WS บทที่ 44 อันตรายที่ปราสาท PART 1
ณ ปราสาทของคาสเทลแลน
ในห้องประชุมขนาดใหญ่มี ออกัสติน คาสเทลแลน บารอนวิงกูล เจสันที่สวมชุดคลุมสีขาว
“พ่อมดเจสัน ตอนนี้ตระกูลขุนนางชั้นสูงทั้งหกตระกูลยกเว้นตระกูลวิลสันได้มารวมตัวกันหมดแล้ว เราควรเริ่มการประชุมเลยมั้ย” ออกัสตินถามอย่างใจเย็น
เจสันได้ชำเลืองมองออกัสตินกับบารอนวิงกูลอย่างไร้อารมณ์ เขาพูดพลางโบกมือว่า
“อย่าเพิ่งใจร้อนไป เดี๋ยวฉันจะพูดแผนการของฉันให้ฟัง อย่างที่ท่านพอจะทราบมาก่อนหน้านี้เกี่ยวพวกโจรที่คอยก่อความไม่สงบในบริเวณโดยรอบของเมืองแบล็กวอเตอร์ พวกเขาทั้งหมดล้วนอยู่ภายใต้คำสั่งของศาสนจักร ฉันต้องการให้พวกขุนนางอย่างพวกท่านนำกองกำลังออกไปปราบปรามพวกโจร พอพวกทหารออกไปหมดแล้วและใครจะปกป้องเมืองล่ะ?
เมื่อพวกเขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบาก พวกเขาจะยอมรับความช่วยเหลือจากทางโบสถ์และแสดงความภักดีอย่างไม่มีข้อสงสัย หากพวกเขาศรัทธาในเทพแห่งแสง พวกเขาก็คงจะยอมรับทันที เอาล่ะ จากนี้ก็ถึงคิวคุณแล้วบารอนคาสเทลแลน”
สีหน้าของออกัสตินเปลี่ยนทันทีที่ได้รู้เรื่องนี้ ก่อนหน้านี้เขารู้สึกว่าพวกโจรนั้นแปลก ๆ แต่เขาคาดไม่ถึงพวกโจรนั้นจะถูกพวกศาสนจักรส่งมา
‘ศาสนจักรอยู่เบื้องหลังทั้งหมดนี่!!!’
“พ่อมดเจสันโปรดมั่นใจในเรื่องนี้ ข้าจะพูดเรื่องนี้กับพวกเขาเอง ส่วนเรื่องของวิลสัน...”
เมื่อพูดถึงวิลสัน เจสันก็เงยหน้าหันไปมองบารอนวิงกูล เขาได้เผยรอยยิ้มเย็นออกมาและพูดว่า
“บารอนวิงกูล ฉันรู้ถึงความขัดแย้งของท่านกับบารอนวิลสัน ฉันจะมอบโอกาสให้ท่านได้แก้แค้น ปราสาทวิลสันจะถูกหายไปจากแบล็กวอเตอร์ ฉันจะฝากขังท่านในเรื่องนี้ นอกจากนี้ฉันจะส่งนักรบศักดิ์สิทธิ์อีกสองคนตามท่านไปด้วย คนของตระกูลวิลสันจะต้องถูกกำจัดทุกคน”
บารอนวิงกูลได้ยินอย่างนั้น เขาก็รู้สึกพอใจมาก เขาได้กล่าวด้วยเสียงต่ำว่า
“ท่านเจสัน โปรดวางใจในเรื่องนี้ ข้าจะจัดการตระกูลวิลสันให้สิ้นซาก!”
