ตอนที่ 26 ตำนาน
[เผ่าพันธุ์] ก็อบลิน
[เลเวล] 26
[คลาส] ดยุค , หัวหน้ากลุ่ม
[ทักษะ] <<สั่งการ>> <<ปฏิปักษ์>> <<คำรามอย่างรุนแรง>> <<ความชำนาญการใช้ดาบ B->> <<ความละโมบที่ไม่สิ้นสุด>> <<การจ้องมองจากปีศาจ>> <<จิตวิญญาณของราชัน>> <<ผู้ควบคุมแห่งปัญญา>> <<ดวงตามรกตของงู>> <<การเต้นรำแห่งความตาย>> <<ดวงตาของงูสีชาด>> <<การจัดการเวทมนตร์>> <<นักรบคลั่ง>> <<Third Impact>>
[การคุ้มครองจากพระเจ้า] เทพธิดาแห่งนรก อัลทีเซีย
[แอตทริบิวต์] ความมืด, ความตาย
[สัตว์เลี้ยง] โคโบล (เลเวล 9)
[สถานะผิดปกติ] เสน่ห์ของนักบุญ
◇◆◇
ในบรรดาก็อบลินที่เพิ่มเข้ามาทั้ง 30 ตัว มีก็อบลิน 25 ตัวที่สามารถใช้เวทมนตร์ได้
ผมกำลังตั้งชื่อให้กับหัวหน้าดรูอิด
"นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปชื่อของเจ้าคือ กิซาร์" ผมพูด
เขาขอบคุณ แต่ในเวลาเดียวกันเขาก็ทำหน้าลำบากใจ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้รับการตอบสนองแบบนี้
"มีอะไรที่เจ้าไม่พอใจรึเปล่า? "ผมถาม
"ไม่ใช่ ...แต่ข้าเพิ่งรู้ว่าเซนส์ในการตั้งชื่อของท่าน…" กิซาร์ยักไหล่
ขอโทษที่ผมห่วยในเรื่องนี้!
พวกเขามีก็อบลินที่ไม่ใช่นักรบถึง 50 ตัว
เราจึงพาก็อบลินเหล่านั้นกลับไปที่หมู่บ้านด้วย
◇◆◆
เมื่อรวมกับก็อบลินของหมู่บ้านดรูอิดแล้ว ตอนนี้เรามีก็อบลินทั้งหมด 142 ตัว
มีก็อบลิน 92 ตัวที่สามารถต่อสู้ได้และ 50 ตัวที่ไม่ใช่นักรบ ตอนนี้เรากลายเป็นครอบครัวขนาดใหญ่
กิกูวยังคงปกป้องหมู่บ้านได้โดยไม่มีปัญหาและการออกล่าที่ดำเนินไปด้วยดี
ผมปรับกฎที่ก็อบลิน 3 ตัวต้องออกล่าด้วยกันโดยเพิ่มดรูอิดเข้าไปด้วย
วันรุ่งขึ้น ผมใช้ [ทักษะ] << ดวงตาของงูสีชาด >> เพื่อประเมินก็อบลินที่แข็งแกร่ง 3 คนแล้วสร้างกองกำลังให้กับกิก้า
ผมพาพวกเขาไปล่าทางทิศใต้ เมื่อท้องฟ้าเริ่มมืด เราก็เอาของที่ล่าได้กลับไปยังหมู่บ้าน
เมื่อกลับไปผมก็ทำตามตารางงานปกติ ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องขังที่เรเชียอยู่ แต่แล้วผมสังเกตเห็นว่ามีบางคนมาที่นี่ก่อนผม
"กิซาร์ เจ้ามาทำอะไรที่นี่? " ผมถาม
"ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ" เขาตอบ
กิซาร์ดูเหมือนว่าจะชอบเรเชียอยู่ไม่น้อย แม้แต่ในการต่อสู้ครั้งก่อน เขายังขอเรเชียเป็นรางวัลหากเขาชนะ
แต่ด้วยเหตุนี้ เรเชียจึงดูเหมือนจะเกลียดและปฏิเสธที่จะพูดคุยกับเขา น่าเสียดายสำหรับเขาที่เรเชียเป็นเชลยของผม เขาจึงไม่สามารถทำอะไรได้ มันดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่เมื่อเห็นรอยยิ้มอันขมขื่นนั่น
คงเป็นเพราะลักษณะของเขาที่คล้ายคลึงกับมนุษย์ แม้แต่การแสดงออกของเขาในตอนนี้ก็ยังคล้ายกับมนุษย์
"เจ้ามาก็ดีแล้ว ข้ากำลังจะไปหาเธอพอดี"ผมพูด
กิซาร์ตอบว่า "ขอบคุณ"
ขณะที่ผมเดินเข้าไปในคุก เรเชียก็สังเกตเห็นผม ก่อนที่จะมองไปที่กิซาร์ที่เดินตามมาจากด้านหลัง สีหน้าของเธอดูมุ่ยลงทันที
"ทำไมเขาถึงต้องมาที่นี่ด้วยคะ? " เธอถามอย่างหวาดระแวง
"เขาต้องการจะพูดคุยด้วยเช่นกัน" ผมตอบกลับ
"ฉันจะพูดแค่กับคุณค่ะ ฉันไม่ต้องการพูดคุยกับก็อบลินตัวนี้ "เรเชียตอบอย่างโผงผาง
"คิดซะว่าเป็นคำขอจากข้าก็แล้วกัน" ผมพยายามชักจูงให้เธอเห็นด้วย
เรเชียพึมพำกับตัวเองด้วยเสียงเบา ๆ ก่อนจะพูดว่า "ก็ได้ค่ะ... แต่คุณต้องอยู่ด้วย"
"เฮ้อ ดูเหมือนว่าข้าจะโดนเกลียดอย่างสมบูรณ์แบบ" กิซาร์ยิ้มอย่างขมขื่น
จากนั้นต่อไปผมพูดต่อ
"วันนี้ข้ามีเรื่องอยากจะถามเกี่ยวกับพระเจ้า"
"คุณหมายถึงตำนานของพวกเขาเหรอคะ? "เรเชียถามอย่างอยากรู้อยากเห็น
"ใช่ โดยเฉพาะเรื่องของพระเจ้าผู้สร้างโลกและธิดาของเขา ...หือ ทำหน้าอะไรของเจ้าน่ะ? "
ด้วยสาเหตุบางประการ เรเชียยังคงแข็งค้างและตกใจ มีการแสดงออกที่แปลกประหลาดบนใบหน้าของเธอ
"คะ ไม่ค่ะ ... ฉันรู้สึกประหลาดใจนิดหน่อย ฉันแค่ไม่คิดว่าคุณจะสนใจเกี่ยวกับเทพเจ้า"เธอตอบ
ผมหันกลับไปหากิซาร์และถามเขา
"มันแปลกเหรอ? "
"อืม ...ท่านควรจะถามเรื่องที่เป็นปกติมากขึ้นอย่างการใช้เวทมนตร์" กิซาร์ตอบ
ได้ยินดังนั้น ผมก็หันไปหาเรเชีย
"อืม...เรเชีย เจ้าไม่รู้เกี่ยวกับประวัติของพวกเขาเหรอ? "
"ไม่เลย ไม่ใช่อย่างนั้น การศึกษาประวัติความเป็นมาของพระเจ้าเป็นหน้าที่ของเราเหล่าสาวกค่ะ” เรเชียยืดอก
ความเชื่อของเหล่าสาวก?
