ตอนที่ 52 สามอัศวินศักดิ์สิทธิ์
[เผ่าพันธุ์] ก็อบลิน
[เลเวล] 8
[คลาส] ลอร์ด , หัวหน้ากลุ่ม
[ทักษะ] <<Ruler of the Horde>> <<ปฏิปักษ์>> <<คำรามอย่างรุนแรง>> <<ความชำนาญการใช้ดาบ B - >> <<ความละโมบที่ไม่สิ้นสุด>> <<การจ้องมองจากปีศาจ>> <<จิตวิญญาณของราชัน>> <<ผู้ควบคุมแห่งปัญญา>> <<ดวงตามรกตของงู>> <<การเต้นรำแห่งความตาย>> <<ดวงตาของงูสีชาด>> <<การจัดการเวทมนตร์>> <<นักรบคลั่ง>> <<Third Impact>> <<สัญชาตญาณ>> <<ผู้ควบคุมแห่งปัญญา II>>
[การคุ้มครองจากพระเจ้า] เทพธิดาแห่งนรก อัลทีเซีย
[แอตทริบิวต์] ความมืด, ความตาย
[สัตว์ใต้บังคับบัญชา] โคโบลชั้นสูง (เลเวล 1) กัสต้า (เลเวล 20) ซินเธีย (เลเวล 20) บุย (Lv36)
◇◆◇
[ก็อบลิน] กิก้า
ก็อบลินที่อาศัยอยู่ผู้นำคนก่อนพ่ายแพ้ให้กับออร์ค แต่ปัจจุบันเขาเป็นก็อบลินที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาของผม เขาเป็นผู้ใช้หอก
[ก็อบลิน] กิกูว
อดีตผู้นำหมู่บ้าน เขาถูกกดดันเพื่อสละตำแหน่งให้กับผม เขาใช้ดาบยาวและค่อนข้างฉลาดถ้าเทียบกับก็อบลินแรร์ทั่วไป
[ก็อบลิน] กิกิ
เป็นที่รู้จักในฐานะผู้ฝึกสัตว์ เขาเลื่อนคลาสในหลังจากการล่ากวางเอเรล เป็นความสามารถที่ค่อนข้างหายากและเขาชอบที่จะใช้ขวาน
[ก็อบลิน] กิโก
ก็อบลินที่มีบาดแผลมากมายทั่วร่าง อาหารส่วนใหญ่มักถูกขโมยโดยเกรย์วูฟ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะติดตามผม เขาเป็นคนที่มีประสบการณ์มากที่สุดในหมู่พวกก็อบลินแรร์
[ก็อบลิน] กิซาร์
ดรูอิด (ก็อบลินแรร์) ผู้ใช้เวทย์ลม ที่เพิ่งเข้ากลุ่มมา
[ก็อบลิน] กิจิ
ก็อบลินแรร์ที่เลื่อนคลาส (ตอนที่ 37) จากการออกล่ากับกลุ่มของกิก้า
[ก็อบลิน] กิโด
ดรูอิดผู้ใช้เวทย์ลม
[ก็อบลิน] กิจี
ก็อบลินแรร์จากกลุ่มของกิกูว เขามีทักษะ <<ดวงตาที่เปิดกว้าง>> ซึ่งทำให้เขาสามารถเห็นจุดอ่อนของคู่ต่อสู้
[ก็อบลิน] กิด้า
ก็ก็อบลินแรร์จากกลุ่มของกิก้า เขามีทักษะที่โดดเด่นอย่าง <<ความรู้เกี่ยวกับหอก>> และ <<ดื้อรั้นอย่างไม่มีเหตุผล>>
[ก็อบลิน] กิซู
ก็อบลินแรร์ผู้ถูกเทพเจ้าผู้บ้าคลั่ง (ซู โอรุ) คุ้มครอง มีทักษะ<< Mad Dog >>
◇◆◇
กิลมิเป็นผู้นำทางผ่านป่าลึกลับ
“พวกเราถูกเรียกว่าก็อบลินแห่งจุดเริ่มต้น” นาร์ซาที่อยู่ข้างผมพูดอย่างเงียบ ๆ
ความเคร่งขรึมจากน้ำเสียงของเธอคล้ายกับมิโกะในสมัยโบราณ
“ว่ากันว่าพวกเราถือกำเนิดจากดินแดนแห่งความตาย จากนั้นเราก็เข้ามาสู่โลกใบนี้”
เธอกำลังพูดถึงอัลทีเซียหรือเปล่า?
