Chapter 42: เมอรี่คริสต์มาสต์! -5 (ส่วนที่สอง)
อันเดทศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามสิบตัวต่างพุ่งเข้าใส่มันและป้องกันไม่ให้แวมไพร์ขยับตัวได้อีกครั้งหนึ่ง นักบวชก็เดินไปหาแวมไพร์ที่ถูกกดลงบนพื้นอย่างช้าๆ ในขณะที่ถอดหัวกะโหลกของเอม่อนออก
เขายกปืนคาบศิลาขึ้นมาด้วยมือข้างหนึ่งและพ่นลมหายใจลงไปในอาวุธของมัน
-ไม่นะ! ได้โปรดละ ไว้ชีวิตข้าด้วย! อ๊ากก!
แวมไพร์กรีดร้องออกมา
มันต้องไม่เป็นแบบนี้สิ! มันต้องไม่เผชิญหน้ากับเจ้าสิ่งนี้!
ไอ้เวรนี่มัน มัน…!
เงาที่ทาบลงบนใบหน้าแวมไพร์ที่ตะเกียกตะกายอยู่บนพื้นอย่างอเนจอนาถ
เคานต์แวมไพร์พยายามที่จะเงยหน้าของมันขึ้น แต่นักบวชก็กระทืบหัวมันลงจมบนพื้น
ตาของสัตว์ประหลาดเปิดกว้างออก
นักบวชนี้มันเป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มเท่านั้น มันเด็กกว่าที่ทุกคนคาดคิดอีก เจ้าเด็กหนุ่มด้านหน้าของมันยังดูเหมือนอายุไม่ถึงสิบห้าปีด้วยซ้ำไป อย่างมากที่สุดก็แค่อายุสิบหกปี
ยังไงก็ตาม เขาไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาทั่วไปอย่างแน่นอน การแสดงออกทางสีหน้าของเจ้านักบวชนั่นมันทั้งชั่วร้ายและโหดเหี้ยมยิ่งกว่าปีศาจตนใดบนโลกใบนี้
ดวงตาของมัน ริมฝีปากของมัน....พวกมันต่างกำลังยิ้มอยู่
เจ้าปีศาจนี้ซึ่งดูเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง เปิดปากของมันออกมาอย่างช้าๆ
“ในนามของพ่อ ลูกชายและวิญญาณศักดิ์สิทธิ์..”
ปากกระบอกปืนถูกตั้งไว้ที่เบื้องหน้าของแวมไพร์ พลังศักดิ์สิทธิ์ที่น่าหวาดกลัวและมากมายต่างรวบรวมกันภายในปืนกระบอกนี้อีกครั้งหนึ่ง
และหลังจากนั้น...
“เฮ้ คุณแวมไพร์ เมอรี่คริสต์มาสต์นะ ฝากเจ้าไปทักทายไกอาตอนที่เจ้าอยู่ในนรกด้วยนะ เข้าใจไหม?”
นักบวชหนุ่มพูดอะไรบางอย่างออกมา ซึ่งคำพูดของเขามันเป็นคำพูดที่นับว่าเป็นความหยาบคายต่อเทพีไกอา หลังจากนั้นเขาก็ลั่นไกปืน
‘ปัง!’
**
25 ธันวาคม
พระอาทิตย์ยามเช้านั้นขึ้นไปบนฟากฟ้า
แสงแดดอันอบอุ่นขับไล่ผลกระทบจากพื้นที่ด้านลบและปลดปล่อยออร่าพื้นที่ด้านบวกแทน หมอกที่เต็มไปด้วยพลังมารยังคงอยู่ ยังไงก็ตาม แม้ว่ามันจะยังคงอยู่ก็ตาม มันก็ให้ความรู้สึกเหมือนกับการจ้องมองหิมะที่งดงามท่ามกลางแสงแดดอันอบอุ่น
นักโทษคนหนึ่งปักดาบลงไปบนพื้นเพื่อพยุงตัวเอง ในขณะที่หายใจออกมาอย่างหนักหน่วง เขาก็หันไปมองรอบข้าง
เขามองไม่เห็นอันเดทที่อยู่ด้านนอกกำแพงอีกแล้ว เจ้าพวกสัตว์นรกนั่นได้กระจัดกระจายไปกันหมด มันเหลือเพียงแต่เหล่าอันเดทที่กำลังหลอมละลายอย่างช้าๆ ภายใน ‘ริมธาร’ ที่ถูกสร้างขึ้นโดยน้ำศักดิ์สิทธิ์
สีหน้าของนักโทษและทหารต่างแตกต่างกันออกไป ยังไงก็ตามมันก็เป็นเพียงเวลาชั่วครู่ ก่อนที่พวกเขาจะสั่นสะท้านกันทั้งหมด
ริมฝีปากของพวกเขาสั่นเครือ ตาของพวกเขาต่างกระตุก
สุดท้ายแล้ว...
