บทที่ 56 โทร์วแมนริงส์ (1)
เบเนียงรอเฟรย์อยู่หน้าหอคอยอย่างใจจดใจจ่อ
‘ฉันควรตามพวกเขาไปดีไหม?’
ดูเหมือนว่ามันจะไม่ใช่แค่การไปพูดคุยกันธรรมดา ๆ
เบเนียงนึกถึงดูเกนจาร์
ในบรรดาผู้บริหารของไพลส์ฟาวเดอร์อาร์เมลท์ชายคนนั้นเป็นคนที่อาจกล่าวได้ว่ามีความเกลียดชังต่อโทร์วแมนริงส์มากที่สุด
ก่อนหน้านี้เมื่อโทร์วแมนริงส์เป็นหนึ่งในสี่เซอร์เคิลที่ใหญ่ที่สุด ดูเกนจาร์จะจ้องมองพวกเขาด้วยสายตาที่ดุร้ายในการประชุมทุกครั้ง
มันก็เหมือนเดิมแม้ว่าโอเซลอาร์เจนโต้มาสเตอร์คนก่อนจะยังมีชีวิตอยู่
เมื่อใดก็ตามที่โอเซลมองเขาด้วยรอยยิ้มที่นุ่มนวลดูเกนจาร์จะหันหน้าหนีด้วยเจตนาร้ายในสายตาของเขา
อย่างไรก็ตามหลังจากที่โอเซลเสียชีวิตและเซอร์เคิลเริ่มเสื่อมลงสถานการณ์ได้เปลี่ยนไป
เบเนียงมีปัญหาในการพูดหลังจากที่เธอได้เห็นการจ้องมองของเขา ไม่...มันไม่ใช่แค่ดูเกนจาร์เพียงคนเดียว
ไม่มีใครอยากเป็นมิตรกับเซอร์เคิลที่เริ่มตกต่ำ
"อา…!"
จากระยะไกลเธอเห็นเฟรย์เดินใกล้เข้ามา
เบเนียงวิ่งมาหาเขา
“ทุกอย่างโอเคไหม?”
"อืม"
เมื่อเฟรย์พยักหน้าด้วยสีหน้าสงบเบเนียงกลับรู้สึกสับสนเล็กน้อย
ไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริงๆหรือ?
จากสิ่งที่เธอเห็นดูเหมือนจะไม่มีอะไรผิดปกติ
“แล้วออเนอดูเกนจาร์ละ…?”
“เขากลับไปแล้ว”
“ออเนอดูเกนจาร์…นี้นะกลับไปแล้ว?”
“ฉันอธิบายสถานการณ์ทั้งหมดและเขาก็เชื่อ”
“…”
มันไม่สมเหตุสมผล
เบเนียงพบว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะเชื่อคำพูดของเฟรย์แต่เธอรู้สึกว่าจะไม่ได้รับคำตอบแม้ว่าเธอจะยังคงถามต่อไป
เธอทำได้เพียงแค่ทำสีหน้าสับสน
“…คุณทำธุระของคุณเสร็จแล้วหรือยัง?”
"ใช่ฉันคิดว่าเราสามารถออกเดินทางได้ทันที ฐานใหญ่ของโทร์วแมนริงส์อยู่ที่ไหน?”
“ในป่าพายซิสโกห่างจากอูเทียโน่ประมาณสามวันหากเดินทางด้วยเท้า”
"ด้วยเท้า?"