"คำว่าสาวกของเจ้า...หมายความว่าอะไร? " ผมถาม
"คะ ในโลกมนุษย์ มีบางสิ่งที่เราเรียกว่าศาสนา พวกคุณมีเรื่องแบบนั้นมั้ย? เรเชียถาม
"เรามีเหรอ? " ผมทิ้งคำถามไปยังกิซาร์
"ไม่ใช่แบบนั้นแน่นอน"กิซาร์ตอบ
"วิถีชีวิตของพวกเราเป็นง่าย คนที่อ่อนแอก็ตายไป ในขณะที่ผู้แข็งแกร่งมีอำนาจ แต่แน่นอนว่าเราได้รับคำแนะนำบางอย่างที่พระเจ้ามอบให้แก่เราด้วย เช่น การคุ้มครอง "
ผมเพิ่งรู้ว่ามีกรณีที่คล้ายกับผมเช่นกัน การคุ้มครองจากพระเจ้าเช่นเดียวกับที่ผมได้รับจากอัลทีเซีย
ขณะที่ผมคิดอย่างนั้นกับตัวเอง เรเชียก็กล่าวขึ้น
"ฉันเข้าใจแล้ว มันอาจจะยากสำหรับคุณในการเข้าใจเรื่องพวกนี้ แม้แต่ในหมู่มนุษย์ก็มีผู้ที่ได้รับและผู้ที่ไม่ได้รับความโปรดปรานของพระเจ้าเช่นกันค่ะ ……. "
การพูดคุยเรื่องนี้กลายเป็นหัวข้อที่ค่อนข้างลำบาก ไม่ใช่เพราะว่าเธอไม่อยากพูด แต่เรเชียกลับพูดไม่หยุด ผมรู้สึกเหมือนกำลังกดสวิตช์ที่อันตรายและเริ่มรู้สึกเสียใจที่ได้นำหัวข้อนี้ขึ้นมา
ดังนั้นผมตัดสินใจที่จะขัดจังหวะเรเชีย
"ด - เดี๋ยวก่อน "
"... กล่าวอีกนัยหนึ่ง – คะ? มีอะไรรึเปล่า? "เรเชียกล่าวขณะเธอจ้องมองมาที่ผม
"ข้ารู้ว่าข้าไม่เข้าใจเรื่องตำนานดีนัก แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการ ข้าอยากรู้เกี่ยวกับพวกเขา"ผมพูด
"ก็ได้ค่ะ... งั้นเราค่อยมาพูดในครั้งหน้าก็แล้วกัน…"เธอตอบกลับมา
◇◆◇
บรรพบุรุษของพระเจ้า “คูเทียร์การ์”
พระองค์เป็นเทพเจ้าผู้สร้างโลก
พระองค์ทรงสร้างแผ่นดินและทะเลโดยใช้เวลา 8 วัน 7 คืน จากนั้นเขาก็ตัดส่วนหนึ่งของร่างกายเพื่อสร้างเทพที่จะดูแลสิ่งที่เขาสร้าง
มารดาของเหล่าเทพธิดา “ดีทน่า”
คูเทียร์การ์ทำงานร่วมกับเทพธิดา ดีทน่าเพื่อสร้างสิ่งชีวิตทีละคน
เทพเจ้าแห่งน้ำ เทพเจ้าแห่งป่า เทพเจ้าแห่งสายลม เทพเจ้าแห่งผืนดิน เทพเจ้าแห่งภาพลวงตา เทพเจ้าแห่งความฝัน เทพเจ้าแห่งดวงดาว ...สำหรับปกป้องสิ่งมีชีวิต
เมื่อโลกเริ่มเต็มไปด้วยเทพเจ้า คูเทียร์การ์และดีทน่าก็พึงพอใจ แต่เมื่อมารดาของเหล่าเทพธิดาได้ให้กำเนิดเทพเจ้าแห่งเพลิง ไฟก็ได้ลุกไหม้ไปโดนเธอ จนบาดแผลทำให้เธอบาดเจ็บและนำเธอไปสู่โลกแห่งความตาย
คูเทียร์การ์เสียใจอย่างมาก หลังจากที่เขาสูญเสียคนที่เขาได้สร้างชีวิตให้
ด้วยความเศร้าโศก ทำให้สภาพจิตใจของเขาทรุดโทรมและละทิ้งโลกใบนี้ไว้เบื้องหลัง เพื่อให้ลูก ๆ ของเขาสร้างสรรพชีวิตแทน …เพื่อความปรารถนาของเขาและดีทน่า โลกที่พวกเขาวาดฝันไว้ให้เกิดขึ้นจริง