“พวกเรา....พวกเราชนะแล้ว!!!”
เจ้าเมืองเจนาลยกมือของเขาขึ้นและประกาศชัยชนะ แม้ว่าเขาจะขยับแขนได้อย่างยากลำบากก็ตามที
“อ๊า... อ้า!”
“ฉัน...ทำมันได้!”
“ฉันยังมีชีวิตรอดอยู่ละ!!!”
ทหารและนักโทษทุกคนต่างร้องออกมาอย่างมีความสุข แม้แต่ประชาชนของโรเนีย รวมทั้งผู้อพยพจากหมู่บ้านแห่งอื่นต่างร้องออกมาอย่างมีความสุข เสียงของพวกเขานั้นแฝงไปด้วยความสุขที่หาสิ่งใดมาเปรียบได้ยาก
แม้ว่าเขาจะขยับตัวได้อย่างยากลำบาก ฮาร์แมนยังคงเคลื่อนที่ต่อไป แต่เมื่อเขาไปถึงใจกลางของปราสาทโรเนีย ซึ่งมันได้เปลี่ยนกลายเป็นพื้นที่ว่างและเศษซากปรักหักพังแล้ว ดวงตาของเขาแทบจะหลุดออกมาจากเบ้าตา
...นั่นเป็นเพราะว่า เขาได้เห็น ‘อัศวิน’ อันเดทหลายสิบตัวที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยแสงสว่างบริสุทธ์กำลังยืนนิ่งอยู่ในใจกลาง โชคร้ายที่ภาพที่เกิดขึ้นมันอยู่เพียงวินาทีเดียว พวกเขาต่างจางหายไปกลายเป็นแสงธุลี
ภายในดินแดนที่ว่างเปล่าโดดเดี่ยวและเต็มไปด้วยซากปรักหักพัง เขามองเห็น เด็กหนุ่มคนหนึ่งถูกพยุงโดยเด็กสาวและชายอีกคนที่หมดสตินอนกองอยู่บนพื้น
....
“แวมไพร์...?!”
ฮาร์แมนมองเห็นเจ้าแวมไพร์กำลังเปลี่ยนกลายเป็นขี้เถ้า เริ่มต้นจากส่วนหัวของมันและมันกำลังถูกพัดกระจายไปตามสายลม
พาลาดินปิดปากแน่นและหันกลับไปมองเจ้าชาย เด็กหนุ่มคนนี้ที่ยังถูกพยุงตัวโดยเด็กสาวผมเงิน แม้ว่าเขาจะหลับไปแล้ว เขาก็ยังคงมีรอยยิ้มที่ดูพึงพอใจประดับไว้บนหน้าของเขเอง
**
บนภูเขาที่อยู่ไม่ห่างไกลไปจากปราสาทโรเนีย
จักรวรรดิทีโอเครติคได้ส่งกองพลที่ยอดเยี่ยมที่สุดออกมา ซึ่งมันเป็น ‘ภาคีอัศวินกางเขนศักดิ์สิทธิ์’ หลังจากที่รู้สึกได้ถึงความชั่วร้ายที่มาจากพื้นที่ทางเหนือกับการรายงานของพวกคนจากที่แห่งนี้ว่าไม่พบเห็นเหล่าอันเดทมานานนับเดือน
และในวันนี้ ตอนเช้าของวันที่ 25 พวกเขาก็ได้มาถึงจุดหมายของพวกเขา โรเนีย
ชายแก่ยืนอยู่หน้ากองทัพและในขณะที่จ้องไปภายในปราสาท เขาพึมพำออกมาด้วยสีหน้าที่ดูไม่ได้ใส่ใจอะไร
“....พวกเรามาสายเกินไปแล้วงั้นรึ?”