“ดีทน่ามารดาผู้ล่วงลับ เป็นเทพธิดาผู้ให้กำเนิดพวกเรา”
มันทำให้ผมนึกถึงตำนานที่เรเชียพูด ในตำนานนั้นเหล่าเทพเจ้าปรารถนาให้ดีทน่ากลับมาจากดินแดนแห่งความตาย เพื่อช่วยโลกมนุษย์ แต่เธอทำเพียงแค่ ...กลับมาพร้อมกับความหายนะ
ดูเหมือนตำนานที่เรเชียพูดถึงจะถูกส่งต่อไปยังก็อบลินเช่นกัน
มันคือเรื่องบังเอิญเหรอ?
“แต่ดีทน่า เทพเจ้าของเราพ่ายแพ้ ผ่านการอาละวาดด้วยพลังอันน่าสะพรึงกลัว เธอจึงพิชิตดินแดนของเราแล้วเธอก็ท้าทายโลกของมนุษย์อีกครั้ง”
ดังนั้นเหล่าคนเป็นและคนตายจึงกลับมาต่อสู้กันอีกครั้งใช่มั้ย?
“แต่เราแพ้อีกครั้งและเรากลับมายังดินแดนแห่งนี้ เธอทิ้งเราไว้และให้คำสั่งหนึ่ง ก่อนที่เธอจะจะจากไป…ยึดป้อมปราการแห่งนรก ทำเช่นนั้นแล้วราชาแห่งก็อบลินจะถือกำเนิดขึ้น”
มีความหลงใหลอยู่ในคำพูดเหล่านั้น? มีอะไรอยู่ในความคิดของนาร์ซา?
“และเมื่อวันนั้นมาถึง พวกเราจะปะทะกับมนุษย์อีกครั้ง”
มันแตกต่างจากเรื่องราวที่กิลมิบอกมาเล็กน้อย
"และ? " ผมถาม
อารัมภบทนี้ยาวเกินไป ผมแค่อยากฟังบทสรุป
“ก็อบลินทั้งสี่เผ่าร่วมกันปกป้องสมบัติศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นเพื่อบุกป้อมปราการแห่งนรก พวกเราจึงต้องรวบรวมสมบัติศักดิ์สิทธิ์ให้ครบและเดินผ่านประตูของดินแดนแห่งความตาย”
ผมได้ยินเสียงตะโกนจากข้างขวา ผมจึงปล่อยให้กิกูวออกไป
“สมบัตินั่น…คือเป้าหมายของพวกเขา” นาร์ซากล่าว
เสียงตะโกนดังขึ้นจากด้านซ้าย แต่มีต้นไม้บังสายตาของผม…ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเชื่อใจในตัวพวกเขา
“แต่ทำไมต้องตอนนี้” ผมถาม “สงครามมันเกิดขึ้นตั้งแต่ 400 ปีก่อนไม่ใช่เหรอ?”
“…เป็นเพราะพวกเขาไม่สามารถรอได้อีกต่อไป ดังนั้นพวกเขาจึงคิดที่จะได้มาซึ่งราชาด้วยตัวเอง”
ความขมขื่นซึมเข้าสู่น้ำเสียงของนาร์ซา
แม้ว่าผมจะแทบไม่สามารถรอคำพูดต่อไปได้ แต่ก็อบลินแห่งเกิร์ดการ์ก็ปรากฏตัวขึ้น
“ได้มาซึ่งราชา?”
ไม่มีทาง เพราะราชาก็คือผม
“กิซาร์ ข้าจะฝากพวกมันไว้กับเจ้า” ผมสั่ง
“ไม่มีปัญหา” กิซาร์ยิ้มอย่างไม่เกรงกลัว ขณะที่เขาพุ่งจากด้านข้างผมเพื่อต่อสู้ ตามไปด้วยกลุ่มก็อบลินผู้ถือครองเวทมนตร์
ภายใต้การนำของกิซาร์ ลมไร้สีโจมตีไปยังก็อบลินเผ่าเกิร์ดการ์
“หัวหน้าของเผ่าเกิร์ดการ์คือมิชกา ส่วนบุตรของเขาคือรัสกาผู้เป็นคู่หมั้นของฉัน”
ผมอาจจะใช้ประโยชน์จากสิ่งนั้นได้
นาร์ซาเอาแต่ก้มหน้าลง โดยไม่ได้สงสัยว่าผมคิดอะไรอยู่
“ขับไล่พวกมันออกไปโดยเร็วและนำก็อบลินจากหมู่บ้านเผ่ากันระกลับคืนมา!” ผมสั่ง
ไม่ว่าจะเป็นสมบัติทั้งสี่หรือราชาที่พวกเขาปรารถนา ... ผมต้องการทุกอย่าง
ผมมองไปที่ก็อบลินภายใต้การปกครองของตน
“กิลมิ ไปค้นหาบริเวณโดยรอบ”
"ได้"
ยอดไม้เป็นที่อยู่ของก็อบลินเผ่ากันระ นาร์ซาดูเหมือนจะอดทนกับบางสิ่งบางอย่าง ขณะที่กำกำปั้นเล็ก ๆ ของเธอแน่นขึ้น
เธอมีความคล้ายคลึงกับมนุษย์…?