ตามความปรารถนาของเขา พระเจ้าที่เหลือทำงานร่วมกันเพื่อสร้างสิ่งชีวิตชนิดใหม่
เทพแห่งป่าและน้ำสร้างเอลฟ์
เทพเจ้าแห่งดินและลมใช้แร่เพื่อสร้างกึ่งมนุษย์ขึ้นมา
เทพแห่งภาพลวงตาและความฝัน ถักทอด้วยความฝันและภาพลวงตาเพื่อสร้างมังกร
เทพแห่งดวงดาว รวบรวมทรัพยากรเพื่อสร้างยักษ์ขึ้น
สิ่งที่เหลืออยู่ก็คือเทพเจ้าแห่งเพลิง
เป็นเพราะเขาเกิดมาทำให้มารดาของเหล่าเทพผู้ให้กำเนิดตายไป เขาเป็นบุตรคนสุดท้องและเป็นพระเจ้าคนเดียวที่ไม่สามารถสร้างสิ่งมีชีวิตใหม่ได้
เหล่าพี่ชายและน้องสาวปฏิเสธที่จะร่วมงานกับเขา
เทพที่เก่าแก่ที่สุดเทพอย่างพระเจ้าแห่งน้ำรู้สึกสงสารพระเจ้าแห่งไฟ เขาเรียกเหล่าทวยเทพองค์อื่น ๆ มาและทุกคนมอบสิ่งที่เหลืออยู่ให้กับเทพเจ้าแห่งเพลิง
พระเจ้าแห่งป่ามอบเถาวัลย์ยาวให้ เทพแห่งน้ำมอบน้ำเย็น พระเจ้าแห่งผืนดินมอบก้อนดินมา... และอื่น ๆ พระเจ้าแต่ละองค์ได้นำพาสิ่งต่างที่พวกเขาไม่ได้ใช้มาให้กับพระเจ้าแห่งไฟ
แต่พระเจ้าแห่งไฟเชื่อมั่น
ด้วยมือที่เงอะงะ เขาผสมน้ำกับก้อนดินเพื่อนวดมัน ความปรารถนาทำให้หัวใจของเขาผสมผสานกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาได้รับ
เขาจำได้ถึงร่างของพ่อตอนที่เขายังเด็ก
เขาปรารถนาจะสร้างสิ่งมีชีวิตที่เหมือนสิ่งที่พ่อของเขาเคยทำและมนุษย์ก็เกิดขึ้นมา
พระเจ้าได้ให้สิ่งมีชีวิตทั้งหมดมาอยู่ในดินแดนที่บิดาของพวกเขาเคยสร้างไว้
เอลฟ์ถูกส่งไปยังป่า กึ่งมนุษย์อยู่กับทุ่งหญ้าที่มีลมแรง มังกรอยู่บนภูเขาสูงใหญ่ ยักษ์ลงไปอยู่ใต้พิภพและมนุษย์ก็ไปยังชายหาดเล็ก ๆ
เนื่องจากรูปแบบชีวิตที่แตกต่าง พวกเขาจึงเติบโตและมีจำนวนมากขึ้น
ด้วยความพึงพอใจ พระเจ้าได้ค่อย ๆ สร้างสิ่งมีชีวิตขึ้นมา
พวกสัตว์เดรัจฉานหรือแม้กระทั่งสิ่งที่เทพคิดว่าล้มเหลวได้กระจายสู่โลกใบนี้ แต่พระเจ้าแห่งไฟยังคงเศร้าโศก
สำหรับมนุษย์ที่เขาสร้างขึ้นนั้นอ่อนแอเกินไปเมื่อเทียบกับเผ่าพันธุ์อื่น ๆ
พระเจ้าแห่งไฟจึงได้ไปปรึกษากับพระเจ้าแห่งน้ำ
พระเจ้าแห่งไฟร้องไห้และบ่นกับพระเจ้าแห่งน้ำว่า คงไม่มีใครอยากทำงานร่วมกับเขา
เขาถามว่าเขาควรจะทำอย่างไรและพระเจ้าแห่งน้ำก็พูดถึงช่วงเวลาที่พ่อของพวกเขาสร้างแม่ขึ้นมา
พระเจ้าแห่งน้ำแนะนำว่า ทำไมเขาไม่ใช้ครึ่งหนึ่งของร่างกายเพื่อสร้างสิ่งมีชีวิต
พระเจ้าแห่งไฟชื่นชมแนวคิดนี้ ถ้าเขาทำเช่นนั้น…เขาจะไม่อยู่อย่างโดดเดี่ยวอีกต่อไป
