวนนั้นสะท้อนแสงออกมาทุกครั้งที่มันโดนแดด. เธอพยายามหาทางทำให้มือไม่ให้สั่น จึงกำมือแล้วเอามันไปซุกไว้ที่หน้าตักขณะพยายามบังคับไม่ให้มันสั่น.
พอมองลงมาดูที่หน้าตักแล้ว เธอก็เห็นว่าแหวนทองคำที่นิ้วชี้เธอนั้นส่องประกายสว่างกว่าวงอื่นๆ.
เอมิเลียตกใจขึ้นมาแล้วรีบเอามือข้างนึงปิดแหวนนั่นไว้ขณะที่มองไปรอบๆ. พอเห็นแล้วว่าไม่มีใครอยู่ เอมิเลียจึงเปิดใช้งานรูนลึกลับขึ้นมา.
มีจอปรากฏขึ้นมาอย่างช้าๆที่ด้านหน้าของเอมิเลีย ที่จอนั้นกำลังแสดงภาพในห้องใต้ดินที่แสงสลัวๆราวกับเป็นกล้องวงจรปิดเลย. มันกำลังแสดงใบหน้าของดาร์คเอล์ฟคนนั้นให้เห็น.
ดูเหมือนเขาไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังถูกมองอยู่. เขาดูเหมือนว่ากำลังอยู่ในภวังค์อยู่ ขณะที่กำลังจ้องไปด้านหน้า.
เขากำลังจ้องไปที่เทียนเล่มนั้น. ความงามของเขานั้นเหลือเชื่อมากๆ แม้แต่แสงสว่างเองก็ดูเหมือนจะถูกเขาดึงดูดไป.
ก่อนเอมิเลียจะออกห้องใต้ดินมา เธอได้ร่ายเวทย์มนต์เผื่อไว้ที่รอบๆวัง เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้คนลอบเข้าไปด้านในตอนที่เธอไม่อยู่. เอมิเลียโล่งใจมากที่ไม่มีใครลอยเข้าไป. ขณะที่เธอกำลังจะปิดจอลงนั้น จู่ๆเจ้าเอล์ฟก็ลุกขึ้นมา.
เอมิเลียจ้องไปที่ผิวสีเข้มที่กำลังเจิดจรัสด้วยแสงเทียนของเขา. เจ้าเอล์ฟเงยหน้าขึ้นแล้วจ้องไปที่เพดาน.
หมอนั่นกำลังทำอะไร?
เอมิเลียหรี่ตาลงแล้วมองตามเขาขึ้นไป. เธอพยายามจะดูว่าเจ้าเอล์ฟกำลังจะทำอะไร จากนั้นแค่เพียงไม่กี่วินาทีเธอก็เข้าใจแล้วว่าเขามองอะไรอยู่.
มีคนกำลังเข้าไป, มีคนกำลังเข้าไปใกล้วังของเธอ.
เอมิเลียรีบลุกขึ้นพรวดตอนที่อัศวินนำถ้วยชากับขนมกลับมาพอดี. เธอรีบพุ่งออกไปทันทีหลังบอกอัศวินคนนั้นว่าเปลี่ยนแผนนิดหน่อย “มีบางอย่างที่ชั้นต้องไปจัดการค่ะ. เดี๋ยวพรุ่งนี้จะกลับมาอธิบายให้ฟัง” แล้วเธอก็รีบออกจากบ้านไปเลย.
ขณะกำลังวิ่งกลับวังอยู่นั้นเอมิเลียสงสัยว่าใครมาหาเธอแบบไม่บอกกล่าวอย่างงี้นะ.
มีไม่กี่คนหรอกที่จะมาหาเธอ ตั้งแต่พิธีมอบมงกุฏเธอก็ไม่ได้เป็นที่นิยมมากกว่าเดิมแต่อย่างใด.
เอมิเลียเห็นคนคนหนึ่งยืนอยู่ด้านนอกประตูวังของเธอจากไกลๆ. เอมิเลียหยุดลงแล้วกล่าวออกไปด้วยความสงสัยว่า “ริต้า?”
ริต้าคนที่มั่นใจและสง่างามมาอยู่ตลอดกลับค่อยๆหันหัวมาอย่างอายๆ ราวกับว่าเธอรู้สึกขายหน้ามากที่ต้องมาอยู่นี่. เธอดูไม่สบายใจอย่างเห็นได้ชัด หน้าของเธอดูเครียดมากขณะที่เธอค่อยๆก้มหัวลง.
“เอมิเลีย” ริต้ากล่าวขณะที่จิกเสื้อของตัวเองอย่างแน่นก่อนจะว่าต่อ “ช่วยดิชั้นด้วยค่ะ. เหลือเพียงแต่ท่านแล้ว ตอนนี้ไม่มีใครกล้ามองมาหาดิชั้นเลย อย่าว่าแต่ช่วยเลย. ตอนนี้ท่านคือคนเดียวที่จะช่วยดิชั้นได้. ดิชั้นออกไปจากที่นี่ด้วยตัวคนเดียวไม่ได้. ได้โปรดเถอะค่ะ” ริต้าขอร้องเบาๆ.
จากนั้นเธอก็ฟุบลงกับพื้น คุกเข่าต่อหน้าเอมิเลียขณะที่ขอร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่า. ดูเหมือนเธอจะสลบไปได้ทุกเมื่อเลยตอนนี้ หน้าของเธอซีดอย่างกับผี.
ตอนที่เธอโดนเปิดโปงวันนั้น โป๊บไม่แม้แต่จะมองริต้าเลย เขาเมินเธอราวกับว่าเธอไม่มีตัวตน. การตรากตรำตลอดหลายปีของเธอหายวับไปกับสายลม. สิ่งที่โป๊บทำก็คือส่งบิช้อปมาเตือนริต้าในนามของเขา บิช้อปบอกว่าเธอต้องออกไปจากโบสถ์นี้ให้เร็วที่สุด เป็นไปได้ก็ในอาทิตย์นี้เลย.
ริต้าเป็นบุตรสาวนอกสมรส, เธอไม่มีตัวตนใดๆในสังคมเลย. เธอพยายามอย่างหนักเพื่อจะได้เป็นเซ้นต์ แต่ตอนนี้เธอถูกเนรเทศซะแล้ว คงไม่มีใครอยากรับเธอไปอยู่ด้วยแน่นอนแม้แต่ครอบครัวของเธอเอง. พวกเขาปล่อยให้เธอตายซะยังจะดีกว่า.
คนอื่นๆก็พากันหัวเราะและเยาะเย้ยใส่ความเจ็บปวดของริต้าอย่างโหดเหี้ยม ดังนั้นเธอจึงไม่อยากไปขอความช่วยเหลือจากคนพวกนั้น. เอมิเลียคือที่พึ่งเดียวและความหวังสุดท้ายของเธอ.
เอมิเลียรู้สึกลังเล, เธอไม่อยากสร้างปัญหาให้ตัวเองด้วยการช่วยริต้าหนี. แต่พอมองดูสายตาที่คาดหวังนั่นแล้ว เธอก็ใจอ่อนลงทันที. เธอถอนหายใจแล้วรับปากไป.
“ที่ที่เธอจากมาน่ะไม่ใช่ปัญหา.มันเป็นสิ่งที่เธอเปลี่ยนไม่ได้ แต่เธอยังสามารถกู้ตัวเองกลับมาได้นะ. เธอควรไปไถ่บาปซะ” เอมิเลียกล่าวสั้นๆ.
ริต้าลูบแขนตัวเองไปมาแล้วรับฟังสิ่งที่เอมิเลียพูด. เธอพยายามไตร่ตรองกับคำพูดสั้นๆแต่ลึกซึ้งของเอมิเลีย ทันใดนั้นตาเธอก็ลุกโชนขึ้น. เธอเข้าใจแล้วว่าเอมิเลียอยากจะบอกอะไรกับเธอ.
ความสามารถของริต้านั้นยอดเยี่ยมมาก นั่นคือเหตุผลที่เธอถูกยกย่องว่าเป็นหนึ่งในสุดยอดเซ้นต์ของห้องเธอ. หลายวันมานี้เธอเอาแต่จดจ่อกับเรื่องนอกสมรสของตัวเองจนลืมสิ่งที่สำคัญกว่านั้นไป. พอได้ยินคำแนะนำของเอมิเลียมันก็ช่วยให้เธอได้สติกลับมา.
ริต้าคำนับให้เอมิเลีย, มันคือการแสดงความทราบซึ้งของเธออย่างแท้จริง. “ขอบพระคุณค่ะที่ไม่ทอดทิ้งดิชั้นและช่วยมอบคำแนะนำที่ดีให้. ดิชั้นซาบซึ้งจริงๆ”
เอมิเลียพยักหน้า. จากนั้นริต้าก็ยกตัวขึ้นแล้วยิ้มเบาๆให้เอมิเลียก่อนเดินจากไป. พอริต้าไปพ้นสายตาแล้ว เอมิเลียก็เปิดประตูเข้าไปด้านใน.
เธอไปค้นของในตู้กับข้าว พยายามหาของด้านในแล้วก็หยินขนมปังนุ่มๆก้อนหนึ่งมากับขวดแยมผลไม้เล็กๆ. เธอวางพวกมันลงไว้ในถาดแล้วก็ยกมันไปที่ห้องใต้ดิน.
เธอเปิดประตูเข้าไปในห้องด้วยไหล่จากนั้นก็เห็นเจ้าดาร์คเอล์ฟกำลังนอนตัวขดอยู่. เธอมองไปมองมาเพื่อหาที่วางถาดลง.
ถ้าเอมิเลียไม่เห็นเจ้าเอล์ฟขยับไปมาในจอก่อนหน้านี้ล่ะก็ เธอคงคิดว่าเขาน่าจะกำลังบาดเจ็บอยู่. แต่เธอรู้ ว่าเจ้าเอล์ฟมีแรงกลับมาแล้วเพราะก่อนหน้านี้เขาเดินไปมาในห้อง.
เอมิเลียตลกเบาๆ แล้ววางถาดลงที่โต๊ะจากนั้นก็พูด “ลุกขึ้นแล้วกินซะ”
ตอนนี้ในหัวเธอมีเรื่องเยอะแยะมากแต่ก็ไม่มีใครให้ระบายเลย.
ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องสังหารหมู่วันนั้นล่ะก็ เธอคงไม่อยู่ในสถานการณ์บ้าบอแบบตอนนี้. เธอพยายามคิดถึงทุกเรื่องที่ทำให้เธอมาอยู่ในสภาพน่าปวดหัวแบบนี้.
ขณะที่กำลังคิดอยู่ เธอก็รู้สึกว่าคงไม่มีใครช่วยเจ้าเอล์ฟตัวน้อยที่มีแผลทั่วตัวและเลือดท่วมแบบนั้นนอกจากเธออีกแล้ว. คงไม่มีใครกล้ายื่นมือเข้าไปช่วยสิ่งมีชีวิตแห่งความมืดแน่.
เอมิเลียเริ่มหน้าผากยู่ เธอสรุปว่าทุกๆอย่างนี้เกิดขึ้นเพราะเธอตัดสินใจช่วยเจ้าเอล์ฟบ้านี่. ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่สบอารมณ์ เธอถึงกับคิดว่าเจ้าเอล์ฟจงใจแปลงร่างให้เล็กลงเพื่อหลอกให้คนสงสารแล้วก็ช่วยไว้ก็ได้. ช่างตอแหลมเก่งจริงๆ เอมิเลียไม่อยากเชื่อเลยว่าเธอจะหลงกลได้!
เจ้าดาร์คเอล์ฟสังเกตุเห็นอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของเอมิเลีย จึงหัวเราะเยาะเธอ “เป็นอะไรของแก? ไปกินยาผิดขวดมารึไง?”