ผมหรี่ตามองพฤติกรรมของเธอ
จากนั้นผมก็มองไปยังสนามรบที่เกิดขึ้น ผมได้ยินเสียงดังขึ้นหลายแห่ง
“ในตอนนี้ดูเหมือนเราจะบรรลุภารกิจแล้ว” ผมพึมพำ
กิลมิที่ค้นหาสภาพแวดล้อมจากบนต้นไม้ก็ลงมารายงาน
“ดูเหมือนว่าเผ่าเกิร์ดการ์ …จะถอนตัวไปแล้ว” เขากล่าว
ผมพยักหน้าให้กับความปั่นป่วนของก็อบลินเผ่ากันระ
“ไปหาอาหารและเฝ้าระวัง…เท่านี้ก็น่าจะพอใช่ไหม” ผมพูดด้วยสายตาที่เฉียบคมขณะสั่งการ
นาร์ซาดูเหมือนจะไม่สามารถต้านทานการจ้องมองของผมได้ เธอจึงพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจ
◆◇◆
ถ้าบรรยากาศแบบนี้ต้องเรียกด้วยคำพูดที่ว่า "ฟุ่มเฟือย" จึงจะเหมาะที่สุด
หินอ่อนขัดเงาที่ปูพรมสีแดงทอดยาวไปยังบัลลังก์
มีผ้าทอที่ถักโดยช่างตัดผ้าที่มีฝีมือมากที่สุดในช่วงหลายปีที่ผ่านมาพาดผ่านผนัง โคมระย้าที่ประดับด้วยอัญมณีทำให้สถานที่นั้นสว่างไสวด้วยเวทมนตร์ห้อยลงมาจากเพดานและกระจกสีสันสวยงามคล้ายกับโบสถ์ทางตะวันตกติดกับหน้าต่าง ทำให้แสงผ่านเข้ามาเพื่อให้เข้ากับชายที่อยู่ในห้อง
นี่เป็นห้องบัลลังก์ที่ราชาใช้พบแขกของเขา คนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์นั้นเป็นชายชราแห่งประเทศเพื่อนบ้านที่รู้จักในฐานะราชาผู้สง่าผ่าเผย
แอชทัล โด เจลเมียน เขาเป็นเจ้าของอาณาจักรทางด้านตะวันตกของทวีป ซึ่งมีพรมแดนทอดยาวจากป่าทมิฬไปทางทิศใต้
ทั้งสองข้างของพรมแดงคือเสาหลักของประเทศนี้ มีทั้งขุนนาง ข้าราชการ ทหารและพ่อค้า พวกเขายืนอยู่ที่นั่นเหมือนกำแพงที่ไม่สั่นเทา
“อัศวินศักดิ์สิทธิ์มาแล้ว”
ทันใดนั้นภายใต้บรรยากาศอันตึงเครียด
ราชามองไปที่ประตูเบื้องหน้าขณะที่มันเปิดออก จากนั้นก็มีชายสามคนซึ่งสวมชุดเกราะเดินเข้ามา
คนหนึ่งเคยเป็นชายวัยกลางคน ด้วยใบหน้าที่ดูซับซ้อน แผ่นหลังตรงและผมสีเงินเกือบจะขาว ทำให้เขามีภาพลักษณ์คล้ายกับพ่อบ้าน อย่างไรก็ตามมีความคมชัดที่อยู่ภายใต้ดวงตาขณะที่ลูบหนวด การปรากฏตัวของเขาก็ทำให้สภาพแวดล้อมรอบตัวเปลี่ยนไป
อีกคนเป็นชายหนุ่ม สายตาหยิ่งผยองของเขามองไปทั้งซ้ายและขวา ร่างกายของเขาถูกสร้างขึ้นราวกับหินผาและสวมชุดเกราะ ขากรรไกรของเขาคล้ายจะสามารถบดขยี้ได้แม้แต่เหล็กไหลและในดวงตาสีฟ้าอันดุร้ายที่สามารถมองเห็นความทะเยอทะยานที่ลุกโชน แม้แต่ผมที่ตัดสั้นของเขาก็ดูเหมือนจะหันชี้ขึ้นไปบนสวรรค์