“ฉันขอโทษแต่ถนนนี้นั้นไม่ได้รับการพัฒนาเพียงพอที่จะให้รถเกวียนขับไปได้และไม่มีหินวาร์ปอีกด้วย”
เบเนียงยิ้มอย่างเชื่องช้าและเฟรย์ก็แค่พยักหน้า
พวกเขาซื้ออาหารน้ำดื่มและอุปกรณ์ตั้งแคมป์จากร้านค้าทั่วไปในบริเวณใกล้เคียงและเดินทางออกจากอูเทียโน่ทันที
และการเดินทางระยะสั้นของพวกเขาก็ได้เริ่มขึ้น
อย่างที่เบเนียงบอกถนนยังไม่พัฒนามาก
แม้ว่าจะใช้เวลาเดินเพียงไม่นานแต่เนื่องจากถนนบนภูเขานั้นขรุขระ มันก็เลยค่อนข้างเหนื่อย
มันอาจจะเป็นเรื่องยากมากสำหรับเขาหากเขาไม่ได้ฝึกร่างกายตอนอยู่ในหอคอย แต่ตอนนี้มันเฉยๆสำหรับเขา
เบเนียงก็ดูเหมือนจะไม่เหนือยเช่นกัน
ไม่สิเธออาจจะรู้สึกสบายกว่าเฟรย์เสียอีก
ก่อนที่พวกเขาจะข้ามภูเขาเล็กๆเฟรย์หยุดเดินและหันกลับไปมอง
เมื่อพระอาทิตย์ตกที่เป็นสีแดงเมืองอูเทียโน่ก็ดูเล็กมากจากระยะไกล
ทิวทัศน์ที่สวยงามทำให้หัวใจของเขาอบอุ่น
‘ลองคิดดูนี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเดินทางด้วยเท้านับตั้งแต่กลับมา’
เพื่อไปยังเคาซิมโฟนีเขานั่งเรือจากนั้นเพื่อไปยังจุดหมายปลายทางอื่นๆเขาก็ได้ใช้หินวาร์ป
พวกเขาเดินทางสะดวกสบายและมีประสิทธิภาพ
ไม่สิมันเหมือนกับการ "ย้าย" มากกว่าการเดินทางจริงๆ
นี่ไม่ได้หมายความว่าการเดินทางในปัจจุบันเป็นเรื่องที่น่ารำคาญและยากลำบากแต่กลับมีความสวยงามในตัวของมันเอง
เฟรย์ชอบที่จะเดินทางไปเรือยๆและเขาชอบมองทิวทัศน์โดยรอบเป็นพิเศษ
เบเนียงไม่ได้เร่งรีบเขาและเข้ากับจังหวะที่ผ่อนคลายของเฟรย์แทน
วันแรก
เมื่อดวงอาทิตย์ตกในที่สุดเฟรย์และเบเนียงก็ตั้งแคมป์
น่าแปลกที่เบเนียงคุ้นเคยกับการตั้งแคมป์มาก
แม้จะอยู่บนถนนของภูเขาเธอก็ยังสามารถหาพื้นที่ในระดับที่เหมาะสมสำหรับการตั้งแคมป์และทำแคมป์ไฟและวางถุงนอนอย่างชำนาญ
เธอยังเสนอตัวทำอาหารเย็นเองด้วยซ้ำ
เธอมีกระเป๋าซับสเปซเหมือนกับเฟรย์
จากนั้นเธอก็เอาเครื่องครัวและส่วนผสมออกมาแล้วเริ่มทำซุปทันที
มันดีกว่าที่เขาคาดไว้เฟรย์จึงประหลาดใจ
เบเนียงยิ้มขณะยื่นชามซุปให้เฟรย์
“ฉันหวังว่ามันจะเป็นรสชาติที่คุณชอบ”
เขาจิบและพบว่ามันอร่อยมาก
เมื่อเฟรย์ชมว่ามันเป็นรสชาติที่ยอดเยี่ยมเบเนียงก็ยิ้มอย่างสดใสราวกับว่าเธอได้ลอยขึ้นไปแล้ว
“คุณอยากได้อีกชามไหม?”
"รบกวนด้วย"
"โอเค!"
เมื่อมองไปที่การกระทำของเธอเช่นนี้ไม่มีใครเชื่อหรอกว่าเธอเป็นถึงเซอร์เคิลมาสเตอร์หรือลูกครึ่งมังกร
เธอรู้สึกเหมือนเป็นเด็กบ้านนอกที่ไร้เดียงสามากกว่า
หลังทานอาหารเสร็จเฟรย์ก็พูด
“คนที่เป็นเซอร์เคิลมาสเตอร์คนก่อน คุณบอกว่าชื่อของเขาคือโอเซลอาร์เจนโต้ใช่มั้ย?”
"ถูกตัอง"
“เดมิก็อดคนไหนที่ฆ่าเขา?”
เบเนียงตัวแข็ง
จากนั้นเธอก็ยิ้มอย่างขมขื่นและหันไปหาเฟรย์
“…คุณกำลังถามคำถามที่ละเอียดอ่อนมาก”
'อา'
เขาคิดในใจว่าคำถามของเขาอาจทำร้ายจิตใจเธอเกินไป
มันเกิดขึ้นอย่างกระทันหันจนเขาไม่ได้ต้องไตร่ตรองวิธีการพูดที่ตรงไปตรงมาของเขา นับตั้งแต่เขากลับมาความคิดของเขาก็มุ่งเน้นไปที่ประสิทธิภาพมากกว่าความรู้สึก
เขาไม่ได้มีบุคลิกที่เป็นมิตรมากเมื่อ 4,000 ปีก่อนแต่มันก็ไม่ได้แย่ขนาดนี้
"ฉันขอโทษ"
เฟรย์โค้งหน้าลง
เบเนียงโบกมือเธอด้วยความอาย
“ไม่เป็นไร ฉันได้เรียนรู้ที่จะยอมรับการตายของพ่อแล้ว ถ้าฉันปล่อยให้ตัวเองหมกมุ่นอยู่กับมันป่านนี้โทร์วแมนริงส์ก็คงไม่เหลือแล้วละ”
“…”
“คุณรู้จักเดมิก็อดมากแค่ไหน?”