จากนั้นบารอนวิงกูลก็เดินออกไปทันที ตัวเขาได้ต่อสู้กับบารอนวิลสันมาตลอดหลายปี เขาได้แพ้แต่วิลสันมาหลายครั้งนั่นทำให้เขาเกลียดชังเข้ากระดูกดำ ในเมื่อมีโอกาสได้แก้แค้นเช่นนี้ เขาไม่มีทางปล่อยมันไปอย่างเด็ดขาด
“ทีรอธ นำอัศวินและนักรบศักดิ์สิทธิ์ของท่านเจสัน เขาไปทำลายปราสาทวิลสัน อย่าให้ใครมีชีวิตรอดออกจากที่นั่นได้”
“ท่านพ่อโปรดวางใจ ผมจะจัดการพวกมันให้สิ้นซากเอง แต่อย่างไรก็ตามผมได้ทราบมาว่าเมอร์ลินได้ออกจากเมืองไป ช่างน่าเสียดายที่ผมไม่มีโอกาสได้ฆ่ามันด้วยมือของผมเอง” ทีรอธกล่าวด้วยความชิงชังที่มีต่อเมอร์ลิน
“เจ้าหนูเมอร์ลินไม่มีทางชีวิตอยู่รอดจากพวกกลุ่มโจรนั่นหรอก เอาล่ะลูกรีบไปเดี๋ยวก่อนที่พวกมันจะรู้ตัว ฮึ! หลังจากนี้เป็นต้นไปตระกูลวิงกูลจะสู่ช่วงยุคทอง”
จากนั้นทีรอธได้นำอัศวินสองร้อยนายออกจากปราสาทคาสเทลแลน
...
นอกจากปราสาทวิลสัน ผู้เฝ้าประตูทั้งสองคนรู้สึกว่าง ทั้งสองยืนพิงประตูและพูดคุยกันอย่างเบื่อหน่าย
*กรุบ กรุบ*
ทันใดนั้นเอง รถม้าอัรหรูหราได้วิ่งมาจากระยะไกล นั่นทำให้ทหารยามตื่นตัวทันที พวกเขาจำรถม้าได้ นั่นเป็นรถม้าของคุณชายกัตต์ที่เป็นเพื่อนของคุณชายเมอร์ลิน
ไม่นานรถม้าก็หยุดอยู่หน้าปราสาท กัตต์กระโดดลงจากรถม้าและทหารยามได้เข้าไปต้อนรับอย่างรวดเร็ว
“สวัสดีครับ คุณชายกัตต์ หากท่านกำลังตามหาคุณชายเมอร์ลิน กระผมเกรงว่าท่านจะมาเสียเที่ยว เนื่องจากคุณชายเมอร์ลินได้เดินทางออกจากเมืองแบล็กวอเตอร์ไปเมื่อสองวันก่อนเพื่อเดินทางไปยังดินแดนของท่านบารอน”
“เมอร์ลินไม่อยู่อย่างงั้นเหรอ?” กัตต์ขมวดคิ้ว สีหน้าของเขาดูเป็นกังวลอย่างมาก “รีบพาฉันไปหาเมซี่ส์ที ฉันมีเรื่องสำคัญต้องบอกเธอ”
ทหารยามรู้ดีว่ากัตต์เป็นเพื่อสนิทของเมอร์ลิน เขาจึงไม่ขวางกัตต์และพาเข้ามาในปราสาททันที
เมซี่ส์ที่กำลังทานอาหารเช้าอยู่ เธอได้ยินเสียงฝีเท้าดังเข้ามา เธอเงยหน้าขึ้นมาก็พบว่าเป็นกัตต์ เธอได้ขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ เนื่องจากกัตต์กับแอนสันเป็นเพื่อนที่ไม่ดีและพาให้เมอร์ลินเสียคน
กัตต์ไม่สนใจท่าทีของเมซี่ส์ เขาเดินไปหาเธอและพูดว่า
“เมซี่ส์รีบออกจากที่นี่เร็วเข้า ทางที่ดีรีบไปที่ดินแดนของบารอนวิลสันและไปพบกับเมอร์ลินที่นั่น”
“เป็นอะไรไป เกิดอะไรขึ้นเหรอกัตต์” เมซี่ส์วางช้อนลงและมองไปที่กัตต์
กัตต์เห็นว่าฝ่ายตรงดูไม่พอใจเขาอย่างมากและพร้อมจะไล่เขาตลอดเวลา ดังนั้นเขาจึงเรียบร้องคำพูดให้ดีและพูดว่า
“ตอนนี้เกิดเรื่องใหญ่แล้วทางโบสถ์เทพแห่งแสงได้ทำการยึดเมืองส่วนใหญ่ในอาณาจักรแห่งแสงไปแล้ว พวกเขากำลังวางแผนที่จะโค่นล้มรางวงศ์!!!