เขานั้นสวมชุดเกราะหนาจนดูใหญ่เทอะทะเกินไปมาก ไม่เหมือนกับเกราะขาวที่ดูใหญ่โตนั่น ร่างกายของชายแก่ที่อยู่ภายใต้การปกป้องของชุดเกราะกลับดูผอมบางแทน
“มันเหมือนจะเป็นแบบนั้นครับ ท่าน”
“ฉันละสงสัยจริงว่ามันเกิดอะไรขึ้น เมื่อฉันได้ยินมาว่ามีเรื่องแปลกประหลาดเกิดขึ้นในดินแดนวิญญาณแห่งความตายแบบนี้ ฉันกลัวว่ามันเป็นการฟื้นคืนชีพของราชาเนโครแมนเซอร์เสียอีก แต่ว่า...” ชายแก่กวาดตามองไปยังปราสาทโรเนีย “มันก็ไม่ได้มากไปกว่าการกลั่นแกล้งของเจ้าแวมไพร์เนี่ยอะนะ?”
ปราสาทโรเนียได้ถูกสร้างขึ้นมาโดยนักโทษและประชาชนธรรมดาทั่วไป ดังนั้นแวมไพร์ที่ล้มเหลวในการบุกปราสาทแห่งนี้นั้นหมายความว่ามันไม่ได้มีพลังมากพอตั้งแต่เริ่มต้น
‘ฉันไม่รู้ว่าเจ้าแวมไพร์นั้นทำไมถึงสามารถที่จะควบคุมอันเดทนับสองหมื่นตัวได้ แต่แม้ว่ามันจะมีพลังแบบนั้นยังไม่สามารถจะเอาชนะปราสาทแห่งการเสียสละได้อีกเนี่ยนะ? แต่ว่านะ...’
“...มันเป็นออร่าที่แปลกชะมัด”
ชายแก่สัมผัสได้ถึงออร่าบางอย่างมาสักพักหนึ่งแล้ว ก่อนที่เขาจะนำกองทัพมาถึงตรงจุดนี้ด้วยซ้ำไป ออร่านี้มันเกิดขึ้นมาจากความโกลาหลจากการปะทะของพลังศักดิ์สิทธิ์และพลังมารที่ทรงพลัง
บรรยากาศที่เกิดขึ้นนี้มันแสดงให้เห็นว่าเจ้าแวมไพร์มันจะต้องมีพลังมารจำนวนมาก มันยังแสดงให้เห็นว่ามันมีคนที่มีพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ทรงพลังต่อสู้กับเจ้าอันเดทนั่นอีกเช่นเดียวกัน
ตั้งแต่ที่ทั่วทั้งปราสาทนั้นต่างโห่ร้องออกมาด้วยความดีใจจากชัยชนะของพวกเขา บุคคลปริศนาที่มีพลังศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากจะต้องจัดการเจ้าแวมไพร์นั่นลง
ชายแก่จ้องไปที่ปราสาทโรเนีย ในขณะที่พึมพำออกมากับตัวเอง “....นักบุญได้ลงมาที่นี่งั้นเหรอ?”
นักบุญและนักบุญหญิงนั้นเป็นคนที่เทพเจ้าได้แบ่งชิ้นส่วนของพวกเขาเองเพื่อกำเนิดตัวตนเหล่านี้ออกมา เพื่อความเพลิดเพลินของตัวพวกเขาเอง
ตั้งแต่ที่พวกเขาจำไม่ได้หรือไม่เข้าใจถึงเหตุผลของการมีอยู่ของตัวตนเหล่านี้ มันจึงแทบไม่มีใครสักคนรู้เลยว่าพวกเขาคือใคร
“มันคงจะเป็นเรื่องที่ดีแน่นอน ถ้ามันเป็นแบบนี้”
สงครามระหว่างแวมไพร์และมนุษย์นั้นต่อสู้กันมานานนับหลายล้านปีแล้ว
เมื่อเวลาผ่านไป กองกำลังของเจ้าพวกสัตว์ประหลาดอันเดทนั้นเริ่มที่จะเจ้าเล่ห์มากขึ้นเรื่อยๆ พวกมันต่างหาวิธีอันแยบยลในการแฝงตัวเข้ามาอยู่ในสังคมของคนธรรมดาทั่วไป ดังนั้นมันจึงจะเป็นเรื่องที่ดีกับการมีนักบุญหรือนักบุญหญิงอยู่ ซึ่งพวกเขาจะเป็นตัวตั้งต้นในการหยุดเจ้าพวกสัตว์ประหลาดเหล่านี้
ชายแก่ยิ้มออกมาจางๆ
เขานั้นเริ่มที่จะสิ้นหวังกับวัยชราของเขาที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ การตายลงของแวมไพร์เพียงตนเดียวมันก็ไม่น่าจะเป็นการเกิดของนักบุญคนใหม่
“ส่งนักบวช หมอและพวกนักปรุงยาไปในปราสาทซะ สิ่งแรกที่พวกเจ้าต้องทำคือดูแลประชาชนก่อนและเมื่อพวกเจ้าจัดการเสร็จ พวกเจ้าก็ทำให้เจ้าพวกนักโทษนั่นมีโอกาสในการรอดชีวิตด้วย”
มันไม่สำคัญว่านักโทษและทาสจะถูกฆ่าตายไปหรือเปล่า แต่ความปลอดภัยของประชาชนธรรมดาทั่วไปนั้นยังคงทำให้ชายแก่กังวล
“ครับ ฝ่าบาท”
พาลาดินตอบกลับและโค้งตัวอย่างมาก
“พวกเรากลับกันเถอะ” ชายแก่พูดไปพร้อมกับหันหลังกลับ เขากระโดดขึ้นไปขี่บนม้า
“...แต่ว่าฝ่าบาทครับ เจ้าชายองค์ที่เจ็ดน่าจะอยู่ในนั้นด้วยนะครับ”
เขาถาม เผื่อว่าชายแก่ต้องการที่จะหยุดและพบกับเด็กหนุ่มก่อนที่จะจากไป
แต่ยังไงก็ตาม สีหน้าของชายแก่เสียทันทีที่ได้ยินคำถามนี้ เขาจ้องไปที่พาลาดินเหมือนกับว่าเขาพบเจอกับศัตรูคู่อาฆาต “ฉันไม่มีเหตุผลที่จะต้องไปเจอกับเจ้าเด็กโง่นั่นที่เอาแต่ดูถูกความทรงจำของแม่ตัวเอง ไม่ต้องสงสัยหรอก เขาน่าจะซ่อนตัวอยู่ด้านในตัวปราสาทของเจ้าเมือง ซึ่งเขาคงกำลังตัวสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวอยู่นั่นแหละ”
มันคงจะเป็นเรื่องที่น่าสบายใจ ถ้าเขาไม่ขี้แตกท่ามกลางความวุ่นวายนั่น
“พวกเราไปกันได้แล้ว ฉันจะรอฟังการรายงานของฮาร์แมนเกี่ยวกับเรื่องนี้ ไปเรียกเขากลับไปยังราชวังด้วย ดังนั้นฉันจะได้สอบถามข้อมูลของเขาอย่างละเอียด”
“เข้าใจแล้วครับ ฝ่าบาท”
แน่นอนว่าชายแก่คนนี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ของจักรวรรดิทีโอเครติค มหาวีรบุรุษผู้สังหารราชาเนโครแมนเซอร์เอม่อน เมื่อห้าสิบปีก่อน
เคลต์ ออโฟเซ่หันกลับไปมองปราสาทโรเนียเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะขี่ม้าจากไป
“ไอ้หลานชายเหม็นเน่า”
จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ เคลต์ ออโฟเซ่กลับไปยังราชวัง สองอาทิตย์ต่อมา พาลาดินฮาร์แมนปรากฏตัวขึ้นและอธิบายถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ภายในห้องพระราชวัง ฮาร์แมนโค้งตัวลงต่อหน้าจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ เคลต์ ออโฟเซ่ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์
พาลาดินเปิดปากขึ้น
“เจ้าชายเป็นคนที่สังหารเคานต์แวมไพร์ครับ ฝ่าบาท”
ปากของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ปิดลงทันทีที่หลังจากที่ได้ยินมัน