“ฉันรู้ว่าพวกเขาเป็นสิ่งมีชีวิตที่เหนือกว่าความเข้าใจของมนุษย์”
เนื่องจากเฟรย์อยากได้ยินเกี่ยวกับเดมิก็อดจากมุมมองของเซอร์เคิลมาสเตอร์เขาจึงทำเหมือนว่าเขาไม่รู้อะไรมาก
เบเนียงพยักหน้าโดยไม่มีความคิดแปลกๆเกี่ยวกับการตอบสนองของเขา
“ฉันยังไม่สามารถบอกคุณได้ทุกอย่างเนื่องจากคุณยังเป็นคนนอกอยู่”
“แปลว่าฉันจะสามารถเรียนรู้ได้ถ้าฉันเข้าร่วมโทร์วแมนริงส์ใช่ไหม?”
เบเนียงยิ้มสดใส
"แน่นอน ด้วยความสามารถของคุณ คุณจะกลายเป็นผู้บริหารได้ในทันที แต่สำหรับตอนนี้ฉันจะบอกคุณแค่สิ่งที่ฉันพูดได้เท่านั้น”
"ขอบคุณสำหรับสิ่งนั้น"
เบเนียงมองเข้าไปในแคมป์ไฟสักครู่ก่อนจะพูด
“เดมิก็อดก็มีระดับที่แตกต่างกัน คนที่สามารถสั่งการเหล่าเดมิก็อดทั้งหมดได้เราเรียกเขาว่าลอร์ด”
“…”
ดวงตาของเฟรย์สั่นไหว
ลอร์ด
เขาลืมไปได้ยังไงกัน?
เขาอดไม่ได้ที่จะคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้น
มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่เขาได้พบหลังจากที่เขาไปถึงระดับ 9 ดาว สิ่งมีชีวิตที่ใช้พลังที่น่าทึ่งและผนึกเขาไว้ในอเวจี
เฟรย์หลีกเลี่ยงที่จะคิดถึงเรื่องนี้ให้มากที่สุด
นี่เป็นเพราะเขายังไม่มีวิธีที่จะเอาชนะสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังที่บดขยี้เขาได้แม้ว่าเขาจะเป็นนักเวทย์ระดับ 9 ดาวก็ตาม
ในขณะนั้นเฟรย์ตระหนักว่าข้อมูลนี้ถูกซ่อนจากเขาโดยเจตนา
‘เซอร์เคิลรู้เรื่องของลอร์ด’
ในอดีตเชพเพิร์ดเคยบอกเขาว่าพวกเขาไม่มีความรู้เกี่ยวกับพวกเดมิก็อดมากนัก
ตอนนี้เฟรย์ตระหนักแล้วว่านั่นเป็นเรื่องโกหก
แน่นอนว่าเขาไม่รู้สึกว่าเขาถูกหักหลังหรือผิดหวังในตัวเชพเพิร์ด
ตอนนั้นเชพเพิร์ดยังไม่เชื่อใจเฟรย์มากนักและคงจะไม่กล้าบอกความจริงกับเขา
ในความเป็นจริงมันค่อนข้างแปลกที่เบเนียงบอกความลับนี้กับเขา
“และแม้แต่ในกลุ่มของเดมิก็อด ก็มีบุคคลที่มีพลังมหาศาลเราเรียกพวกเขานี้ว่า [อะโพคาลิปส์] เพื่อให้ง่ายต่อการจำแนก…”
“อะโพคาลิปส์…?”
