Chapter 29: ต้องการที่จะทำตัวเรื่อยเปื่อยและเสียเวลาไปเรื่อยงั้นเหรอ? ไม่มีทางเสียละ!
เฉินเฉินกระโดดลงจากม้าอย่างคล่องแคล่วและเดินตรงไปหาพ่อแม่ของเขา เขายิ้มและพูดออกมา “พ่อ แม่ ข้าได้ทำลายตระกูลหวังไปแล้ว ปัญหาเกี่ยวกับหวังฮู่ที่ได้รับความดีความชอบจากทางกองทัพซึ่งไม่ควรเป็นของเขา ได้ถูกแก้ไขโดยทางการแล้ว หลังจากนี้เป็นต้นไป พวกเรา ตระกูลเฉินจะรับหน้าที่ในการจัดการทรัพย์สมบัติและที่ดินของตระกูลหวัง”
“อะไรนะ?!”
ก่อนที่เฉินชานและฉินโหลวจะได้พูดอะไร หัวหน้าหมู่บ้านตะโกนออกมาอย่างประหลาดใจแทน
“มันไม่ได้มากอะไรเท่าไหร่หรอก มันแค่พื้นที่ทำนาห้าสิบไร่และร้านค้าอีกไม่กี่แห่งเท่านั้น มันไม่ได้ใหญ่อะไรเท่าไหร่หรอก มันไม่มีค่าที่จะพูดถึงด้วยซ้ำไป” เฉินเฉินยิ้มออกมาอย่างถ่อมตัว เขาดูสบายๆและดูใจเย็นมาก
เขาเป็นคนที่สามารถโอ้อวดได้อย่างเก่งกาจ สุดท้ายแล้วเขาก็ได้เห็นคนรวยจำนวนมากโอ้อวดมาก่อนในชีวิตชาติที่แล้ว ประโยคอย่าง ‘ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร’ ‘คนธรรมดาทั่วไป’ ประโยคพวกนี้ต่างถูกนำมาใช้ก่อนหน้านี้
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร...” หัวหน้าหมู่บ้านเกือบจะกระอักเลือดออกมา เมื่อเขาได้ยินมัน พื้นที่ทำนาของชาวนาทั้งหมดในหมู่บ้านหินแห่งนี้ซึ่งมีประชากรครอบครัวกว่ายี่สิบครอบครัวยังใช้พื้นที่ทำนาเพียงแค่ 15 ไร่เท่านั้น
นอกจากนี้แล้ว ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา พื้นที่ 15 ไร่นี้ก็มากพอที่จะเลี้ยงดูประชากรทั้งหมู่บ้านแล้ว แม้ว่าจะลบค่าเช่าที่ไปก็ตาม
แต่ในตอนนี้ที่เฉินเฉินได้ร้านค้ามาอีกหลายสิบแห่งและพื้นที่ทำนากว่า 50 ไร่แบบนี้ มันยังไม่ใช่เรื่องใหญ่เนี่ยนะ?
เฉินเฉินยิ้มออกมาโดยไม่ได้พูดอะไร
เมื่อเห็นความร่ำรวยในห้องลับนั่นแล้ว ทรัพย์สมบัติของตระกูลหวังก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรอีกต่อไป
ในความเป็นจริงแล้ว นอกจากทรัพย์สมบัติของตระกูลหวังแล้ว เขายังได้รับทรัพย์สมบัติจากตระกูลเจามาอีกครึ่งหนึ่งด้วย
ตระกูลเจาเป็นตระกูลที่ทรงพลังอย่างมากในเรื่องการเงิน แม้ว่าจะเป็นเพียงครึ่งเดียวของทรัพย์สมบัติพวกเขา มันก็มากยิ่งกว่าทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่ตระกูลหวังมี
“เฉิน ลูกไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรใช่ไหม?” ฉินโหลวไม่ได้สนใจเรื่องเงินทองที่เฉินเฉินพูด เธอกลับมองไปที่ลูกชายอย่างละเอียด ก่อนที่จะยิ้มออกมา เมื่อเธอเห็นว่าลูกชายของเธอไม่ได้รับรอยขีดข่วนอะไร
“มันจะเป็นยังงั้นได้ยังไงกันครับแม่? ข้าเป็นเซียนแล้วนะ”
เมื่อเขาพูดออกมา เฉินเฉินก็ยกมือขึ้นและเปลวเพลิงก็ลุกขึ้นบนฝ่ามือตัวเอง ซึ่งมันทำให้หัวหน้าหมู่บ้านตื่นตระหนกจนแทบจะคุกเข่าลง
“ข้าไม่เคยคิดเลยว่าเซียนจะมาจากหมู่บ้านหินของพวกเราแบบนี้... ได้โปรดอวยพรให้พวกเราด้วย ท่านบรรพบุรุษ!”