ดังนั้นพระเจ้าแห่งไฟจึงใช้ขาเพื่อสร้างดวงจันทร์ทั้งสองดวง ใช้แขนขวาเพื่อทำให้มนุษย์มีความรู้ ใช้แขนซ้ายเพื่อสร้างสปิริต จากนั้นเขาก็ใช้ศีรษะของตัวเองและให้กำเนิดพระเจ้าผู้ดูแลมนุษย์ และสุดท้ายเขาใช้ร่างกายของตนเพื่อสร้างดวงอาทิตย์
เหล่าสปิริตถูกตัดสายสัมพันธ์ทันทีที่มนุษย์เกิด
แต่พวกเขายังเสียใจกับการตายของพระเจ้าเพลิง ดังนั้นพวกเขาจึงเปลี่ยนรูปแบบของตัวเองให้หลอมรวมเข้ากับแผ่นดินเพื่อช่วยผู้สร้างของพวกเขา ทำให้เกิดภูเขาไฟที่จะกำเนิดแผ่นดินผืนใหม่
แล้วพระเจ้าที่เกิดจากพระเจ้าแห่งไฟก็ได้กลายเป็นเทพเจ้ารุ่นใหม่
พระเจ้าผู้ทรงประสูติมวลมนุษย์มีชื่อว่า “อทีพ” และเทพธิดาแห่งปัญญา “เฮร่า”
พระเจ้าทั้งสองแต่งงานกันและให้กำเนิดเทพเจ้าและเทพธิดาที่จะนำทางมนุษยชาติ
ลูกสาวคนโต “อัลทีเซีย” เป็นตัวแทนของความกล้าหาญ
บุตรคนโต “กูรดิการ์” เป็นตัวแทนของอาวุธและเวทมนตร์
ลูกสาวคนต่อมา “เฮคาร์เทอร์ริน่า” เป็นตัวแทนของของชัยชนะและความรุ่งเรือง
ลูกสาวคนที่สาม “ลิเออร์ยูน่า” เป็นตัวแทนของการปกครองโชคชะตา
ลูกสาวคนที่สี่คือเทพธิดาแห่งการรักษา “ซีโนเบีย”
อทีพและเฮร่าทำงานร่วมกันเพื่อสร้างอาณาจักร
แต่ในขณะที่มนุษย์กำลังพัฒนา โลกของเหล่าเทพก็กำลังจะถูกทำลาย
พระเจ้าผู้ซึ่งก่อกำเนิดสิ่งชีวิตเริ่มไม่ลงรอยกันและโต้เถียงว่าใครเป็นผู้สร้างที่ยิ่งใหญ่ที่สุด จนในที่สุดเทพเหล่านั้นก็ได้คำตอบ
พวกเขาบอกให้ดูว่าสิ่งมีชีวิตใดที่พวกเขาสร้างแข็งแกร่งที่สุด
ในที่สุดก็เกิดการโต้เถียงกัน และแม้ว่าพระเจ้าแห่งน้ำ พี่คนโตในหมู่พวกเขาจะพยายามที่ห้าม แต่เขาก็กลับถูกลากเข้าสู่วังวนของการต่อสู้
เริ่มมีการแลกเปลี่ยนระหว่างชีวิตและความตายที่น่าสยดสยอง
เอลฟ์ กึ่งมนุษย์ ยักษ์และมังกร พวกเขาเข่นฆ่ากันเอง แต่เพราะความวุ่นวายของสงครามแห่งเผ่าพันธุ์ ทำให้มนุษย์ที่ได้รับการปกป้องจากเหล่าเทพเจ้าได้รับชัยชนะ
ก่อนที่ทุกคนจะรู้ตัวว่ามนุษย์ถือครองแผ่นดินและมีอิทธิพลที่ยิ่งใหญ่ที่สุด พวกเขาเผาป่า ทำลายภูเขา ขุดดินและรวบรวมแร่ที่มีค่าเพื่อเพิ่มการปกครอง
เผ่าพันธุ์อื่น ๆ ซึ่งเกลียดชังกัน เช่นเดียวกับที่พระเจ้าของพวกเขาได้กระทำไว้ แต่พวกเขาไม่มีอำนาจพอที่จะต่อสู้กับมนุษย์
พระเจ้าองค์หนึ่งมองไปที่ความน่ารังเกียจของสงคราม ในที่สุดเขาก็เสนอความคิด
ขอให้แม่ของพวกเขา ดีทน่ากลับมาและนำความสงบสุขสู่โลก จบการต่อสู้คือโง่เขลาเหล่านี้