ตระกูลของฉันมีธุรกิจอยู่ทั่วอาณาจักร ดังนั้นเราจะทราบข่าวเร็วกว่าคนอื่น ๆ และเมืองแบล็กวอเตอร์ก็เป็นหนึ่งในเป้าหมายของศาสนจักรด้วย
เธอและตระกูลวิลสันอยู่ในกลุ่มเสี่ยงมากที่สุดเนื่องบารอนวิลสันมาจากกองทัพและเขาสาบานว่าจะจงรักภักดีต่อราชวงศ์ ทางศาสนจักรไม่มีทางปล่อยเขาไปแน่นอน
นอกจากนี้ฉันยังรู้มาว่าคาสเทลแลน ออกัสตินกับตระกูลวิงกูลได้ร่วมมือกับทางโบสถ์แล้ว เธอพอมองออกใช่มั้ยว่าตอนนี้ตระกูลวิลสันของเธอไม่ปลอดภัย”
กัตต์ได้ร่ายยาวออกมาจนเขาแทบไม่หายใจ เขาต้องสูดหายใจเฮือกใหญ่เขาไป
ทางเมซี่ส์ หลังจากทราเรื่องใบหน้าของเธอซีดทันที เธอก้าวไปข้างหน้าและเขย่าตัวกัตต์เบา ๆ “แล้วท่านพ่อกับท่านพี่ล่ะ พวกเขาตกอยู่ในอันตราบรึเปล่า”
กัตต์ส่ายหัว “ฉันไม่รู้ ยังไม่มีข่าวที่เกี่ยวกับบารอนวิลสันกับเมอร์ลินส่งมาหาฉันเลย แล้วอีกอย่างนะตอนนี้ประตูเมืองได้ถูกปิดแล้วและไม่มีใครสามารถเข้าออกได้ หากฉันรู้เรื่องของพวกเขาฉันจะบอกให้เธอรู้เป็นคนแรกเลย แต่เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน เธอต้องหนีออกจากปราสาทวิลสันให้เร็วที่สุด” จากนั้นกัตต์ก็เงียบราวกับกำลังตัดสินใจอย่างบางอยู่ในหัว
จากนั้นเขาก็ได้เปิดปากพูดว่า “และอีกอย่างรถม้าของฉันบรรจุได้เพียงห้าคนเท่านั้น ฉันจะพาพวกเธอออกจากปราสาทและพาไปซ่อนที่บ้านของฉัน เมื่อเหตุการณ์สงบลงฉันจะหาทางพาเธอออกจากเมือง”
เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้กัตต์ก็เสี่ยงไม่แพ้กัน หากเขารู้จับได้เขาก็จะเป้นผู้สมรู้ร่วมคิดทันที
เมซี่ส์หันไปมองพ่อบ้านและรอการตัดสินใจของเขา
พ่อบ้านมองกัตต์และก้มศีรษะของสุดซึ้ง “ขอบพระคุณมากครับคุณชายกัตต์ที่เต็มใจที่จะเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยตระกูลของเรา บุญคุณครั้งพวกเราจะไม่มีวันลืม เอาล่ะ คุณหนูเมซี่ส์พวกเรารีบออกจากปราสาทตามที่คุณชายกัตต์บอกจะดีกว่า”
กัตต์พยักหน้า “เตรียมตัวให้พร้อม ฉันจะรอพวกคุณในรถม้า”
จากนั้นกัตต์ก็เดินไปที่รถม้า ในระหว่างทางเขาได้เห็นกลุ่มอัศวินที่ดูดุร้ายกำลังมุ่งตรงมาที่ปราสาทวิลสัน
“แย่แล้ว!! ทีรอธพาคนของเขามาที่นี่แล้ว เสร็จกัน! พวกเราหนีไม่ทันแล้ว!!” กัตต์กล่าวด้วยใบหน้าที่ซีดเผือด ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยวความหวาดกลัว