Chapter 38: เมอรี่คริสมาสต์! -3 (ส่วนที่ 2)
“เขา...” เจนาลเปิดปากขึ้น “ท่านนักบุญ เขา...อยู่กับพวกเรา”
เสียงของเขาเบามาก ไม่มีใครได้ยินที่เขาพูดเลย
เขากัดฟันและตะโกนออกมาจนเส้นเลือดตรงคอของเขาพองตัวขึ้น “ท่านนักบุญ!!”
ไฮส์ นักโทษและทหารต่างสะดุ้งก่อนที่จะหันมามองเจ้าเมืองของพวกเขา
“...เขาอยู่กับพวกเรา!!”
ดวงตาของทหารและนักโทษต่างโตมากขึ้นเรื่อยๆ
“นักบุญที่ได้รับการอวยพรจากเทพีแห่งไกอาต่อสู้ร่วมกับพวกเรา! เขาเป็นหลานชายของมหาวีรบุรุษ จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เคลต์ ออโฟเซ่! เจ้าชายองค์ที่เจ็ดกำลังต่อสู้เพื่อพวกเรา!”
เจนาลคำรามออกมาดังก้อง เขาชี้ไปที่ดาบของเขาใส่กำแพงด้านนอกที่พังลง อันเดทกำลังล้มลงอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่มันเหยียบลงไปบนธารน้ำและพวกที่เหยียบลงไปยังศพที่กำลังละลายอยู่มันก็ละลายตัวเองด้วยเช่นกัน
เขาชี้ไปที่กองทัพอันเดทที่กำลังเข้ามาใกล้กับพวกเขาเรื่อยๆ
“พวกเราไปต่อสู้ร่วมกันกับนักบุญเถอะและกำจัดอันเดทเหล่านี้!”
เขาวิ่งไปด้านหน้า
“เพื่อความรุ่งโรจน์ของจักรพรรดิและเพื่อความรุ่งโรจน์ของเทพีไกอา!!”
ทหารทั้งหมดและนักโทษต่างชักอาวุธของพวกเขาออกมา หลังจากที่เห็นเจ้าเมืองพุ่งเข้าไปท่ามกลางฝูงชน
“โอววว โอ้!!”
ไฮส์สับสนกับภาพที่เกิดขึ้น แต่หลังจากนั้นเขาก็จมอยู่กับบรรยากาศนี้เช่นเดียวกันและชักดาบของเขาออกมา
ทหารและนักโทษทุกคนต่างพุ่งเข้าใส่อันเดท
ทั้งสองฝ่ายต่างปะทะใส่กันและมันทำให้เลือดสาดกระจายไปทั่วทุกแห่ง
ในขณะที่เห็นสถาพที่เกิดขึ้น เจ้าชายบ่นกับตัวเองอยู่ภายใต้หน้ากากนั่น เขานั้นพยายามที่จะปิดบังตัวตนของเขาไว้เป็นอย่างดี แต้เจ้าเมืองนั่นยังป่าวประกาศให้ทุกคนรู้ถึงตัวตนของเขาอีก! มันทำให้เขาหงุดหงิดมาก
“ท่านโอเคไหมครับ ฝ่าบาท?”
ในเวลาเดียวกัน ฮาร์แมนเดินเข้าไปหาเจ้าชายและเขาดูกังวล
“..ฉันใช้พลังศักดิ์สิทธิ์มากเกินไป”
หลังจากที่เห็นเจ้าชายดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์ลงไป ฮาร์แมนก็ยิ้มอย่างขมขื่น เขาเรียกทหารออกมาและสั่งให้ปกป้องเจ้าชายทันที
ในขณะที่ดาบและหอกต่างฟัน แทงกันกับฝูงอันเดท ลูกธนูและลูกหน้าไม้ต่างล่วงลงมาจากอีกฟากฝั่งหนึ่งของกำแพงที่พังลง น้ำมันก็ถูกราดลงไปและมันก็เผาลงไปยังสิ่งมีชีวิตด้านล่างของพวกมัน
อันเดทยังคงพุ่งไปด้านหน้าอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีความคิดอะไรทั้งนั้น ก่อนที่จะถูกฆ่าตายอย่างรวดเร็ว
“ท่านนักบุญอยู่กับพวกเรา!!”
“สายเลือดของมหาวีรบุรุษ เคลต์ ออโฟเซ่กำลังช่วยพวกเราอยู่!”
“ท่านเจ้าชายก้าวขึ้นมาเป็นแนวหน้าให้กับพวกเรา!”
กำลังใจของพวกเขาต่างพุ่งสูงขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นทหารหรือจะเป็นนักโทษ พวกเขาต่างหลุดพ้นออกมาจากโซ่ของความหวาดกลัว
**
(มุมมองของอัลเลน)
“นี่มัน น่ามหัศจรรย์มากเลย”
ฉันที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ที่อยู่ไม่ห่างออกไปจากกำแพงที่พังลง กำลังนั่งดูการต่อสู้ที่เกิดขึ้น
ฉันได้ยินมาจากที่ไหนสักแห่งว่าผู้คนนั้นเป็นสัตว์ป่าที่ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของช่วงเวลานั้น มันเห็นได้เด่นชัดว่าพวกเราจะรู้สึกหวาดกลัวกับแรงกดดันที่ได้รับมาจากคนรอบข้าง หรือจะรู้สึกตื่นเต้น หลังจากที่ถูกกระตุ้น
และในเวลานี้ มันรู้สึกแบบนั้น
“การกระตุ้นพวกเขาเป็นเรื่องที่ดีนะ แต่ว่า…”
-คำอวยพรของเทพีไกอานั้นอยู่กับพวกเรา…!
-เจ้าชายอยู่กับพวกเรา!
-หลานชายของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ อัลเลน ออโฟเซ่ที่กลายเป็นนักบุญ เขากำลังจะช่วยพวกเราอยู่!
..ทำไมพวกเขาถึงเอาแต่พูดถึงชื่อฉันอย่างไม่หยุดหย่อนกัน?! และใครกันวะที่เป็นนักบุญ? นี่มันเรื่องไร้สาระอะไรกันเนี่ย
มันดูเหมือนกับว่าคนจากโลกใบนี้ต่างเป็นพวกชอบคิดไปเอง
ฉันอดที่จะเดาะลิ้นไม่ได้
ปกติแล้วพวกเขาจะสูญเสียเหตุผลไป หลังจากที่หลบหนีออกมาจากเงื้อมมือของความกลัวได้ หรือว่าพลังศักดิ์สิทธิ์มันมีผลข้างเคียงกัน?
“เอาเถอะ มันก็ยังดีแหละ ตอนนี้ฉันเรียกอันเดทออกมาไม่ได้แล้ว”
เอาละ ฉันไม่สามารถเรียกอันเดทได้ แต่ฉันก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรด้วยเช่นกันตอนนี้ ดังนั้นมันก็เป็นผลลัพธ์ที่ดีกับฉันแล้ว
ปึก! ปึก!
เสียงเดินที่ดังกึกก้อง ได้ดังออกมาจากระยะที่ไกลออกไป
ฉันหันเหความสนใจออกไปด้านนอกกำแพง
“มันเป็นซอมบี้ออร์ค!”
ยักษ์สูงสี่เมตร ออร์คได้ปรากฏตัวขึ้น มันเป็นสัตว์ประหลาดที่มาพร้อมกับเนื้อเน่า มันก้าวข้ามธารน้ำที่เต็มไปด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ มันเหวี่ยงไม้ในมือของมัน
ด้วยการเหวี่ยงของมันแต่ละที ทหารสี่หรือห้าคนกระเด็นออกไป ในขณะที่ร้องโอดควรญอย่างเจ็บปวด ก่อนที่จะชนเข้ากับพื้น
ฉันปิดตาลงหลังจากที่เห็นภาพที่เกิดขึ้น การโดนโจมตีแบบนั้นมันก็หมายถึงมันไม่มีเวลาที่จะรู้สึกเจ็บปวดด้วยซ้ำ มันคงจะตายทันทีเลยละ
ทหารแทงหอกออกไปด้านหน้า ยังไงก็ตาม หนังของเจ้าสัตว์ประหลาดมันไม่สามารถที่จะถูกแทงทะลุด้วยอาวุธเหล่านั้น ยังไงก็ตาม มีใครบางคนกระโดดเข้าใส่เจ้าสัตว์ประหลาดนั้น
“โอ้ พระเจ้าแห่งสงคราม ไฮม์...!”
พาลาดินฮาร์แมนได้ใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ลงไปในดาบของเขา และสายตาของเขาเย็นชาอย่างมาก เขาได้ตัดหัวของเจ้าออร์คได้อย่างเรียบเนียน
หัวที่ถูกตัดกระเด็นลงบนพื้น
ฉันอุทานออกมาอย่างตกใจ “โอ้ว! โคตรทรงพลังเลย!”
ฮาร์แมนคนเดียวก็จัดการซอมบี้ออร์คได้อย่างงายดายแล้ว ในขณะที่ทหารวิญญาณคนตายหลายสิบตัวก็ไม่สามารถจะเอาชนะได้
พร้อมกับเหตุการณ์ที่มันเป็นแบบนี้แล้ว ฉันก็พบว่าฉันไม่จำเป็นต้องทำอะไรอีกแล้ว [คำอวยพร] น่าจะมากพอแล้วละ แม้ว่ามันจะจบลง เจ้าทหารเหล่านี้กำลังจมอยู่กับความบ้าคลั่ง พวกเขาคงจะไม่เสียกำลังใจแล้วละ
มันเหมือนกับว่าฉันไม่จำเป็นต้องเรียกอันเดทของฉันออกมาป้องกัน....
-เจ้าพวกชั้นต่ำที่ทำให้โลกใบนี้แปดเปื้อน! ชำระบาปด้วยชีวิตของพวกเจ้าซะ!
ฉันปิดจมูกอย่างรวดเร็ว กลิ่นเหม็นเน่านั้นฉุนจมูกของฉันมาก
ฉันหันกลับมองออกไปด้านนอกกำแพง
มันเป็นสัตว์ประหลาดสูงสามเมตรที่มีร่างกายบึกบึน มันเดินออกมาด้วยท่าทางที่ไม่มั่นคง ในขณะที่มันมีผมสีขาวและทำทรงผมเหมือนกับขุนนางยุคกลาง และแต่งกายด้วยชุดสุภาพที่เปื้อนเลือด
มันเป็นเคานต์แวมไพร์
ดวงตาของเจ้าสัตว์ประหลาดยักษ์นั่นเต็มไปด้วยความกราดเกรี้ยว มันเหวี่ยงมือของมันไปมา พร้อมกับปลดปล่อยแสงสีแดงออกมา
ทหารนับสิบคนก็ระเบิดออกกลางอากาศ ก่อนที่พวกเขาจะหล่นลงพื้นอย่างทำอะไรไม่ได้ พวกเขาคงจะตายกันในทันที เมื่อพวกเขาไม่ได้ขยับตัวอีกต่อไป หลังจากที่ลงบนพื้น
มันอยู่เพียงแค่แปปเดียวเท่านั้น ทหารที่ล้มลงก็ตัวกระตุก ก่อนที่จะลุกขึ้นยืนมาใหม่เป็นซอมบี้ มันพุ่งเข้าใส่ทหารและนักโทษที่ยังมีชีวิตอยู่
“....”
บ้าอะไรวะเนี่ย? เดี๋ยวนะ...มันเป็นแวมไพร์ที่ฉันยิงไปเมื่อไม่กี่วันก่อนใช่ไหม?
ร่างกายที่อ้วนท้วมของมันเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแล้ว ตราบเท่าที่ความทรงจำของฉันยังดีอยู่ มันก็ไม่สามารถที่จะยืนด้วยสองขาด้วยซ้ำ และมันยังต้องถูกลากออกไปโดยซอมบี้ตัวอื่นอีก แต่ตอนนี้มันยืนด้วยตัวของมันเองได้แล้วเหรอ?
เจ้าเวรนี่สะบัดมือไปมา พร้อมกับปลดปล่อยพลังมารของมันไปมาทั่วทุกแห่งตามที่มือของมันสะบัดไป เพื่อสร้างแรงกดดันกับทหารที่ยังมีชีวิตอยู่
ฮาร์แมนคำรามออกมาและพุ่งเข้าใส่แวมไพร์ตนนั้น ยังไงก็ตาม เจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้สามารถที่จะปัดดาบของฮาร์แมนได้ด้วยมือของมันที่ส่องประกายสีแดงออกมา
-ไอ้เวรนั่นอยู่ไหนกัน?! ไอ้นักบวชนั่นที่ทำให้ข้าพบกับความอับอายที่ไม่สามารถให้อภัยได้ก่อนหน้านี้!
เคานต์แวมไพร์กวาดตามองไปทั่วสนามรบ
ฉันพยายามทำตัวเองให้เล็กลงมากที่สุด เมื่อฉันเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น
บ้าอะไรวะ? มันกำลังมองหาฉันอยู่งั้นเหรอ?
-ข้าพูดว่าไอ้นักบวชนั่นที่ทำให้ฉันเสียเกียรติมันอยู่ไหน?!
…แน่นอนละ มันคือฉันเองละ
แม่งเอ้ย ไม่ใช่ว่าเอ็งเป็น ‘เคานต์’ แวมไพร์งั้นเรอะ เอ็งยังใจแคบอยู่อีก เอ็งยังมาตามหาฉันเพราะฉันยิงเอ็งไปนัดเดียวเนี่ยนะ...
ฉันหมายความว่า สิ่งที่ฉันทำให้มันเจ็บปวดมากขนาดนั้นใช่ไหม...?
“..เอาละ ฉันคิดว่ามันเจ็บค่อนข้างหนักเลยนะ”
ฉันเดาะลิ้น
ในเวลาเดียวนั้นเอง เคานต์แวมไพร์สะบัดมือของมันอีกครั้งหนึ่ง ทหารยับสิบคนกระเด็นก่อนที่มันจะหันมาจ้องทางฉัน
-ข้าสัมผัสได้ถึงกลิ่นอันเหม็นเน่า!
...เห้ย ฉันตัวเหม็นขนาดนั้นเลย?
ฉันรีบก้มมองดูตัวเอง มีเพียงแค่ตอนนี้ที่ฉันตระหนักได้ว่ามันมีละอองธุลีของพลังศักดิ์สิทธิ์ไหลออกมาจากตัวของฉัน บางทีมันอาจจะเป็นเพราะว่าฉันได้ใช้ [คำอวยพร] มาสักพักหนึ่งแล้ว
แม่งเอ้ย!
ฉันลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้
เคานต์แวมไพร์ฉีกยิ้มก่อนที่จะวิ่งมาทางฉัน ในขณะที่เหวี่ยงทหารที่ขวางทางกระเด็นออกไป
-ไอ้ชั้นต่ำ! ข้าจะกลืนกินเจ้าแบบเป็นๆ!
ฉันรีบเรียกปืนคาบศิลาออกมา
ฉันไม่ได้วางแผนที่จะสู้กับเคานต์แวมไพร์ตรงๆ ถ้าฉันทำแบบนั้นแล้ว ฉันคงจะตายอย่างแน่นอน
“นั่นหมายความว่าฉันก็ไม่ได้จะปล่อยให้แกฆ่าฉันได้หรอกนะ”
นี่คือการดิ้นรนในการเอาชีวิตรอดของฉัน
ฉันยกปืนคาบศิลาขึ้นมาและเล็งไปที่แวมไพร์