พระเจ้าองค์อื่น ๆ เห็นด้วย แม้อำนาจของพวกเขาจะลดลงจากสงคราม
และประตูสู่โลกแห่งความตายก็เปิดออก
มารดาแห่งเทพเจ้า ดีทน่า พวกเขาอธิษฐาน “โปรดนำพาเราไปสู่สันติสุขมาสู่พวกเรา”
แต่สิ่งที่ทักทายพวกเขาจากอีกด้านหนึ่งคือรังของงู
งูจำนวนมหาศาลพุ่งจู่โจมพระเจ้าและพยายามพาพวกเขาไปสู่โลกแห่งความตาย
แต่งูไม่ใช่สิ่งเดียวที่ออกมาจากประตู เหล่ามอนสเตอร์ คนตายและสัตว์อสูรถูกปลดปล่อยออกมาสู่โลกใบนี้
เหล่าพระเจ้าที่ไม่รู้ว่าจะจัดการเช่นไร พวกเขาหวาดกลัววิกฤตในครั้งนี้
โลกที่บิดาของพวกเขาสร้างขึ้นเต็มไปด้วยความตาย นี่ทำให้พวกเขาเศร้าโศก
แม้แต่เอลฟ์ กึ่งมนุษย์ มังกรและยักษ์ที่พวกเขาสร้างขึ้นมาก็ล้มตายลงอย่างไม่หยุดหย่อน
แต่แล้วก็มีความหวังก็เข้ามา
มนุษย์ที่อทีพนำมาแม้เพียงเล็กน้อย แต่พวกเขาสามารถต่อสู้กับพลังแห่งความตายได้
เทพเจ้าจึงมุ่งความสนใจไปที่พระเจ้าของเหล่ามนุษย์
กึ่งมนุษย์ มังกร ยักษ์และเอลฟ์ตกอยู่ภายใต้การนำของอทีพ
อทีพและเฮร่าวางอัลทีเซียเป็นแนวหน้า ช่วยให้เธอสามารถเป็นผู้นำกองทัพ
จงแสดงความกล้าหาญของเจ้า!
ชักอาวุธออกมา!
เชื่อมั่นในโชคชะตา!
เพื่อชัยชนะและเกียรติยศ!
อัลทีเซีย ผู้นำกองทัพพันธุ์ผสม เธอได้ต่อสู้กับกองทัพที่ไม่มีที่สิ้นสุดแห่งความตาย
อัลทีเซียที่เป็นกองหน้านำการต่อสู้ด้วยดาบของเธอ กูรดิการ์อยู่ตรงกลางสร้างอาวุธและเวทมนตร์ ลิเออร์ยูน่าจะบันทึกผู้ที่จะตายจากโชคชะตาและเฮคาร์เทอร์ริน่าจะร้องเพลงสรรเสริญเพิ่มจิตวิญญาณ
หลังจากผ่านไปหลายร้อยปี พวกเขาก็สามารถขับไล่สัตว์ประหลาดกลับไปสู่โลกแห่งความตายได้
ในตอนที่ดาบของอัลทีเซียลากผ่านซากศพของดีทน่า การสู้รบก็สิ้นสุดลง
เหล่าเทพเจ้ารุ่นเก่าได้กล่าวขอบคุณเหล่าเทพเจ้ารุ่นใหม่ และพวกเขาก็กลับไปยังภูมิภาคของตนโดยมิได้โต้แย้ง พวกเขาตัดสินใจที่จะมีชีวิตอยู่ต่อโดยไม่เดินบนเส้นทางแห่งความขัดแย้งอีก
สำหรับสิ่งชีวิตที่พวกเขาสร้างขึ้นก็เช่นกัน
พวกเอลฟ์กลับไปยังป่า
กึ่งมนุษย์กลับไปยังทุ่งหญ้า
มังกรขึ้นไปบนภูเขา
พวกยักษ์กลับไปอยู่ใต้ผืนดิน
นี่คือยุคของพระเจ้ารุ่นใหม่อย่างแท้จริง
เมื่อเกิดความทุกข์ทรมานอัลทีเซียจะมา กูรดิการ์จะแก้ปัญหาด้วยเวทมนตร์และอาวุธของเขา ขณะทีลิเออร์ยูน่าจะนำโชคชะตาของผู้คนและเฮคาร์เทอร์ริน่าจะนำเกียรติยศและชัยชนะ
แต่ความรุ่งเรืองของพวกเขาอยู่ได้ไม่นานนัก