คนสุดท้ายเป็นชายผมยาวสวมชุดเกราะสีแดง ความงามของผมสีทองทำให้เขามักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นสตรี ร่างกายผอมเพรียวของเขามีผิวสีขาวนวลราวกับว่าไม่เคยสัมผัสกับแสงใดมาก่อน ถึงแม้ว่าเขาจะดูเหมือนผู้หญิง แต่มีรอยยิ้มอันเหน็บแนมที่ริมฝีปากขณะหรี่ตามองลงไปที่ผู้คนโดยรอบ
“โกเวน เรนิด กัลแลนด์ ริฟนินและยีน มาร์ลอน มาตามรับสั่งของท่านแล้ว”
เมื่อชายวัยกลางคนคุกเข่าต่อหน้าพระราชา ชายอีกสองคนก็ทำตาม
ราชายกแขนที่เหมือนกับต้นไม้ที่ตายแล้วขึ้น เป็นสัญญาณให้พวกเขาผ่อนคลาย
“ราชา ทรงต้องการอะไรจากพวกข้า”
อัศวินศักดิ์สิทธิ์เป็นทรัพย์สินทางทหารที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของราชอาณาจักร สำหรับสามในเจ็ดคนที่ถูกเรียกตัวมานั้น ...พวกเขารู้ดีว่าเรื่องนี้ร้ายแรงเพียงใด
จากทางใต้ไปทางตะวันตกเฉียงใต้คือป่าทมิฬ ทางตอนเหนือเป็นเทือกเขาเทพเจ้าหิมะอิกดราซิล ทางตะวันออกคืออาณาจักรชูชูนูอันศักดิ์สิทธิ์และทางตะวันออกเฉียงใต้คือเมืองพันธมิตรของขุนนาง สำหรับประเทศนี้ที่รายล้อมสิ่งของที่มีค่า ผู้ที่ได้รับรางวัลและไปยังจุดสูงสุดของความแข็งแกร่งคืออัศวินศักดิ์สิทธิ์ทั้งเจ็ด
“มีคำขอมาจากคริสตจักรตะวันตก” ราชาตรัส
เมื่อได้ยินเช่นนั้นโกเวนซึ่งยังคงคุกเข่าอยู่ก็เข้าใจรายละเอียดงานของตนทันที
“ไปตามหานักบุญ” พระราชาตรัสด้วยน้ำเสียงต่ำ
ทั้งสามคนต่างยอมรับผ่านการแสดงออกบนใบหน้าของพวกเขา
“พาเธอกลับมาโดยยังมีชีวิต ไม่ว่าจะทำยังไงก็ตาม” ราชารับสั่ง
“ตามที่ท่านต้องการ!” อัศวินศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามตอบ
ด้วยความพอใจ พระราชาจึงให้พวกเขาจากไป
“เรเชีย ฟิล ซีลนักบุญแห่งซีโนเบียใช่มั้ย…ข้าสงสัยว่าผู้คนจากคริสตจักรคิดอะไรอยู่?”
นี่เป็นความลับ แต่จริง ๆ แล้วหอคอยงาช้างกำลังกดดันอาณาจักรนี้อยู่
หอคอยงาช้างเต็มไปด้วยนักเวทย์และข้าราชการชั้นยอด แม้ว่าอาณาจักรแห่งนี้จะมีผู้คนที่โดดเด่นอยู่มากมาย แต่พวกเขาก็ไม่กล้าเยาะเย้ยความแข็งแกร่งของหอคอยงาช้าง
แต่ตอนนี้หอคอยงาช้างและโบสถ์ตะวันตกกำลังร้องขอให้ค้นหาเด็กผู้หญิงเพียงคนเดียว
หากเธอยังมีชีวิตอยู่ จงตามหาและพาเธอกลับมา
มีเปลวไฟลุกโชนในดวงตาที่จมลงไปแล้วของแอชทัล
◆◇◇
“ข้าสงสัยว่าตาแก่นั่นกำลังวางแผนอะไรอยู่?” ยีนถามขณะที่เล่นกับผมยาวของเขา
หลังจากออกจากที่ประทับของราชา เขาก็ไม่ใส่ใจที่จะควบคุมคำพูดที่ก้าวร้าว ขณะที่เขามอบรอยยิ้มเหน็บแนมบนริมฝีปาก