“มาเปลี่ยนชื่อมันเป็นหมู่บ้านเซียนกันเถอะ...”
หัวหน้าหมู่บ้านพึมพำออกมาด้วยท่าทางที่มึนงง แต่สายตาของเฉินชานและฉินโหลวนั้นเปลี่ยนไปดูซับซ้อน
“ฮ่าๆ! ทำไมพ่อแม่ถึงมองข้าแบบนั้นกัน? ข้ายังคงเป็นลูกชายของท่านคนเดิมนั่นแหละ ถึงแม้ว่าจะเป็นเซียนแล้วก็ตาม ท่านคิดว่าข้าจะสู้พวกท่านกลับงั้นหรอ ถ้าพวกท่านตบตีข้าหน่ะ?”
เฉินเฉินดับไฟลงและยิ้มออกมา
“เฉิน เจ้ากำลังจะไปจากที่นี่แล้วใช่ไหม? ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องที่เซียนอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆมาก่อนเลย” ฉินโหลวถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล สายตาของเธอเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อยและความไม่เต็มใจ
ในอีกด้านหนึ่ง เฉินชานดูมีสีหน้าที่จริงจังและกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่
ใบหน้าของเฉินเฉินเคร่งขรึมมากขึ้น เมื่อเขาเห็นใบหน้าของพ่อแม่ตนเอง เขากำลังจะบอกพ่อแม่เกี่ยวกับแผนการที่เขาวางไว้ว่าจะไปฝึกตนทีหลัง ดังนั้นเขาควรที่จะพูดกับเขาอย่างสัตย์จริงตั้งแต่นี้เลย
“ครับ ข้ากำลังจะไปยังรัฐเมืองจีตอนต้นเดือนสิงหาคม ถ้านับจากวันนี้แล้ว มันอีกประมาณหกถึงเจ็ดวันครับ”
รัฐเมืองจีนั้นนับได้ว่ามันเป็นเมืองหลวงของรัฐ เฉินเฉินไม่รู้ว่ามันตั้งอยู่ที่ไหน แต่ตามคำพูดของจางจีแล้ว มันใช้เวลาการเดินทางจากมณฑลเสฉซนไปยังรัฐเมืองจีประมาณสิบวัน แม้ว่าจะไปทางรถม้าก็ตาม ดังนั้นเขาจึงต้องเริ่มต้นเดินทางราวๆ 20 สิงหาคม
เมื่อได้ยินดังนี้แล้ว ฉินโหลวเหมือนต้องการที่จะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่เธอก็ปิดปากไว้สนิท
เฉินชานที่อยู่ด้านข้างเธอถอนหายใจยาวๆออกมา “มันเป็นเรื่องที่ดีแหละกับการออกไปดูโลก ช้าก็ออกไปรับใช้กองทัพเป็นเวลาหลายปีไม่ใช่งั้นเหรอ? โลกภายนอกมันไม่ใช่สิ่งที่มณฑลเสฉวนแห่งนี้สามารถเทียบเคียงได้เลย ผู้คนที่อยู่ด้านนอกต่างฉลาดกว่าผู้คนในมณฑลเล็กๆแบบนี้ เฉิน เมื่อลูกออกไปอยู่ด้านนอกแล้ว จงจำไว้ตลอดเวลาเลยนะว่าลูกห้ามประมาท ไม่ว่ากับใครก็ตามลูกต้องระมัดระวังตัวเอาไว้นะ”
เฉินเฉินพยักหน้า
ยังไงก็ตาม เขายังรู้สึกมั่นใจอย่างมากด้านใน
คนที่อยู่ด้านนอกนั่นจะฉลาดเท่ากับเขางั้นเหรอ? เขาที่เป็นคนที่กลับชาติมาเกิดแบบนี้ เขาที่ได้รับการเรียนรู้มาจากสังคมสมัยใหม่นี่นะ?
เหอะ! มันเป็นพวกคนด้านนอกนั่นต่างหากที่จะต้องไม่ประมาท ไม่อย่างงั้นแล้วพวกเขาจะต้องพบกับความโหดเหี้ยมของสังคม
“เอาละ พ่อ แม่! ข้ายังไม่ได้ไปไหนนะ! อย่าพึ่งรีบเสียใจไปเลย สิ่งสำคัญที่สุดอย่างแรกคือการเก็บของก่อน ดังนั้นพวกเราจะได้ย้ายไปอยู่ในเมืองได้ยังไงละ”
เมื่อเขาพูดออกมา เฉินเฉินไม่ได้สนใจการตอบกลับของพ่อแม่ เขาวิ่งหนีเข้าไปในบ้าน
...
เมื่อกลับเข้ามาในบ้าน เขาก็พบกับหน้าต่างที่แตกหักลงในบ้านดินของเขา เฉินเฉินไม่คิดว่ามันดูทุเรศหรืออะไร เขากลับรู้สึกอบอุ่นแทนเสียมากกว่า
พ่อแม่ของเขากำลังเก็บของอยู่ด้านในบ้าน เฉินเฉินก็เดินตรงไปที่เล้าหมู
“อู๊ด! อู๊ด!”
เหลาเฮยนั้นเริ่มที่จะเหมือนหมาขึ้นเรื่อยๆแล้ว เมื่อมันสัมผัสได้ถึงการมาถึงของเฉินเฉิน มันก็กลิ้งมาหาเขาและลุกขึ้นยืนในเล้าหมู ไม่เพียงแต่มันจะส่งเสียงร้องออกมา มันยังกวัดหางกลมๆให้กับเขาด้วย
เฉินเฉินเดินไปที่เล้าหมูและลูบหัวของเหลาเฮย เป็นไปดั่งเช่นเคย เหลาเฮยก็ดูมีท่าทางที่พึงพอใจมาก
เมื่อเห็นดังนั้น เฉินเฉินก็ล้อมันเล่น “เหลาเฮย พวกเรากำลังจะย้ายบ้านแล้ว เพื่อการเฉลิมฉลองในการย้ายบ้านครั้งนี้ พวกเราจะเชิญชาวบ้านทั้งหมดมาทำอาหารกินกัน เจ้าช่วยแบ่งเนื้ออ้วนๆของเจ้ามาเป็นวัตถุดิบให้พวกเราได้ไหม?”
อู๊ด! อู๊ด!
เหลาเฮยร้องออกมาหลายครั้งก่อนที่จะมุดตัวกลับไปยังส่วนลึกที่สุดของเล้าหมู ตอนที่มันเดินถอยไป มันก็หันกลับมาเหลือบตามองเฉินเฉินไปด้วย มันเหมือนกับนักรบที่ถูกบังคับไปอยู่แนวหน้า ความจริงจังของมันนั้นไม่ได้มากเกินกว่าที่พูดไปเลย
ในที่สุดเหลาเฮยก็ถอยกลับไปยังมุมสุดของคอกได้ มันล้มตัวลงนอนอย่างช้าๆ หลังจากที่ถอนหายใจออกมาดังก้อง มันกระพริบตาออกมาหลายครั้ง มันดูน่าสงสารอย่างมาก
“พอก่อน ข้าแค่หลอกเจ้าเท่านั้นแหละ” เฉินเฉินอดหัวเราะไม่ได้
เหลาเฮยที่นอนอยู่ตรงนั้นเหมือนจะเข้าใจคำพูดของเฉินเฉิน มันลุกตัวขึ้นและวิ่งเข้าหาเฉินเฉินอย่างเชื่อฟัง
เมื่อเห็นดังนี้ เฉินเฉินก็ตั้งคำถามในหัวตัวเอง “มันมีสิ่งมีชีวิตที่อยู่ใกล้พวกเราสิบห้าเมตรที่กินน้ำอมฤตได้ไหม?”