เพราะพระเจ้าผู้ปกป้องโลก อทีพได้หลงอยู่ในห้วงเสน่ห์ความงดงามของซีโนเบีย
เทพธิดาแห่งภูมิปัญญาเฮร่าเปลี่ยนรูปลักษณ์ของเธอ เมื่อหัวใจของอทีพเปลี่ยนไป
ขณะที่อัลทีเซียได้อยู่ในห้วงอารมณ์ของความหึงหวง
อาวุธและเวทมนตร์ของกูรดิการ์สร้างความสับสนวุ่นวายให้กับมวลมนุษย์ ทำให้เขาหยุดลง
ลิเออร์ยูน่าผู้ที่ควรจะช่วยชีวิตมนุษย์ให้พ้นจากความตาย ได้พบว่าตัวเองหลงใหลไปกับความตายของมนุษย์
เฮคาร์เทอร์ริน่าพบว่าตัวเองอยู่ในสภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกในการให้พรแก่ชัยชนะและความรุ่งโรจน์ จนในที่สุดเธอก็ลืมให้พรแก่มนุษย์
เมื่อเทพเจ้าอยู่ในช่วงวิกฤต จำนวนของมนุษย์ก็ค่อย ๆ ลดลง
ความเสื่อมโทรม ความเน่าเปื่อยและความหึงหวงแผ่ซ่านไปทั่ว ภัยพิบัติทำให้มนุษย์เริ่มหลงลืมความภาคภูมิใจที่พวกเขาเคยทำไว้ ขณะที่พวกเขาหวาดกลัวการเจ็บป่วยและความตาย
อัลทีเซียยังคงเผาผลาญความหึงหวงมากยิ่งขึ้น
ผู้ที่นำกองทัพและคนที่ขับไล่กองทัพแห่งความตายไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นเธอ
ทำไมถึงมีเพียงซีโนเบีย? ทำไมมีเพียงแค่เธอที่ได้รับความรักจากอทีพ?
เปลวเพลิงแห่งความอิจฉาเผาผลาญภายในใจของอัลทีเซีย อทีพที่เบื่อหน่ายกับเธอจึงมอบดินแดนแห่งความตายให้อัลทีเซียปกครอง
ดินแดนแห่งความตายถูกทิ้งไว้ตามลำพัง ตั้งแต่ดีทน่าจากไปและอยู่ระหว่างการถูกทำลายล้าง
ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปดินแดนแห่งความตายจะถูกทำลายลงในไม่ช้า
อัลทีเซียไปที่ดินแดนแห่งตายด้วยตัวเอง เธอดึงดาบของกูรดิการ์ออกจากซากศพของดีทน่า เธอสังหารงูที่เหลืออยู่ด้วยความโกรธและริษยา หลังจากเธอได้ปกครองดินแดนแห่งความตาย คราวนี้คนที่โจมตีมนุษย์ก็คือเธอ
เธอเอาชนะมนุษย์ได้ในพริบตา
อทีพที่ลืมทุกสิ่งทุกอย่างเพราะความรักของเขาที่มีต่อซีโนเบีย
เทพธิดาเฮร่าที่เปลี่ยนรูปลักษณ์ของเธอ
กูรดิการ์ที่ได้ตัดสินใจที่จะไม่สร้างความมหัศจรรย์หรืออาวุธขึ้นมาอีก
ลิเออร์ยูน่าที่พบว่าตัวเองสนุกกับการเล่นกับโชคชะตา
เฮคาร์เทอร์ริน่าผู้หลงลืมการให้พรและชัยชนะแก่ผู้คน
เพียงเมื่อพวกเขาถูกแทงด้วยดาบของอัลทีเซีย พวกเขาพึ่งเข้าใจถึงความโกรธและความสิ้นหวังของเธอ
เหล่าเทพเจ้าตื่นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อโลกครึ่งหนึ่งถูกยึดครองโดยอัลทีเซีย พวกเขารวมพลังเพื่อต่อสู้กับเธอ
อทีพกลับไปดูแลมนุษย์
เฮร่าส่องแสงแห่งความรู้ให้มนุษย์อีกครั้ง
กูรดิการ์เริ่มสร้างอาวุธและเวทมนตร์
ลิเออร์ยูน่าเริ่มใช้ด้ายแห่งชะตากรรมเพื่อนำทาง "วีรบุรุษ"
ซีโนเบียช่วยเหลือผู้บาดเจ็บให้หายดี
พระเจ้าร่วมกันทำงานเพื่อต่อสู้กับอัลทีเซีย
แต่ไม่มีใครสามารถต่อสู้กับอัลทีเซียได้ในแนวหน้า
งูยักษ์ที่จะทำลายโลกเมื่อคืบคลาน งูดำผู้ปกครองท้องฟ้าขณะบิน งูสองหัวที่ปกครองผืนน้ำและงูเพลิงที่เผาทุกอย่างด้วยเปลวเพลิงสีดำ
พวกเขาไม่มีใครสามารถหยุดยั้งอัลทีเซียได้
อทีพสิ้นหวังมากหลังจากที่เกิดภัยพิบัติขึ้น
ดังนั้นเขาจึงขอให้เทพเจ้ารุ่นเก่าช่วย
มีหลายคนลังเล แต่มันเป็นความจริงที่ว่าพวกเขาเป็นหนี้จากสงครามครั้งก่อน
ดังนั้นพวกเขาจึงเข้าร่วมและเป็นพันธมิตรของอทีพ
พวกเทพเจ้ารวมพลังกัน จนในที่สุดเขาก็สามารถที่จะผลักดันอัลทีเซียกลับไปสู่ดินแดนแห่งความตาย
อทีพและพระเจ้าองค์อื่นสาบานว่าจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับมนุษย์มากเกินไป เพื่อที่จะทำให้อำนาจของอัลทีเซียลดลง พวกเขาจึงเข้าสู่ห้วงนิทรา
นี่คือจุดสิ้นสุดของสงครามพระเจ้า
และม่านของประวัติศาสตร์ก็จบลง
◇◇◆
มันกลายเป็นตอนเช้าเมื่อเรื่องราวสิ้นสุด
คนที่ยังตื่นอยู่มีเพียงผมกับเรเชีย
แม้กระทั่งลิลลี่และกิซาร์ก็หลับไปแล้ว
"คุณเข้าใจมันไหมคะ? " เรเชียถาม
"อืม... "ผมตอบ
มีเพียงสิ่งเดียวที่ผมต้องยืนยัน
"เจ้าเคยเจอซีโนเบียมั้ย? " ผมถาม
“คะ? ฉันพูดไปแล้วไงว่าพระเจ้าจะไม่รบกวนมนุษย์อีก” เธอตอบ
"อัลทีเซียก็ด้วยเหรอ? "
"แน่นอนค่ะ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาจึงเข้าสู่ห้วงนิทรา"
ผมเข้าใจแล้ว
สำหรับมนุษย์ นี่ไม่ใช่อะไรนอกจากตำนาน หรืออัลทีเซียยังไม่ได้ถูกผนึกไว้? ในกรณีใดเธอไม่ได้ถูกกักขังดั่งตำนานที่มนุษย์เล่า
นอกจากนี้ยังกล่าวได้ว่าอาจจะมีพวกวีรบุรุษที่ผมต้องเจอจะปรากฏตัวขึ้น
--- จงแสดงความกล้าหาญของเจ้า?
ทำไมเมื่อผมได้ยินคำเหล่านี้ ผมไม่สามารถอดที่จะคิดถึงความกล้าหาญและใบหน้าที่เกรงขามของอัลทีเซีย เมื่อเธอสวมชุดเกราะ?
ขณะนั้นผมรู้สึกคันเพิ่มขึ้นจากงูสีแดงที่แขนขวา
"... นี่เป็นบทเรียนที่ดีมาก" ผมพูดขอบคุณเรเชีย
"ใช่มั้ยล่ะ? " เรเชียตอบด้วยรอยยิ้มขณะที่เธอกำลังจะหลับ
ผมต้องจำว่า คราวหลังจะต้องใช้ความระมัดระวังมากขึ้นเมื่อพูดคุยกับเรเชีย
อย่างไรก็ตามตอนนี้ผมควรเข้านอน...
◆◇◇◆◆◇◇◆
ผู้เขียน : เรเชียใช้เวลาเล่าเรื่องนี้นานกว่า 8 ชม