“เจ้าไม่สนใจจริง ๆ ใช่มั้ย? ไม่ว่าในกรณีใดก็ตาม เราจะเริ่มต้นด้วยการมองหาเหยื่อยังไงดี เป็นเวลานานแล้วที่ข้าไม่ได้มีความสุขในการออกล่า” ชายที่รู้จักกันในนามกัลแลนด์หัวเราะอย่างดุร้าย
ในฐานะอัศวินที่มีรูปร่างสูงใหญ่โตซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนามอัศวินพายุ ไม่มีใครเหนือกว่าเขาเมื่อต้องเจอกับทักษะดาบอันยอดเยี่ยม
“ท่านคิดว่ายังไงบ้างล่ะ?” ยีนถามด้วยรอยยิ้มให้ต่ออัศวินรุ่นเก่าที่เดินอยู่ข้างหน้า
โกเวนผู้ที่มีอายุมากที่สุดในบรรดาอัศวินศักดิ์สิทธิ์และเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด
“…เห็นได้ชัดว่าหอคอยงาช้างและศาสนจักรกดดันให้ทำแบบนี้” โกเวนกล่าวขณะที่มองไปที่อัศวินทั้งสองข้างหลัง
เขาไม่ได้มองด้วยสายตาที่เงียบงัน แต่โกเวนมองพวกเขาด้วยสายตาที่อาจจะกล่าวได้ว่าเย็นชา มันเป็นสายตาที่เยือกเย็นคล้ายกับการมองลงไปที่บางสิ่งบางอย่างที่ไร้ค่า
รอยยิ้มของยีนกระตุก
“ตามที่คาดไว้จากอัศวินผู้แข็งแกร่ง แววตาของท่านน่าทึ่งมาก ในความเป็นจริงการจ้องมองของท่านไม่ได้ให้รู้สึกของมนุษย์อีกต่อไป” ยีนกล่าวและมองไปที่โกเวนด้วยสายตาเยาะเย้ย
หากมองเข้าไปใกล้ๆ จะเห็นได้ว่ามือซ้ายของโกเวนนั้นเป็นแขนโลหะ
เมื่อโกเวนหยุดเดิน ยีนก็หยุดเดินเช่นกันและเขาถอยห่างออกไป
“เจ้าอยากจะลองไหมล่ะ? ฟิไฟร์ของข้ามันเร็วมาก เจ้ารู้ไหม?” ยีนกล่าวขณะเอามือวางลงบนดาบเล่มบาง ๆ ที่ข้างเอว
การเคลื่อนไหวของเขาเป็นไปตามธรรมชาติและไม่มีช่องว่างใด ๆ เขาพร้อมเสมอสำหรับสิ่งที่จะโจมตีมา
“เราควรหยุดซะ ไม่มีประโยชน์ใดในการต่อสู้กันเองและแม้ว่ากัลแลนด์กำลังจ้องมองเจ้าอย่างขบขันก็ตาม” โกเวนกล่าวโดยไม่แสดงออกถึงอารมณ์ขณะมองไปยังชายร่างสูงใหญ่
“ท่านว่าอะไรกัน หากเป็นที่นี่ ข้าคิดว่าคงไม่สามารถฆ่าใครได้” กัลแลนด์หัวเราะด้วยน้ำเสียงที่ต่ำขณะที่ยีนยักไหล่
“เจ้าเล่นละครไม่เก่งเลย” ยีนกล่าว
เมื่อเขาได้ยินคำพูดเหล่านั้น โกเวนก็เริ่มเดินอีกครั้ง ยีนและกัลแลนด์ชำเลืองมองกัน จากนั้นพวกเขาก็เริ่มเดินต่อ
การต่อสู้ที่นี่มีแต่จะนำมาซึ่งอันตราย
หากพวกเขาจะต่อสู้กัน พวกเขาต้องสู้ในที่ที่ตัดสินแพ้ชนะได้เท่านั้น ทั้งคู่ตระหนักดีว่านี่เป็นแนวทางปฏิบัติที่ฉลาดที่สุด
“เจ้าหญิงผู้ถูกจองจำ เรเชีย ฟิล ซีลใช่มั้ย? ในระหว่างนี้ทำไมเราไม่ไปช่วยเธอล่ะ”
เมื่อยีนพูดเบา ๆ อีกสองคนก็พยักหน้าอย่างคลุมเครือ
◆◇◇◆◆◇◇◆
หมายเหตุผู้แต่ง:
ผมเปลี่ยนมุมมองเล็กน้อยและใส่เรื่องราวจากอาณาจักรมนุษย์
พวกเขาเป็นคนดีใช่มั้ย?