“แม้ว่าพวกเขาจะไม่แข็งแกร่งเท่าลอร์ด แต่พวกเขาก็ยังแข็งแกร่งพอที่จะมีอิทธิพลบางอย่างในหมู่ของเดมิก็อด”
เบเนียงชู้สามนิ้ว
“เราได้ค้นพบอำนาจของอะโพคาลิปส์ทั้งสามคนนั้นก็คือ 'ดาบ' 'พิษ' และ 'ความตาย'”
ตอนแรกดูเหมือนว่าคำเหล่านี้จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแต่เฟรย์รู้จักตัวตนของหนึ่งในนั้น
เดมิก็อดผู้ควบคุมพิษ
ชายชราน่าเกลียดที่มีจุดต่างดำมากมาย
'ชายชราคนนั้นแข็งแกร่งจริงๆหากเทียบในหมู่เดมิก็อด'
ดูเหมือนว่าเมื่อเวลาผ่านไปเดมิก็อดเช่นชายชราคนนั้นซึ่งมีพลังมากกว่าคนอื่นๆถูกแยกประเภทออกจากคนอื่นๆ
“พ่อของฉันถูกฆ่าโดยเดมิก็อดที่มีพลังแห่งความตายเมื่อไม่นานมานี้เอง เมื่อสองปีก่อน”
“นั่นคือตอนที่โทร์วแมนริงส์เริ่มได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงหรือ?”
"ใช่"
เบเนียงพูดอย่างขมขื่น
“เซอร์เคิลของเราใช้พละกำลังเต็มที่ในการต่อสู้เป็นผลให้เราได้รับความเสียหายอย่างหนัก”
“แล้วตัวเดมิก็อดเองล่ะ?”
“…”
เธอยิ้มอย่างขมขื่นและนิ่งเงียบนั่นคือคำตอบ
หากพวกเขาประสบความสำเร็จในการปราบเดมิก็อดเธอจะไม่นิ่งเฉยแน่นอน
เฟรย์ต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเดมิก็อดแต่เมื่อจำความผิดพลาดครั้งก่อนของเขาได้เขาก็ไม่สามารถเปิดปากได้ง่ายๆ
"ฉันจะยังคงพอใจกับข้อมูลมากมายที่ฉันรู้ในตอนนี้"
หลังจากนั้นพวกเขาก็มีบทสนทนาเล็กๆน้อยๆที่เฟรย์จงใจเลี่ยงที่จะพูดถึงเซอร์เคิล
เธอโกหกไม่เก่งเลย
เธอยังแสดงให้เขาเห็นต่างหูของเธอซึ่งเธอมักจะซ่อนไว้
“นี่คือต่างหูไต้ฝุ่น มันเป็นหนึ่งในเครื่องมือวิเศษไม่กี่ชิ้นที่สร้างโดยมหาจอมเวทย์ลูคัสโทรว์แมน เพียงแค่ใส่มานาเข้าไปคุณก็จะสามารถสร้างเกราะป้องกันเวทย์มนตร์ได้ ความแข็งแกร่งของเกราะยังเกี่ยวข้องโดยตรงกับความแข็งแกร่งของผู้ใช้ด้วย”
"ว้าว! ฉันเคยเห็นพวกมันในหนังสือมาก่อนพวกมันสวยงามมาก”
เฟรย์ตระหนักว่านี้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เขากลับมา เขาได้เป็นผู้นำของการสนทนา
เหตุผลนั้นไม่ยากสำหรับเขาที่จะเดา เป็นเพราะเขารู้สึกเห็นใจเบเนียง
ปัจจุบันเธอเป็นหัวหน้าองค์กรที่กำลังจะตายอย่างช้าๆนี่เป็นภาระที่หลายๆคนไม่สามารถเข้าใจได้
เฟรย์อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสารเธอเมื่อเธอต้องแบกรับภาระเช่นนี้ไว้บนบ่าเล็กๆของเธอ
นอกจากนี้เบเนียงยังเป็นสายเลือดของมังกรเขียวเหมือนอาจารย์ของเขา
ในอดีตเฟรย์ต้องการตอบแทนความเมตตาของอาจารย์มาโดยตลอด แต่สถานการณ์มันไม่เอื้ออำนวยและเขาก็ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้
เฟรย์รู้สึกว่าถ้าเขาช่วยเบเนียงตอนนี้มันจะทำให้เขาสบายใจขึ้นเล็กน้อย
ดังนั้นเขาเลยทำเรื่องที่เห็นแก่ตัว
‘เด็กคนนี้คงจะมีความสุขมากถ้าหากเธอเติบโตขึ้นตามปกติ’
เฟรย์เดินทางต่อไปในขณะที่พยายามดูแลเบเนียงให้มากที่สุด
ด้วยเหตุนี้เมื่อพวกเขามาถึงฐานใหญ่ของโทร์วแมนริงส์และเธอก็ค่อนข้างสนิทกับเฟรย์ในระหว่างเดินทางแล้ว
“ป่าพายซิสโกแห่งนี้”
เฟรย์มองไปที่ป่าตรงหน้า
มันเป็นป่าธรรมดาที่ไม่มีคุณสมบัติพิเศษใดๆ
แต่เมื่อเขารู้ว่าแท้จริงแล้วมันมีคาถาป้องกันเฟรย์ก็รู้สึกประทับใจ
‘นี่ต้องใช้ทักษะมากพอสมควร’
เขาไม่คิดว่าจะสามารถทำลายมันได้ในระดับปัจจุบัน
“คุณร่ายกำแพงป้องกันนี้เองหรือเปล่า?”
“ไม่ แต่ถ้ามันเกิดเสียหายฉันก็พอจะซ่อมได้ แต่พ่อของฉันสร้างขึ้นมา”
เห็นได้ชัดว่าชายที่ชื่อโอเซลอาร์เจนโต้เป็นพ่อมดอย่างน้อยในระดับ 8 ดาว
ในทางกลับกันเบเนียงน่าจะอยู่ที่ประมาณ 6 ดาว
เ
มื่อพิจารณาถึงพรสวรรค์ของมังกรนี่เป็นตัวเลขที่น่าผิดหวังมาก
‘เธอไม่ควรเรียนรู้เวทย์มนต์แบบมนุษย์เพราะเธอเป็นลูกครึ่งมังกร’
อาจเป็นโอเซลอาร์เจนโตที่สอนเธอ
แต่เฟรย์ไม่มีเจตนาที่จะจับผิดเขา บางทีในโลกปัจจุบันมันคงไม่มีใครที่สามารถสอนเบเนียงได้อย่างถูกต้อง
‘ถ้าฉันสอนเธอละก็…’
มังกรสัมผัสมานาได้ไวจนน่ากลัว เป็นเพราะหัวใจมังกรและพรสวรรค์ของพวกเขา
หากเธอใช้ประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้เธอก็จะเป็นนักเวทย์ที่ยิ่งใหญ่มาก หากเขาสอนเธอได้ดีเธอจะสามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อในเวลาอันสั้น
ระหว่างที่เฟรย์กำลังเจาะลึกความคิดของเขาเกี่ยวกับเบเนียง
เขารู้สึกว่ามีใครบางคนเข้ามาใกล้พวกเขาอย่างรวดเร็วจากป่า
ขณะที่เฟรย์เริ่มเตรียมเวทย์มนต์ของเขาเพราะเขาไม่รู้ว่าเป็นใครเบเนียงรีบส่ายหัว
“เป็นคนจากเซอร์เคิลของเราเอง”
ไม่นานชายวัยกลางคนก็ปรากฏตัวขึ้นจากป่า
ดูเหมือนเขาจะอยู่ในวัย 40 ปี
เขาสวมเสื้อคลุมเปิดคอสีน้ำตาลและมีขนาดใหญ่ เขาดูเหมือนทหารรับจ้างที่ผ่านความยากลำบากมามากมายโดยแสร้งทำเป็นพ่อมด
ชายคนนั้นดูเหมือนจะรีบร้อน
เขาวิ่งไปที่เบเนียงและพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าโศก
“มะ - มาสเตอร์เบเนียง!”
“ออเนอจิเซลลันเกิดอะไรขึ้น?”
ชายคนนั้นจิเซลลันรีบก้มหน้า
“โปรดอภัยที่ต้องเสียมารยาท! ปัญหาคือ…”
"ไม่เป็นไรบอกสถานการณ์ให้ฉันฟังได้เลย”
เบเนียงพูดด้วยน้ำเสียงสงบจนเฟรย์หันไปมองเธอ
ดูเหมือนว่าเธอจะแสดงบทบาทของเธอในฐานะเซอร์เคิลมาสเตอร์ได้ดีกว่าที่เฟรย์คิดเอาไว้มาก
แต่ด้วยคำพูดของจิเซลลันท่าทางของเธอก็แตกสลาย
"ผมขอโทษ! เรา…พวกเราแพ้ในการต่อสู้เพื่อแย่งชิงไอเทมอีกแล้ว!”
คำพูดของเขาทำให้เบเนียงถึงกับหายใจเข้าลึก
หลังจากกัดริมฝีปากของเธอสักครู่ในที่สุดเธอก็ตอบสนอง
“…คู่ต่อสู้ของเราเป็นใคร?”
“บาซิลิสก์เทล…! ไอ้พวกหมาจิ้งจอกพวกนั้นแอบมาเล่นงานเซอร์เคิลของเราอีกแล้ว!”