“มีค่ะ มันคือหมูกลายพันธุ์ที่อยู่ด้านหน้าท่านค่ะ ท่านเจ้าของ”
เมื่อได้ยินคำตอบกลับของระบบแล้ว เฉินเฉินก็เอาน้ำอมฤตออกมาและวางไว้ที่ด้านหน้าของเหลาเฮย
เหลาเฮยเป็นหมูที่จงรักภักดี แม้ว่ามันจะฉลาดมากยิ่งขึ้น มันคงจะไม่ทำลายครอบครัวของเขาหรอก
เมื่อความคิดนี้โผล่ขึ้นในหัวตัวเอง เขามองไปที่หน้าของเหลาเฮยอย่างจริงจัง
“เหลาเฮย ข้าจะให้โอกาสกับเจ้า หลังจากที่เจ้ากินน้ำอมฤตนี้ไป เจ้าจะพบกับชีวิตที่แตกต่างออกไปของเจ้า บางทีเจ้าอาจจะสูญเสียชีวิตอันแสนอิสระของเจ้าที่เป็นอยู่มาโดยตลอด....เจ้าอาจจะเริ่มต้นได้พบกับประสบการณ์ที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้าและกังวล”
“ไม่ว่ายังไงก็ตาม หลังจากนี้เป็นต้นไป เจ้าจะได้รับพลังที่เกินกว่าหมูธรรมดาทั่วไป..”
อู๊ด!
ก่อนที่เฉินเฉินจะพูดจบ เหลาเฮยก็ถอยกลับไปยังมุมคอกเหมือนเดิม สายตาของมันเต็มไปด้วยความตกใจและตื่นกลัว มันดูตึงเครียดกว่าแต่ก่อนอีก
มันจ้องน้ำอมฤตเหมือนกับมันกำลังจ้องไปยังยาพิษที่กำลังจะสังหารมันทิ้งโดยการจิบเพียงจิบเดียว
เมื่อเห็นดังนี้ มันทำให้ใบหน้าของเฉินเฉินหมองคล้ำ
เวรเอ้ย ฉันลืมไปเลยว่าเจ้าเหลาเฮยมันรักชีวิตในการนอนเล่นสุขสบายแบบนี้มากแค่ไหน
ถ้าเขารู้ก่อนหน้านี้แล้ว เขาคงจะให้เจ้าเหลาเฮยดื่มไปเลย เขาจะอธิบายให้มันรู้ไปทำไมกัน?
“เหลาเฮย เจ้าเป็นหมูที่มีความฝันอันยิ่งใหญ่นะ!” เฉินเฉินพูดออกมาอย่างโกรธเคือง เขาปีนเข้าไปในคอกหมู
ยังไงก็ตาม เหลาเฮยเมินเขาไปอย่างสมบูรณ์ มันหันหัวเข้าหามุมคอกและหันก้นให้กับเฉินเฉิน
“เหลาเฮย ข้าโกหกกับเจ้า สิ่งที่อยู่ในมือข้าคืออาหารหมูแสนอร่อยที่ข้าเอามาจากในเมืองยังไงละ ข้าเอามาเพื่อให้เจ้าเลยนะ”
เหลาเฮยไม่ได้ตอบกลับ
“มันอร่อยมากเลยนะ!”
เหลาเฮยสะบัดหาง ซึ่งมันหมายความว่ามันปฏิเสธ
เฉินเฉินพูดไม่ออก เจ้าหมูตัวนี้มันฉลาดกว่าจางจีเสียอีก
ในช่วงเวลาที่ตกอยู่ในความสิ้นหวัง ไอเดียอย่างหนึ่งก็โผล่ขึ้นในหัวของเขา เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากตะโกนออกมา “เหลาเฮย เจ้าโซวที่อยู่ข้างบ้านเราหนีออกมาจากคอกละ!”
เมื่อได้ยินมันดังนั้น เจ้าเหลาเฮยก็หันหัวมาทันที
เขาก็ใช้จังหวะนี้ เฉินเฉินขยับตัวอย่างคล่องแคล่วและยัดน้ำอมฤตเข้าปากของเหลาเฮย
ตาของเหลาเฮยเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง มันแสดงให้เห็นถึงความปรารถนาในการนอนอยู่บ้านเฉยๆใช้ชีวิตโดยไม่ต้องทำอะไรเลย
ก่อนที่มันจะพ่นน้ำออกมา เฉินเฉินยกคางของมันขึ้น คอของเหลาเฮยขยับอยู่สักพักหนึ่ง ก่อนที่จะดื่มน้ำอมฤตลงไป
เหลาเฮยตกอยู่ในสภาพสิ้นหวัง มันเหมือนกับสูญเสียสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตของมันไป
เฉินเฉินเยาะเย้ยมัน หลังจากที่เขาเห็นสีหน้าของเจ้าหมูตัวนี้
“ข้าจะต้องขยันขันแข็งเพื่อการฝึกตน ในขณะที่เจ้าจะใช้ชีวิตอย่างเรื่อยเปื่อยเนี่ยนะ? ฝันไปเถอะ!”