Chapter 7 – ในโรงพยาบาล
เฉินโหรวหยูหน้าแดง พลันตระหนักได้ว่าคำพูดของเธอไม่ถูกต้องนัก ความหมายของเธอจริงๆคือ....น้องชาย? น้องชายคนเล็ก? น้องชายคนรอง?.....
หน้าเธอแดงยิ่งกว่าเดิม เลือดในกายเดือดปุดๆ
ทำไมเธอต้องพูดเรื่องน่าอายเกี่ยวกับส่วนนั้นของผู้ชายด้วยนะ? ศักดิ์ศรีของผู้หญิงเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ยังไง? หยาบคาย...อ่า…หยาบคายจัง! เธอรู้สึกเสียหน้า เธอมีอาการกระทบกระเทือนทางสมองจริงๆ ให้ตายเถอะ!
ทั้งหมดนี่เป็นความผิดของเขา เขาพูดเปรียบเทียบศักดิ์ศรีผู้ชายกับร่างกายของผู้หญิงก่อนทำไม เป็นผลให้เธอเปรียบเทียบคืนบ้าง
คนขี้โกง เขาทำให้เธอเข้าใจผิด! เธอเป็นคนที่มีอารยธรรม ไม่พูดคำหยาบคายแบบนั้นแน่นอน
เฉินโหรวหยูหยิบแก้วน้ำร้อน เบียดตัวผ่านเหมิงกู้ แล้วรีบออกไป
“นี่ พวกเรายังพูดไม่จบ คุณมีอุปมาอุปมัยใหม่ๆอะไรอีกบ้าง? พูดให้ผมฟังอีกสิ!” เหมิงกู้หัวเราะเสียงดังอยู่ข้างหลัง
หัวเราะ? มีอะไรให้หัวเราะยะ? คนเลว!
เธอไถลตัวเองไปอย่างรวดเร็วราวกับพื้นมีน้ำมันราดอยู่ ต้องไปให้ไกลจากเขา ยิ่งไกลยิ่งดี…….
แต่ในชีวิตบางครั้งสิ่งที่เรากลัวก็มักมาหาเรา ดังคำว่า ‘ยิ่งเกลียดยิ่งเจอ’
เฉินโหรวหยูไม่เพียงแต่ไม่สามารถอยู่ห่างจากเขาได้ แต่เธอยังเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่เขาประจำการอยู่ และหมอที่เข้าร่วมรักษาเธอ ก็บังเอิญว่าเป็นเหมิงกู้
เรื่องเกิดขึ้นแบบนี้
ลูกค้าของเฉินโหรวหยูที่ซื้อประกันจากเธอ มีส่วนเกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุทางรถยนต์ ตามสิทธิ์ เขาจะได้รับเงินชดเชย แต่มีปัญหาเกี่ยวกับลักษณะของอุบัติเหตุ ความรับผิดชอบต่ออุบัติเหตุไม่ได้กำหนดไว้อย่างชัดเจน และเงินชดเชยจ่ายต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก
ผู้ถือกรมธรรม์เป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยว เฉินโหรวหยูรู้สึกว่าลูกค้าของเธอไว้วางใจเธอ จึงซื้อประกันกับเธอ เมื่อเกิดปัญหา เธอควรช่วยเขา เธอวิ่งไปวิ่งมา มองหาบริษัท มองหาตำรวจจราจร และมองหาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เธอต้องผ่านกระบวนการต่างๆ สร้างความสัมพันธ์ และสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากรายงานของทั้งสองฝ่ายที่เกี่ยวข้องไม่ตรงกัน และไม่มีกล้องวงจรปิดติดไว้ ณ สถานที่เกิดเหตุ ดังนั้นตำรวจจราจรจึงไม่แน่ใจเช่นกัน
หลังจากวิ่งวุ่นไปมากว่าครึ่งเดือน ในที่สุดก็พบคู่กรณี ผู้ชายคนนั้นปฏิเสธว่าไม่ใช่ความผิดของเขา และยืนยันว่าลูกค้าของเฉินโหรวหยูเป็นฝ่ายฝ่าฝืนกฎจราจรเอง และยังลงไม้ลงมือกับเขาอีกด้วย
เฉินโหรวหยูสะเทือนใจกับความจริง ระหว่างที่เธอวิ่งวุ่นไปมาเพื่อหาความจริง เธอเกือบขาหัก และแม่ของเธอก็โทรมาทุกวัน ถามถึงงานและเพื่อนของเธอ
“โหรวหยู แม่ได้ยินจากลุงของแกว่าบริษัทใหญ่ๆให้เงินเพิ่มทุกปี ในเมื่อบริษัทแกก็เป็นบริษัทใหญ่ ก็ทำเหมือนกันใช่ไหม? แกออกไปอยู่ที่อื่นมากกว่าหนึ่งปีแล้ว ได้เงินเพิ่มไหม? ลูกสาวข้างบ้าน อาหยวน คนที่เรียนไม่เก่งคนนั้น หลังจากทำงานได้สองปีก็ได้เลื่อนขั้นเป็นผู้จัดการ แม่ยังบอกพวกเขาว่าแกก็เป็นผู้จัดการเหมือนกัน ทำงานในบริษัทการค้า เป็นบริษัทใหญ่ ผู้จัดการแผนกธุรกิจ ใช่ไหม?”
เฉินโหรวหยูถอนหายใจ เธอจะบอกแม่เรื่องนี้ยังไงดี? พนักงานสิบคน ห้าคนเป็นผู้จัดการ สามในห้าก็อ้างว่าเป็นผู้จัดการ และอีกสองคนก็อยากเป็นผู้จัดการ ตำแหน่งผู้จัดการช่างไร้ค่าจริงๆ
เปลือกนอก หลายคนหน้าตาดีและมีฐานะดี แต่ในความเป็นจริงพวกเขาอยู่ห้องเช่า กินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป และเธอก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่เธอไม่กล้าบอกแม่ เพราะเธอกลัว.....กลัวว่าจะถูกตามจิกจนรำคาญ ถ้าไม่ถูกแม่รบกวน ก็ต้องเป็นพ่อ หรือไม่ก็ญาติ และญาติก็ต้องลากคนอื่นมากวนเธอไม่รู้จักจบจักสิ้น
ดังนั้นเธอจึงโกหกอีกครั้ง เธอไม่ใช่คนขายประกัน เธอเป็นพนักงานออฟฟิศที่ทำงานในบริษัทการค้า
สิ่งนี่ทำให้เฉินโหรวหยูอารมณ์ไม่ดีเอามากๆ หลังจากที่เธอวางสายจากแม่ เธอนั่งยองๆอย่างคนอมทุกข์อยู่นอกบ้านของคู่กรณีลูกค้าเธอ
เธอรู้สึกโกรธตัวเอง คนโกหก! การใช้ชีวิตแบบนี้คืออะไร? เธอยังโกรธอีกฝ่ายที่ไม่ต้องการรับผิดชอบต่ออุบัติเหตุทางรถยนต์ เขาไม่ได้บอกความจริง ในขณะเดียวกันก็ทำให้คนอื่นได้รับบาดเจ็บและเสียเงินด้วย เขาไม่มีจิตสำนึกเลยเหรอ?
บางทีมันอาจเป็นเพราะดวงอาทิตย์ใหญ่เกินไป ทำให้ความคิดของเฉินโหรวหยูเบลอไปชั่วขณะ หรืออาจเป็นเพราะโทรศัพท์จากแม่ที่กระตุ้นการกระทำสิ้นคิดของเธอ เดิมทีเฉินโหรวหยูมีแผนจะพูดคุยกับอีกฝ่ายอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย จากนั้นก็บันทึกความจริงไว้อย่างเงียบๆ เพื่อเป็นหลักฐาน การสนทนาถูกบันทึกไว้จริงๆ และเธอยังดุด่าอีกฝ่ายอย่างรุนแรง
คู่กรณีอยู่กับเพื่อนของเขา ผู้ชายตัวโตสองคน เดิมทีพวกเขาก็ไม่ใช่คนที่มีอารยธรรมอยู่แล้ว และเฉินโหรวหยูยังต่อว่าพวกเขา หลังจากด่าไปยกใหญ่ พวกเขาก็โมโหจัดและเริ่มก้าวร้าว ท่ามกลางอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน เธอเริ่มประหม่าและเครื่องบันทึกก็หลุดออกจากกระเป๋าระหว่างต่อสู้ เธอถูกจับได้คาหนังคาเขา
อีกฝ่ายต้องการคว้าเครื่องบันทึก เธอต้องการปกป้องมัน ดังนั้นจึงเป็นผู้หญิงหนึ่งคนต่อสู้กับผู้ชายตัวโตสองคน
กลายเป็นการทำร้ายกันอย่างจริงจัง
และเธอถูกพวกเขาทุบตี!
ความประทับใจครั้งสุดท้ายของเฉินโหรวหยูคือ เธอกำเครื่องบันทึก MP3 ในมือแน่น และกอดมันไว้ที่หน้าอก เธอล้มลงกับพื้น และหมอบลงเหมือนกุ้งแห้งเพื่อปกป้องเครื่องบันทึก พวกเขากระชากแขนเธอ และเตะท้องของเธออย่างแรง เธอรู้สึกเจ็บมาก ทันใดนั้นมีคนตะโกนมาแต่ไกล
"พวกคุณทำอะไร หยุดนะ! ฉันจะเรียกตำรวจ!"
เธอมึนงงและรู้สึกกลัวมาก เธอไม่เคยถูกทุบตีเช่นนี้มาก่อน เธอรู้สึกอยากร้องไห้ แต่ดูเหมือนเธอจะทำไม่ได้ เธอได้ยินเสียงไซเรนของรถตำรวจ ได้ยินคนบอกว่าให้ส่งเธอไปโรงพยาบาล แล้วในที่สุดเธอก็ตื่นขึ้นมา พบว่าตัวเองอยู่ในโรงพยาบาลจริงๆ
เธอถูกส่งไปห้องฉุกเฉินเพื่อทำการตรวจบาดแผล เย็บแผลและฉีดยา หลังจากได้รับการรักษาเป็นเวลานาน ในที่สุดเธอก็หลับไป เมื่อเธอลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก็พบว่าตัวเองอยู่ในห้องผู้ป่วยรวมของโรงพยาบาล
ตำรวจ เพื่อนร่วมงาน และลูกค้าประกันมาหาเธอที่โรงพยาบาล หลังจากเกิดการทำร้ายร่างกายนี้ เงินชดเชยของลูกค้าก็เพิ่มขึ้นตามที่เธอหวังไว้ ผู้ชายสองคนที่ทำร้ายเธอถูกควบคุมตัว และบทสนทนาที่เธอบันทึกไว้ยังคงอยู่ที่นั่น อีกฝ่ายยอมรับความรับผิดชอบต่ออุบัติเหตุทางรถยนต์ เพื่อป้องกันตัวเอง เขาตกลงที่จะจ่ายค่ารักษาพยาบาลของเฉินโหรวหยูและค่าใช้จ่ายอื่นๆที่เกี่ยวข้อง
เรื่องทั้งหมดนี้เธอรับรู้ทีละเรื่อง เมื่อเธอแอทมิดเข้าโรงพยาบาล อาการของเธอสาหัสมากและมีไข้ขึ้นสูง ตามคำบอกเล่าของผู้ป่วยคนอื่น เธอละเมอพูดไร้สาระทั้งคืน
หลังจากที่ได้รับทราบเรื่องนี้ เฉินโหรวหยูอายมาก เธอต้องส่งเสียงดังมากจนรบกวนการนอนของผู้ป่วยคนอื่น
ผู้ป่วยอีกคนโบกมือให้เธอว่าไม่ถือสาและพูดว่า “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร เป็นเรื่องปกติในโรงพยาบาล จะเหมือนบ้านได้ยังไง? ว่าแต่เธอรู้จักหมอที่โรงพยาบาลนี้เหรอ? ฉันอยู่โรงพยาบาลมาสองสามวันแล้ว เห็นหมอเข้ามาก็ต่อเมื่อมาตรวจตามรอบ แต่เมื่อคืนที่เธอเข้ามา เขาคอยมาเช็คเธอตลอด”
“อ่า อาจเป็นเพราะฉันไข้ขึ้นสูงและอาการค่อนข้างหนัก ในเมื่อไม่มีพยาบาลมาดูแล บางทีคุณหมอที่กำลังเข้าเวรอยู่กลัวว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับฉันก็ได้ค่ะ” เฉินโหรวหยูเอามือแตะศีรษะ และยังรู้สึกเวียนหัวมาก สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน เธอจำไม่ได้เลย จำได้เพียงรางๆว่าตัวเองจับมือใครบางคน และพูดอะไรต่อมิอะไรมากมาย
“ใช่ เธอไข้ขึ้นสูงมาก ได้ยินว่าสูงถึง 39 องศา และพยาบาลก็เข้ามาฉีดยาให้เธอตั้งสองเข็ม”
เฉินโหรวหยูส่ายหน้า “ฉันจำไม่ได้เลยค่ะว่าถูกฉีดยา”
“เธอยังจับมือคุณหมอ และพูดอะไรตั้งมากมาย”
เป็นเรื่องที่น่าขายหน้าจริงๆ เฉินโหรวหยูถอนหายใจ แต่ผู้ป่วยที่ไข้ขึ้นสูงก็เหมือนกับผู้ป่วยทางจิต การเป็นหมอย่อมต้องพบเจอเรื่องพวกนี้มามาก ไม่ควรเก็บมาใส่ใจ
“เธอรู้จักหมอคนนั้นใช่ไหม?” ผู้ป่วยคนนั้นยังสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ “ผ้าม่านถูกดึงปิด ฉันได้ยินไม่ชัด แต่ได้ยินเธอเอาแต่เรียกชื่อเขา คุณหมอเหมิงกู้”
อะไรนะ!! เธอเรียกชื่อใครนะ?
เธออ้าปากพะงาบๆ “หมอคนนั้นไม่ได้โกรธใช่ไหมคะ?”
“ไม่รู้สิ ไม่เห็นเขาว่ายังไงนะ ได้ยินเขาคุยตอบโต้เธอ เธอพูดว่า คุณหมอเหมิง....อะไรสักอย่าง...และหมอเหมิงก็พูดตอบเธอ”
เธออ้าปากค้าง ตัวแข็งทื่อ “ฉันเรียกเขา คุณหมอเหมิง เหรอคะ?”
พระเจ้า เธอทำแบบนั้นไปเพื่อ! เธอยังสังสัยว่าหมอคนไหนนะที่เธอจับมือเขาไว้ไม่ยอมปล่อย และยังพูดจาไร้สาระอีก อ๊ากกก จะบ้าตาย! นี่มันยิ่งกว่าขายหน้าแล้ว เมื่อคืนเธอพูดอะไรออกไปบ้างนะ?
เฉินโหรวหยูถามอย่างระมัดระวัง เพื่อนผู้ป่วยส่ายหน้า "ฉันได้ยินไม่ชัดว่าเธอพูดอะไร ตอนนั้นเพิ่งตื่นก็เลยยังมึนๆอยู่ เธอถามหมอเหมิงเองแล้วกัน วันนี้เวรเขามาตรวจ”
“ถามหมอเหมิง?”
“ใช่ หมอเหมิงกู้”
ครั้งนี้เธออ้าปากกว้างจนสามารถยัดไข่เป็ดลงในปากได้ “เมื่อคืนฉันได้พูดกับหมอเหมิงกู้ และยังกุมมือเขาไว้?” เธอถาม
“ใช่แล้ว คุณพูดอะไรไร้สาระมากมาย และผมต้องพยายามอย่างหนักในการทำความเข้าใจสิ่งที่คุณพูด” คนที่ตอบคำถามเธอยืนอยู่ที่ประตู
เฉินโหรวหยูหันควับไปที่ประตู สายตาสบกับเหมิงกู้
เสื้อคลุมสีขาวตัวใหญ่บนตัวเขา ทำให้เขาดูหล่อมาก
เฉินโหรวหยูอยากจะแกล้งหมดสติในขณะนั้น แต่ศักดิ์ศรีผู้หญิงค้ำคอเธออยู่ เธอยังคงปั้นหน้าเอาไว้ได้ เธอไม่ผิด เธอต้องผ่อนคลายเข้าไว้
เหมิงกู้เดินเข้ามาพร้อมกับหมอรุ่นน้องสองคน เพื่อทำการตรวจและวินิจฉัยตามปกติ
เธอหลับตาปี๋ และในที่สุดก็รับรู้สถานการณ์ที่เธออยู่ในตอนนี้
เธอรู้สึกอายมาก เธอถูกทำร้ายร่างกาย ถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาล หมอที่ดูแลก็หล่อมาก ชื่อของเขาก็คือเหมิงกู้
เธอกัดปาก จะมีใครเข้าใจความรู้อยากตายนี้มั้ย? เธอตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะตัดขาดความสัมพันธ์กับเขา แต่ทำไมพวกเธอถึงพบกันภายใต้สถานการณ์ที่น่าอับอายเช่นนี้เสมอ?
ความภาคภูมิใจในตนเองที่เปราะบางของเธอเหมือนกับ...เหมือนกับ...เหมือนโดนเตะกะทันหัน…ไม่..ไม่...เธอเป็นคนที่มีอารยธรรม เธอไม่สามารถเป็นเหมือนเขาได้…พูดคำหยาบคายและพูดคำเปรียบเปรยหยาบคาย
เธอเป็นคนที่มีอารยธรรม!
เฉินโรวหยูหน้าแดง ลืมตากลมโต และมองไปที่เหมิงกู้ เขากำลังอธิบายวิธีการทานยาให้กับผู้ป่วยบนเตียงที่อยู่ติดกัน เขาหันหน้ากลับมา เห็นเธอมองเขาอยู่ จากนั้นก็ยิ้มให้เธอเล็กน้อย
เธอหันหน้าหนีและย้ำกับตัวเองว่าเธอเป็นคนมีอารยธรรม ในขณะเดียวกันเธอก็อยากจะเตะเขาสักสองครั้ง
------------------------------------------
ฝากติดตามเพจแปลนิยายด้วยนะคะ
ชื่อเพจ BuaElla World นิยายแปลไทย
https://www.facebook.com/buaellatranslation
ลงประจำที่เว็บอักษรเงิน https://aksornngern.com/
อ่านต่อนิยายได้ที่